สนามใหญ่ตะวันตกอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย หยางหย่งหงวิ่งไปตามหากลุ่มหลักของสาขาวิศวกรรมโยธา ในขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานและนักศึกษาหญิงคนอื่นอีกหกชีวิตของห้อง 307 ก็รวมตัวกับเพื่อนร่วมสาขาอย่างราบรื่น
องค์ประกอบสมาชิกของห้อง 307 ช่างซับซ้อนเหลือเกิน หยางหย่งหงอยู่สาขาวิศกรรมโยธา แม้ 7 คนที่เหลือจะอยู่สาขาสถาปัตยกรรมเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ห้องเรียนเดียวกัน
เพื่อนร่วมห้องเรียนของเซี่ยเสี่ยวหลานมีเพียงซูจิ้ง ลฺหวี่เยี่ยน และโจวลี่ิ่
พวกเธอคือสาขาสถาปัตยกรรมรุ่น 84 ห้อง 2
“ห้องเรามีนักศึกษาหญิงแค่ 4 คนหรือ?”
“ไม่ มีหนิงเสวี่ยอีกคน!”
ส่วนทำไมถึงแยกหนิงเสวี่ยไปยังห้องพัก 305 ซูจิ้งก็ไม่ทราบดีเช่นกัน
อย่างไรเสียไม่ว่าจะแบ่งอย่างไร ก็ไม่มีทางยัดนักศึกษาหญิงสาขาสถาปัตยกรรมของทั้งสามห้องเข้าไปในห้องพักสองห้องอย่างพอดีได้ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่ซักไซ้เื่นี้ต่อ และเธอกับพวกซูจิ้งสามคนก็ได้พบกับนักศึกษาชายร่วมห้องเรียนจนได้ ส่วนใหญ่เป็ผู้คงแก่เรียนหน้าดำคร่ำเครียดตัวจริง เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นเพื่อนชายคนหนึ่งที่สวมกางเกงขาสั้น ท่อนล่างคือถุงเท้าสีแดงคู่กับรองเท้าเปลือยส้น เธอทำได้แค่รู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายที่จับคู่ได้ล้ำมาก
ทว่านักศึกษาชายห้อง 2 กลับผลักกันไปกระแทกกันมาอยู่นานสองนาน ไม่มีสักคนที่เข้ามาเริ่มพูดคุยกับนักศึกษาหญิงเลยสักคน
ซูจิ้งกลอกตา “เพื่อนๆ ทุกท่าน นี่เรียนมหาวิทยาลัยกันแล้วนะ ถ้าพวกเธออุตสาหะไม่คุยกับผู้หญิงตลอดห้าปีได้ ฉันจะนับถือเลย!”
นักศึกษาชายห้องสองหลายคนหน้าแดง ทว่าด้านข้างกลับมีคนพากันหัวเราะดังลั่น
ในเสียงหัวเราะครื้นเครงมีความอิจฉาปนอยู่ด้วย ไฟของสนามใหญ่ฝั่งตะวันตกสว่างจ้า เซี่ยเสี่ยวหลานราวกับเปล่งแสงเจิดจรัสออกมาจากทั่วทั้งร่างภายใต้แสงไฟ เธอสวยจนเหนือจินตนาการของเหล่านักศึกษาชายสาขาสถาปัตยกรรมห้อง 2 เมื่อคืนวานด้านหอพักชายมีคนถามถึง ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ เหล่ารุ่นพี่ที่ไม่เหนียมอายอีกต่อไปจึงสืบเสาะเกี่ยวกับนักศึกษาใหม่ชื่อ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ พอเซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏกาย เหล่านักศึกษาชายห้องสองก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
นอกจากเซี่ยเสี่ยวหลาน พวกซูจิ้งสามคนก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่เช่นกัน
ซูจิ้งผิวขาว ลฺหวี่เยี่ยนมีฟันเขี้ยวลูกเสือและลักยิ้มอย่างละคู่ ส่วนโจวลี่ิ่แม้จะมีผิวคล้ำเล็กน้อย ทว่ามีความเปล่งปลั่งที่พบในหญิงสาววัยรุ่นเท่านั้น
นักศึกษาหญิงสี่คนยืนอยู่ด้วยกัน จะให้นักศึกษาชายห้องสองเป็ฝ่ายเข้ามาพูดคุยนั้นค่อนข้างยาก
