เสียงของคนชุดดำไม่ได้ดังเท่าไรนัก แต่คำพูดของเขากลับดังกึกก้องอยู่ในหูของซูฉางอันมันดังเยี่ยงเสียงฟ้าคำรามก็มิปาน
วินาทีนั้น ซูฉางอันรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว ดูเหมือนอาการเช่นนี้จะเกิดจากความหวาดกลัวนั่นเองมือที่จับดาบเอาไว้สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ตอนนี้เขาไม่สามารถถือดาบให้มั่นคงได้ด้วยซ้ำ เหตุนี้เขาจึงต้องยื่นมืออีกข้างไปจับด้ามดาบเอาไว้เพื่อหยุดไม่ให้ดาบสั่นไปมากกว่านี้
“เ้าเป็ใคร?” ซูฉางอันก้มหน้าลงต่ำพลางถามขึ้น น้ำเสียงของเขาไม่มีความรู้สึกใดๆแฝงอยู่เลย ไม่อาจทราบได้ว่าผู้พูดกำลังทุกข์หรือสุขกันแน่ ทว่าเสียงที่สั่นเครือกลับทำให้เสียงพูดนั้นฟังดูไม่ชัดเจนราวว่าเกิดขึ้นเพราะความหวาดกลัวเป็แน่แท้
“ข้ารึ?” คนชุดคลุมดำหรี่ดวงตาแดงฉานลงเล็กน้อย พลันแสงสีเืที่ปะทุออกมาจากสายตาก็คมเฉียบมากขึ้นกว่าเดิม “ข้าเป็คนที่โลกลืมอย่างไรเล่า ข้ามาที่นี่พร้อมปฏิญาณแห่งทวยเทพมาเพื่อลงโทษฏจอมทรยศพวกนั้น”
ซูฉางอันไม่เข้าใจสักเท่าไรว่าเขากำลังหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ก็พอจะเดาได้บ้างเล็กน้อยเขาถอยไปทางด้านหลังหนึ่งก้าว ราว้าจะเว้นระยะห่างจากคนในชุดคลุมดำอยากให้ตนอยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัย ขณะที่ปากก็เอาแต่ถามไปด้วย “เ้าเป็ผู้รับใช้เทพอย่างนั้นรึ?”
ดูเหมือนคนในชุดคลุมดำจะชอบสีหน้าและท่าทางของซูฉางอันในตอนนี้มาก ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในชุดคลุมสีดำของเขาประกายรอยยิ้มขึ้นอย่างอำมหิต “ผู้รับใช้เทพรึ? อืม ก่อนหน้านี้ทุกคนก็เรียกขานข้าไว้เช่นนั้น”
ฉู่ซีฟงขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมซูฉางอันถึงเป็เช่นนี้ไปได้? เขาไม่เคยก้มหัวให้ใคร ไม่ว่าคนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่จะเป็อินซานโจ๋วหรือหลงเซี่ยงจวินก็ตามแต่ทำไมกับคนชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับและกะทันหันตรงหน้า ทำไมเขาถึงมีท่าทางประหลาดได้ถึงเพียงนี้ เขาไม่ค่อยเข้าใจบทสนทนาระหว่างทั้งสองสักเท่าไร และไม่รู้ด้วยว่าเื่นี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับมั่วทิงอวี่ สายฟ้าสีม่วงประกายออกมาจากคมดาบของเขาอีกคราสำหรับนักดาบแล้ว วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาในเื่ที่คิดหาคำตอบไม่ได้ก็คือการตัดมันให้แหลกด้วยคมดาบ และไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายอีก
และที่ผ่านมา ฉู่ซีฟงก็ทำเช่นนั้นมาโดยตลอดครั้งนี้ก็เช่นกัน... เขาโค้งตัวลงเล็กน้อย ก่อนแสงอันแสนคมกริบจะะเิออกมาจากดวงตาดูคล้ายกับเสือดาวที่เตรียมจะออกล่าไม่ผิดเพี้ยน
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ ซูฉางอันก็หยุดเท้าที่กำลังเดินถอยหลังลงและถามขึ้นอีกครั้ง
“เ้าบอกว่าบางอย่างในร่างของข้า เป็สิ่งที่เ้าทิ้งเอาไว้ให้มั่วทิงอวี่งั้นรึ?”
ครั้งนี้เขาไม่ได้เสียงสั่นเหมือนเดิมอีกต่อไป ทำให้พูดจาคล่องแคล่วขึ้นมากวาจาที่ลื่นไหลจนผู้ฟังไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าบัดนี้ เขากำลังรู้สึกเช่นใดกันแน่
ทว่าฉู่ซีฟงกลับรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาลดสายฟ้าบนดาบลงเป็การชั่วคราว ร่างที่โค้งลงเพื่อเตรียมสู้ก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้งเขาตัดสินใจว่าจะรอดูเหตุการณ์ไปก่อน
ทางด้านคนชุดดำเอง ดูเหมือนเขาเองก็รับรู้ได้แล้วว่าน้ำเสียงของซูฉางอันมีบางอย่างแปลกไป ทว่าในตอนที่เขากำลังจะพูดบางอย่างออกมาจู่ๆ ซูฉางอันก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
จู่ๆ ใบหน้าที่เคยก้มลงต่ำก็ถูกยกขึ้นอีกครั้งบัดนี้ ดวงตาที่ใสสะอาดกลับมีบางอย่างแฝงอยู่
สิ่งที่แฝงอยู่ในนั้น ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงและรุนแรงดุจกับพายุ
เขาเคยเห็นสิ่งนั้นในดวงตาของบรรดาผู้ที่เขาเห็นว่าสมควรตาย และถูกเขาสังหารลงก่อนหน้านี้มามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในครั้งนี้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของซูฉางอันกลับทำให้เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
คนในโลกเรียกของสิ่งนั้นว่าความโกรธเกรี้ยว...
