เล่มที่ 8 บทที่ 232 ข้าไม่ได้ใ
ทว่านักพรตเฮยซาน กลับดูไม่ยินดีเท่าไรนัก…
‘ให้ตายเถอะ ทำไมถึงต้องมาเจอเ้าหลินเฟยเสียได้…’
ครั้งก่อนตอนที่แพ้การประมูลชิ้นส่วนประตูมิติที่หอว่านเย่ว นักพรตเฮยซานก็บังเกิดความคิดจะสังหารแล้ว่ชิงชิ้นส่วนประตูมิติมา ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่า เป็แค่ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สอง ฝีมือระดับนี้คงไม่ต่างอะไรกับมดปลวก
ทว่าเื่ทุกอย่างหลังจากนั้นกลับทำให้นักพรตเฮยซานรู้สึกกลับตาลปัตรไปหมด…
‘บ้าจริง เป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองแท้ๆ แต่สามารถต่อสู้กับอสุรกายกุ่ยหวังได้อย่างดุเดือดขนาดนั้นเชียว?’
‘หรือจะเป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่แฝงตัวมากันแน่?’
และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าหลินเฟยใช้วิธีอะไร หลังจากที่ไล่ตามไปแล้ว อสุรกายกุ่ยหวังถึงได้เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ตนเองแทน แค่ย้อนนึกถึง่เวลานั้น ก็อดที่จะรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้ เหงื่อเย็นไหลโซมกายไม่หยุด ถึงจะทุ่มสุดตัวแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจเอาชนะมีดบินนั่นได้…
ยังดีที่มีศาสตราวุธพิเศษชิ้นหนึ่งติดตัวไว้ จึงสามารถแกล้งตายและรอดมาจนได้…
ตอนนั้นนักพรตเฮยซานคิดว่าต้องแย่แน่ๆ เพราะหลินเฟยดูไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสุรกายกุ่ยหวังด้วยซ้ำ ต่อให้ตนเองกลับไปที่เมืองวั่งไห้อีกครั้ง ก็คงไม่ได้ชิ้นส่วนประตูมิติมาอยู่ดี…
หลายวันผ่านไป ตนเองได้แอบกลับไปดูที่ร้านหลอมอาวุธฟานซื่อในเมืองวั่งไห่อีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเฟยจะยังคงสบายดีอยู่!
แถมยังได้ยินคนพูดกันว่าที่งานประลองอาวุธ คนของร้านหลอมอาวุธฟานซื่อได้ใช้กระบี่สี่สีสะบั้นมีดบินที่เป็ถึงศาสตราวุธเล่มหนึ่งร่วงตกลงมา…
นักพรตเฮยซานได้ยินเช่นนั้นก็รู้ดีว่าจะต้องเกิดเื่ขึ้นแล้ว
‘บ้าไปแล้ว มีดบินขั้นศาสตราวุธที่ไหนกันล่ะ นั่นมันอสุรกายขั้นกุ่ยหวังต่างหาก…’
‘เป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุน แต่กลับเอาชนะอสุรกายขั้นกุ่ยหวังได้เนี่ยนะ!’
แค่คิดถึงตรงนี้ นักพรตเฮยซานก็รู้สึกแย่ทันที…
เพราะตอนนั้นเขาสำนึกขึ้นมาได้ว่ารตนเองก่อเื่ใหญ่เข้าให้แล้ว…
ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สอง เมื่ออยู่ต่อหน้าตนเองที่เป็ถึงผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันแล้ว ย่อมไม่ต่างอะไรกับมดปลวก แต่กลับคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็มดปลวกที่กินคนเป็อาหาร…
สุดท้ายเขาจึงแอบหนีออกจากเมืองวั่งไห่ภายในคืนนั้น และมาหลบอยู่ที่หุบเขาเฮยเยี่ยน โดยไม่กล้าย่างเท้าออกไปไหนเลยตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่าน…
แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่า…
เพิ่งจะมาถึงเกาะนี้ไม่ถึงหนึ่งวันแท้ๆ แต่กลับเจอหลินเฟยเข้า…
‘เชื่อเขาเลย ทำไมถึงซวยขนาดนี้?’