อาจารย์ไต้มาถึงแล้ว ช่วยเหล่าพวกพ้องพี่น้องชายที่กำลังกระอักกระอ่วนไว้ทันที
“รีบนั่งให้เรียบร้อย อย่าถือม้านั่งยืนเฉยๆ ที่ของพวกเราก็คือตรงนี้! พวกผู้หญิงไปนั่งข้างหน้า ผู้ชายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
นักศึกษาใหม่ค่อนข้างว่านอนสอนง่าย เนื่องจากเคยชินกับการเชื่อฟังอาจารย์ แม้ว่าอันที่จริงอาจารย์ไต้ก็ถือเป็นักศึกษาเหมือนกัน... คนของห้องสองนั่งลงกับที่จนครบแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่แถวแรก เธอรับรู้ได้ถึงสายตาพินิจพิเคราะห์บางอย่าง ทว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด แค่หยุดสายตาที่ใบหน้าของเธอหลายวินาทีหน่อย มีพวกเอาแต่จับจ้องเธออย่างเปิดเผยไม่มากอย่างแน่นอน
สำหรับชื่อ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ นี้ ต้องขอบคุณความพยายามเผยแพร่ข่าวของรุ่นพี่หลายคณะแล้ว ตอนนี้คนมากมายล้วนรู้จักเธอ
มีคนถามอาจารย์ไต้ “คนสวมกระโปรงยาวที่นั่งอยู่ข้างหน้าสุดนั่นน่ะ คือเซี่ยเสี่ยวหลานจากห้องอาจารย์ใช่ไหมครับ? ได้ยินว่าวันรายงานตัวทำให้ตู้เสวียเฟิงสาขาวิศกรรมโยธาหลงไปเลยทีเดียว ตอนนี้คงเป็คนดังมากเชียวล่ะ! นักศึกษาใหม่สาขาสถาปัตยกรรมรุ่นนี้ ก็มีเธอเท่านั้นที่ชื่อเสียงเลื่องลือเท่าหนิงเสวี่ยได้สินะ...”
อาจารย์ไต้เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “เธออย่าพูดจาเหลวไหลไป พวกเราหัวชิงเป็พวกที่ให้ความสำคัญกับหน้าตารึ?”
นักศึกษาใหม่คนหนึ่งเป็ที่รู้จักโดยทั่วกันเพราะความสวย ไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การโอ้อวดสักเท่าไร สอบเข้าหัวชิงได้ย่อมมีสมองที่ไม่ทึ่มทึบ แต่หากรอบกายถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มชายหนุ่มฮอร์โมนล้นเหลือทุกวันเช่นนั้น ขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ในหัวชิงยังจะสามารถศึกษาเล่าเรียนตามปกติได้หรือ? แม้อาจารย์ไต้คิดว่านักศึกษาหญิงงามหยดย้อยอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานคงอยู่สาขาสถาปัตยกรรมได้ไม่นาน ทว่าหัวชิงมีสาขาวิชาอื่นอีกมากมายขนาดนั้น อาจารย์ไต้ยังคงหวังว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้เรียนรู้อะไรบ้างระหว่างอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้!
ส่วนหนิงเสวี่ย หนิงเสวี่ยนั้นไม่เหมือนกัน
เหงื่อบนหน้าผากของอาจารย์ไต้แตกพลั่กยิ่งกว่าเดิม
ทางสาขาจัดหนิงเสวี่ยไว้ในห้อง 2 เขาทั้งยินดี และรู้สึกถึงความกดดันด้วย
เขาไม่เข้าใจความรู้ด้านสถาปัตยกรรม สิ่งที่เขาดูแลได้คือด้านการใช้ชีวิตของนักศึกษาห้องนี้ อาจารย์หนิงเยี่ยนฝานนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล ในฐานะหลานสาวของเขา หนิงเสวี่ยเองก็มีผลงานั้แ่อายุยังน้อยแล้วเช่นกัน จะยอมเชื่อฟังการอบรมสั่งสอนจากเขาหรือไม่นะ?