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ในดินแดนทางเหนือเมื่อสองปีก่อนเ้าเป็คนลอบโจมตีเขาสินะ!?” เสียงของซูฉางอันดังกึกก้องขึ้นอย่างกะทันหัน ในท้ายประโยคเขาแทบจะะโออกมาเลยทีเดียว
คนชุดดำชะงักไป ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กชายคนนี้ถึงรู้สึกโกรธมากขนาดนี้เพียงเพราะคนที่เขาเห็นว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเื่นี้เลยสักนิด
แต่เพราะััได้ถึงความอันตราย เขาจึงสร้างเกราะพลังสีแดงขึ้นรอบตัว
และความจริงที่เกิดขึ้นก็ยืนยันให้เห็นแล้ว ว่าสัญชาตญาณของเขาถูก...
ซูฉางอันกระชับดาบในมือมั่นแล้ววิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ะโขึ้นสูงชูดาบขึ้นเหนือหัวเหมือนที่ชายคนนั้นเคยทำท่ามกลางหิมะในดินแดนทางเหนือเมื่อสองปีก่อน
ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเืเพราะความโกรธา
สีแดงในดวงตาของเขามีมาก ไม่ด้อยไปกว่าสีแดงในดวงตาของคนชุดดำเลย
ปราณดาราในร่างเริ่มขับเคลื่อนขึ้น พลังแห่งดาบปะทุออกมารอบกายโดยมีเพลิงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาตามหลัง
ฉู่ซีฟงชะงักไป ไม่ใช่เพียงเพราะจู่ๆซูฉางอันก็ะเิโทสะออกมาเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะกระบวนดาบที่ซูฉางอันใช้ในตอนนี้เช่นกัน
มันคือกระบวนดาบที่มั่วทิงอวี่เคยสอนนั่นเอง ก่อนหน้านี้ฉู่ซีฟงเคยเห็นซูฉางอันแสดงมันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ที่ผ่านมา เขาแสดงพลังของมันออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป
แม้จะมีพลังไม่มากพอ แต่ก็นับเป็การแสดงกระบวนดาบที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว
คนชุดดำเองก็ประกายความประหลาดใจออกมาทางสายตา แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับมาสงบดังเดิมอีกครั้ง
เขามองออกั้แ่คราแรกแล้ว แม้ดาบนี้จะมีอารมณ์แห่งดาบอยู่เต็มเปี่ยมแต่กลับมีพลังที่อ่อนด้อยเหลือเกิน
เขายักยิ้มมุมปากอย่างเยาะหยัน คนชุดดำมองชายวัยรุ่นที่พุ่งทะยานเข้ามาหาอย่างสงบ ขณะที่ดวงตาก็ประกายรังสีแห่งการกลั่นแกล้งออกมามากขึ้นทุกที
ตู้ม!!!
เสียงหนึ่งดังขึ้น!