สีหน้าของนักพรตเฮยซานดูย่ำแย่พอควร ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนอะไรในใจ แต่เมื่อหลินเฟยเห็นอีกฝ่าย กลับเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มทันที
“บังเอิญจังเลยนะ เจอกันอีกแล้ว…”
เมื่อสิ้นเสียง คัมภีร์ที่ลอยอยู่เหนือหัวหลินเฟยก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
‘ไม่หรอกมั้ง เสียสติไปแล้วหรือเปล่า เราสนิทกันหรือถึงทักทายได้แบบนี้เลยหรือ?’
‘เป็ถึงผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเชียวนะ!’
‘การแอบดูผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันต่อสู้กับปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกก็ว่าล่วงเกินแล้ว ควรเข้ามาขอขมาสิถึงจะถูก ไฉนกลับเข้ามาทักทายเช่นนี้ กลัวคนอื่นเขามองไม่เห็นเ้าหรืออย่างไร?’
‘บ้าจริง ตอนนี้สูญเสียมนต์สะกดไปสี่สายแล้ว ทำให้พลังถดถอยจนเหลือประมาณเจ็ดส่วนจากทั้งหมดสิบส่วนเท่านั้น อย่าหวังว่าข้าจะช่วยอะไรเ้าได้ก็แล้วกัน…’
หลังจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่เ้าอสุรกายไม่คาดคิดขึ้นมาก่อน…
เหมือนว่าทั้งคู่จะสนิทกันมากทีเดียว…
เพราะไม่นานเ้าอสุรกายก็เห็นว่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่สังหารปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกอย่างง่ายดายผู้นั้น กลับยกยิ้มขมขื่นออกมา
“นั่นสิ บังเอิญจังเลย…”
ให้ตายอย่างไรเ้าอสุรกายก็คิดไม่ถึงว่าตอนที่นักพรตเฮยซานพูดคำนี้ออกมา เขากำลังก่นด่าหลินเฟยในใจเสียย่อยยับ
‘บังเอิญบ้าบออะไรกัน นี่ข้าก้าวขาออกมาโดยไม่ได้ดูฤกษ์ยามสินะ หากรู้ว่าจะเจอหลินเฟยเข้าละก็ จะต้องแกล้งทำเป็ไม่เห็นแน่นอน แต่ใครใช้ให้เ้านี่ปากพล่อย พูดออกไปว่าใครกันที่แอบดูผู้าุโเช่นข้าเล่า…’
ช่วยไม่ได้ เพราะนักพรตเฮยซานหวาดกลัวหลินเฟยมากจริงๆ…
เพราะแค่ขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองก็สามารถเอาชนะอสุรกายขั้นกุ่ยหวังได้ จึงไม่อาจใช้มาตรฐานทั่วไปมาวัดความสามารถของคนคนนี้ได้ ใครจะไปรู้กันล่ะ ว่าอีกฝ่ายยังสติเต็มเต็งอยู่หรือไม่ เพราะกว่าจะเป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันในวันนี้ได้ ล้วนต้องผ่านการฝึกฝนอย่างยากลำบากมาหลายปีดีดัก หากจะต้องมาจบชีวิตด้วยเื่เล็กน้อยแค่นี้ละก็ ถือว่าไม่คุ้มเสีย…
‘ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะได้เบาะแสชิ้นส่วนประตูมิติละก็ ให้ตายก็ไม่คิดเดินทางมายังเกาะนี้หรอก…’
ขณะที่นักพรตเฮยซานบ่นกระปอดกระแปดในใจอยู่นั้น หลินเฟยก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นมา
“จริงสิ เจอชิ้นส่วนประตูมิติอีกชิ้นหรือยัง?”
“นี่เ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?!”