และยังมีเซี่ยเสี่ยวหลานอีกคน
อาจารย์ไต้ร้อนใจน่ะสิ เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง นักศึกษาหญิงสองคนนี้ถูกจัดไว้ในห้องเรียนเดียวกัน จะเกิดการชิงว่าผู้เหนือกว่ากันอย่างแน่นอน!
บุตรีคนโปรดของ์ใช่ไหมล่ะ คนหนึ่งครองความสามารถ คนหนึ่งครองรูปโฉมงดงาม และอยู่บนแท่นสูงของหัวชิงแห่งนี้ทั้งสอง... อาจารย์ไต้ไม่รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย เขาทำหน้าที่อาจารย์ที่ปรึกษาเป็งานเสริม และเขาเองยังไม่จบปริญญาเอกด้วยซ้ำ ถ้านักศึกษาห้องสองทำให้เขาเบาใจได้สักหน่อย อาจารย์ไต้ก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว
เริ่มพิธีเปิดภาคเรียน!
่แรกคือการปราศรัยของผู้บริหาร เลขาธิการประจำคณะกรรมการมหาวิทยาลัยและอธิการบดีกล่าวกันคนละครึ่งชั่วโมง
ถ้อยคำของผู้บริหารทั้งสองเป็ทางการมาก แต่ต่างกันที่อธิการบดีใช้คำขบขันกว่าเล็กน้อย เซี่ยเสี่ยวหลานพยายามทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า เธออยู่แถวแรกนี่นา มันไม่ดีนักถ้าหลับไป ในที่สุด หลังจากผู้บริหารหลายท่านผลัดกันปราศรัย แสดงการต้อนรับจากหัวชิงต่อนักศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทประจำปีนี้ ก็ถึงคราวของตัวแทนนักศึกษาใหม่ขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์
หญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างสูง จากการประมาณด้วยตาของเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอสูงไม่น้อยกว่า 168 เิเ!
ตัดผมสั้นเท่าหู สวมชุดกระโปรงลายตารางสีแดงพื้นขาว และขึ้นเวทีโดยไม่ได้ถือร่างสุนทรพจน์ สวยขนาดไหนนั้นอธิบายได้ยาก อย่างน้อยยังด้อยกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน หนิงเสวี่ยกับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่หญิงสาวแนวเดียวกันแม้แต่น้อย
ทว่ามีความมั่นใจในตัวเอง!
ความมั่นใจในตนเองนี้อาจมาจากตราสัญลักษณ์ ‘มหาวิทยาลัยหัวชิง’ บนอกของเธอ
อาจมาจากครอบครัวซึ่งเปี่ยมวิชาความรู้ที่สืบทอดต่อกันมาของเธอ หนิงเยี่ยนฝานปู่ของเธอผู้ถูกขนานนามว่าเป็ปรมาจารย์สถาปัตยกรรมของประเทศจีน
และอาจเป็เพราะคะแนนเกาเข่าอันดับหนึ่งทั่วประเทศของหนิงเสวี่ย และการยอมรับความสามารถที่เธอได้รับตอนมัธยมปลาย?
ภาพลักษณ์ภายในใจผู้อื่นของคนคนหนึ่งไม่สามารถตัดปัจจัยภายนอกออกและแสดงให้เห็นเพียงแก่นแท้ได้ ไม่ว่าจะเป็รูปลักษณ์ ผลงาน ชาติตระกูล การยอมรับจากคนอื่น ปัจจัยเหล่านี้รวมกันกลายเป็หนิงเสวี่ยผู้มั่นใจในตนเองในวันนี้!
แม้แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังต้องอุทาน หญิงสาวเช่นนี้สินะที่เป็ผู้ได้รับความอาทรจากโชคชะตา? เกิดถูกครรภ์ อีกทั้งตนเองก็มีความสามารถ ์ช่างอวยพรจริงๆ !
แน่นอน เธอจะไม่ประเมินค่าตัวเองต่ำเช่นกัน
เธอสอบเข้าหัวชิง ก็เพื่อได้เปิดโลกรู้จักกับบุคลที่เก่งกาจและเปลี่ยนตนให้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้นมิใช่หรือไร?