เป็เหมือนที่เขาคิดเอาไว้ ดาบของซูฉางอันกระแทกลงบนผนังพลังสีแดงที่เขาสร้างเอาไว้ั้แ่แรกอย่างจัง แต่เพราะซูฉางอันมีพลังที่อ่อนด้อยเกินไปจึงไม่อาจทำอันตรายหรือขยับเข้ามาใกล้เขาได้แม้นเพียงนิดไม่ต่างไปจากมดตัวน้อยที่คิดจะโค่นต้นไม้เลย
เขาเอียงตัวไปข้างหน้าอย่างกลั่นแกล้ง ใบหน้าของเขาแทบจะแนบติดกับคมดาบของซูฉางอันอยู่แล้วทว่าเพราะมีเกราะพลังกั้นอยู่ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามเสียเท่าไรซูฉางอันก็ไม่อาจทำลายเกราะแห่งพลังนั่นแล้วเหวี่ยงดาบลงไปได้อยู่ดี
“กระบวนดาบนี้ ข้าเคยเห็นมันมาก่อน” เขากล่าวเช่นนั้น แม้จะมองเห็นเพียงดวงตาของเขาเท่านั้น แต่ซูฉางอันกลับรับรู้ได้ถึงรังสีแห่งการกลั่นแกล้งจากใบหน้าของเขา “แต่เขาแข็งแกร่งกว่าเ้ามาก เดิมข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแต่เขามันโง่ โง่เง่าจนไม่กล้าแม้แต่จะชักดาบออกมา แล้วดาบที่ซ่อนอยู่ในฝักจะทำอันตรายต่อข้าได้อย่างไร”
คำพูดของเขาเป็ดั่งหนามแหลมที่แทงลงกลางใจของซูฉางอันอย่างจัง เขาเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยดวงตาคู่นั้นมีสีแดงจากเืที่ร้อนระอุอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด มันเข้มข้นและมีมากจนแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วซูฉางอันแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วคำรามขึ้นเสียงดังสนั่นราวกับราชสีห์ที่ถูกบีบให้จนตรอกอย่างไรอย่างนั้น เขาแผดะโเสียงดัง ราว้าให้ลำคอแตกไปเสียตรงนั้น
แสงแห่งพลังที่วนเวียนอยู่รอบกายเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม พลังแห่งดาบะเิออกมามากจนมืดฟ้ามัวดินเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งปะทุออกมามากไม่ต่างกัน
แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยอะไรมันทำให้เกราะพลังของคนชุดคลุมดำสั่นะเืขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หาได้ทิ้งร่องรอยเสียหายหรือรอยแตกร้าวใดๆ เอาไว้แม้เพียงเสี้ยวเดียว
เพราะออกแรงมากเกินไป มือที่ถือดาบของซูฉางอันจึงเริ่มมีเืซึมออกมา แต่เขายังไม่อยากหยุดลงเพียงเท่านี้
“สลายไปเสีย!!!” เขาคำรามเสียงต่ำขึ้นอีกครั้ง ราวจะรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นของเ้าของ ‘จิตมั่น’ ของซูฉางอันที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายจึงะเิแสงเจิดจ้าขึ้น แสงนั้นกระจายออกมาจากภายในสู่ภายนอก เพียงไม่นานมันก็ครอบคลุมร่างของซูฉางอันเอาไว้อย่างมิดชิดแล้ว
วินาทีนั้น เพลิงศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งดาบที่ลอยตลบไปทั่วบริเวณต่างก็อ่อนกำลังลง
พวกมันลอยวนเวียนอยู่ท่ามกลางจิตมั่นที่เขาประกายออกมารอบตัวอย่างต่อเนื่อง พลังทั้งหมุนวนถักทอซึ่งกันและกันก่อนจะหลอมเป็หนึ่งในที่สุด ท่ามกลางจิตมั่นของซูฉางอันเพลิงศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งดาบ สองพลังที่มักจะต่อต้านซึ่งกันและกัน และมีการแบ่งเขตแดนกันอย่างต่อเนื่องราวกับแม่ทัพที่ชอบทำศึกด้วยตนเองบัดนี้กลับหลอมรวมกันจนกลายเป็หนึ่งราวเป็ขุนนางที่ได้พบกับจักรพรรดิเหนือหัวของตนไม่มีผิด
ซูฉางอันรู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เขาเพ่งพลังเ่าั้ไปที่ดาบในมือและเพราะต้องรับพลังที่มากจนเกินไปเส้นเืที่มือจึงปูดบวมขึ้นทั่วทั้งแขนเส้นเืบางแห่งเริ่มแตกออกจากกัน ทำให้เืสดไหลย้อมแขนของเขาในพริบตา
แต่เขายังไม่ยอมหยุดลงแค่นั้น หรือจะพูดอีกแบบก็คือเขาไม่เคยคิดจะหยุดลงเลยสักนิด
เขามองเข้าไปในดวงตาที่อยู่ใกล้แค่คืบ แล้วนึกย้อนไปถึงชายที่ได้พบที่ดินแดนทางเหนือเมื่อสองปีก่อนในตอนนั้น เขาเคยเห็นสายตาเช่นนี้จากใครบางคนมาเหมือนกัน แต่เพราะความแค้นที่ปะทุขึ้นภายในจิตใจ เขาจึงไม่รับรู้ถึงความเ็ปที่เกิดขึ้นในขณะนี้
เขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นกลางหัวใจ ทันใดนั้นรังสีสังหารและพลังแห่งความแค้นทั้งหมดที่มีก็ถูกอัดเข้าไปในคมดาบ
เพล้ง!
ทันใดนั้น จู่ๆเสียงที่คล้ายเสียงกระจกแตกก็ดังขึ้น
เกราะพลังสีแดงที่ใสประดุจอัญมณีแตกออกเป็เสี่ยงๆท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของคนชุดดำ เศษของผนังพลังที่แตกละเอียดกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ ก่อนจะหายเข้าไปในไอหมอกหนาทึบในที่สุด
ผนังพลังที่เขาสร้างขึ้นถูกทำลายลงแล้ว
ดาบของซูฉางอันยังไม่ยอมลดพลังลงเลยแม้แต่น้อย พุ่งใส่ใบหน้าของชายชุดคลุมดำอย่างรวดเร็ว
ความกลั่นแกล้งบนใบหน้าเปลี่ยนไปเป็ความตื่นตะลึง ความหวาดผวาก็พุ่งเข้าไปเติมเต็มในดวงตาสีแดงก่ำอย่างฉับพลัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้