เมื่อสิ้นคำถามของหลินเฟย นักพรตเฮยซานก็สะดุ้งโหยงทันที เขารีบเอามือชี้ไปที่หลินเฟย สายตาสั่นคลอนแฝงความหวาดกลัว เหมือนกำลังโกรธแค้นที่หลินเฟยคิดจะถอดเสื้อเขาออกก็ไม่ปาน บัดนี้นักพรตเฮยซานหวาดผวาอย่างหนัก คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้เื่ที่เขามายังเกาะแห่งนี้เพื่อตามหาชิ้นส่วนประตูมิติ
‘จบแล้ว จบสิ้นแล้วเรา คราวนี้แย่แน่ๆ นอกจากจะแย่งชิ้นส่วนประตูมิติไปครั้งหนึ่งแล้ว ยังคิดจะมาแย่งชิ้นที่สองอีก!’
ทว่าหลังจากโพล่งออกไปด้วยความใ นักพรตเฮยซานก็รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติทันที…
‘ช้าก่อน เหมือนจะมีบางอย่างผิดแปลกไป…’
ที่ตนเองรู้ว่าเกาะนี้มีชิ้นส่วนประตูมิติ ก็เพราะได้รับคำแนะนำมาจากอูอ๋อง แถมยังเคยเข้าไปในที่รกร้างทางใต้อีกด้วย…
‘แล้วหลินเฟยรู้ได้อย่างไรกัน?’
‘จริงๆแล้วต่อให้รู้ ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แต่ทำไมถึงรู้ว่าตนเองมาที่นี่เพราะชิ้นส่วนประตูมิติล่ะ?’
‘บ้าเอ๊ย หลงกลเข้าแล้วเรา!’
นักพรตเฮยซานคิดได้ดังนั้น ก็เข้าใจทุกอย่างทันที…
ในตอนนี้เขารู้สึกอยากจะตบปากตัวเองเหลือเกิน
‘แย่ล่ะ คราวนี้จะทำอย่างไรดี ไม่อาจผิดใจกับเ้านี่ได้เสียด้วย เพราะรู้ดีว่าตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้แน่ๆ แถมยังต้องกันไม่ให้ถูก่ชิงชิ้นส่วนประตูมิติไปอีก’
ขณะนี้นักพรตเฮยซานรู้สึกกดดันอย่างหนัก…
“ไม่ต้องใไปหรอก…” หลินเฟยเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปลอบขึ้นมา
“ข้าไม่ได้ใ!” นักพรตเฮยซานเกือบจะสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกครั้ง
‘ใครบอกว่าข้าตื่นเต้นกันล่ะ ข้าแค่สั่นนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ไม่ได้ๆ คุยต่อด้วยไม่ได้แล้ว จะต้องรีบหาชิ้นส่วนประตูมิติอีกชิ้นให้เจอเสียก่อน’
เมื่อคิดได้ดังนั้น นักพรตเฮยซานก็รีบยกมือคารวะหลินเฟยทันที
“เอาล่ะ ข้ายังมีธุระต้องทำต่อ ขอตัวก่อนแล้วกัน!”
พอพูดจบ นักพรตเฮยซานก็หันหลังจากไปทันที
“นี่!” นักพรตเฮยซานเดินเร็วมาก ต่อให้หลินเฟยอยากรั้งก็ไม่อาจรั้งได้ทัน เขาได้แต่มองแผ่นหลังที่กำลังจากไปของนักพรตเฮยซาน หลินเฟยรู้สึกเก้อเล็กน้อย ‘ดูท่าครั้งก่อนตอนอยู่ที่เมืองวั่งไห่จะทำให้ผู้บำเพ็ญชั้นจิงตันคนนี้ใไม่น้อยเลยย ต่อให้ผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่อีกฝ่ายก็ยังคงใไม่หาย หากรู้ว่าเป็เช่นนี้คงไม่พูดอะไรให้มากความ รีบเอ่ยเื่ช่วยกันตามหาชิ้นส่วนประตูมิติออกไปก็ดีอยู่หรอก…’
--------------------------------------------------------------------------------------------------------