“สายัณห์สวัสดิ์สหายนักศึกษาทุกคน ฉันคือหนิงเสวี่ย เช่นเดียวกับทุกคน ฉันได้เป็นักศึกษาใหม่คนหนึ่งของหัวชิงในปีนี้...”
น้ำเสียงของหนิงเสวี่ยไม่อ่อนหวานแม้แต่น้อย รูปลักษณ์ของเธอก็ไม่อ่อนหวานเหมือนกัน
เพียงเอ่ยปาก ในสมองอันเป็กระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ของเซี่ยเสี่ยวหลาน มีประโยค ‘เขาเทียนซานเดือนห้า หนาวเหน็บไร้บุปผา’ ผุดขึ้นมากะทันหัน เขาเทียนซาน [1] ในเดือนพฤษภาคมยังคงเต็มไปด้วยหิมะ มีเพียงลมหนาวที่เย็นเข้ากระดูก ไม่พบดอกไม้ใบหญ้าโดยสิ้นเชิง นี่คือหิมะ [2] บนเขาเทียนซาน คือนักศึกษาหญิงมากความสามารถผู้เยือกเย็นคนหนึ่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังมองหนิงเสวี่ย และหนิงเสวี่ยเองก็กำลังมองเธอเช่นกัน
เนื่องจากเคยผ่านสถานการณ์คล้ายกันมามาก หนิงเสวี่ยรู้ว่าจะทำอย่างไรให้สายตาดูเป็ธรรมชาติ เซี่ยเสี่ยวหลานสวยจริงๆ ทว่ายังคงทำได้แค่ฟังเธอกล่าวจากด้านล่างอยู่ดี ท่ามกลางนักศึกษาใหม่รุ่น 84 ทั้งหมด หนิงเสวี่ยได้เปรียบด้านความรู้ทางสถาปัตยกรรมมากกว่าใคร หน้าตาสะสวยหรือไม่ สำหรับหนิงเสวี่ยนั้นไม่สำคัญ
หนึ่งใบหน้างดงามหยาดเยิ้ม สู้หนึ่งรางวัลด้านสถาปัตยกรรมของจริงไม่ได้
ขณะหนิงเสวี่ยกำลังกล่าวสุนทรพจน์ นักศึกษาใหม่ทุกคนล้วนไม่สนใจที่จะแอบมองเซี่ยเสี่ยวหลานอีกต่อไป ความสง่างามของหญิงสาวผู้เป็คนโปรดของ์ก้าวข้ามความดึงดูดของรูปกายภายนอก ทำให้คนศิโรราบแต่โดยดี!
มีนักศึกษาชายเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่สนใจในสิ่งที่หนิงเสวี่ยพูด อันที่จริง เขากำลังใคร่ครวญว่าการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัยหัวชิงของตนเองถูกต้องหรือไม่ บรรยากาศของสถาบันอุดมศึกษาภายในประเทศมีความแตกต่างจากต่างประเทศยิ่งนัก
สายตาของนักศึกษาชายจรดที่เซี่ยเสี่ยวหลาน เขาสะกิดเพื่อนนักศึกษาข้างตัว “นี่คือดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยคนใหม่ที่พวกนายพูดถึงกันรึ?”
แววตาที่เพื่อนใช้มองเขามีแต่ความสงสัย ในเวลาแบบนี้ นายกลับไม่ตั้งใจฟังคำปราศรัยของหนิงเสวี่ย แต่กลับดูดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยอะไรกันเล่า!
เชิงอรรถ
[1]天山 เขาเทียนซาน คือ เทือกเขาขนาดใหญ่ที่พาดผ่านซินเจียง คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และอุซเบกิสถาน บริเวณยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะและมีอากาศเย็นจัด หลี่ไป๋แต่งกลอนบรรยายเขาเทียนซานว่า แม้เข้าสู่เดือนห้า (เดือนพฤษภาคมซึ่งเป็กลางฤดูร้อน) เขาเทียนซานยังคงหนาวเหน็บ ไม่พบพืชพรรณใดๆ
[2]ชื่อของหนิงเสวี่ยคือ เสวี่ย 雪 มีความหมายว่าหิมะ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเธอดูเยือกเย็นเหมือนหิมะบนเขาเทียนซาน