บทที่ 10: เปลวไฟในอดีต หมากกระดานใหม่
"สิบปีที่ผ่านมา ข้าถอยมามากพอแล้ว" จ้าวลู่เฉินตอบ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่บุตรีของตน "แต่ข้าต้องเตือนเ้าไว้ก่อน สิ่งที่เ้ากำลังจะให้ข้าทำ...มันไม่ใช่แค่การรื้อคดีธรรมดา แต่มันคือการประกาศา เมืองหลวงแห่งนี้เปรียบเสมือนป่าที่แห้งแล้ง รอเพียงประกายไฟเล็กๆ ก็พร้อมจะลุกท่วม เราไม่ได้กำลังเล่นกับไฟ...แต่เรากำลังจะกระโจนลงไปในกองไฟที่อาจเผาผลาญเราทั้งคู่จนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก"
"ข้าทราบดี" ิ่หลานจิบชาของตนเอง "เพราะข้าไม่ใช่คนจุดไฟ แต่ข้าคือคนที่เกิดและเติบโตขึ้นมาจากเถ้าถ่านของไฟกองนั้น...เล่ามาเถิดเ้าค่ะท่านพ่อ เื่ราวทั้งหมดที่ท่านปิดบังไว้"
จ้าวลู่เฉินถอนหายใจยาว เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นต้นจื่อเถิง กำลังผลิดอกสีม่วงงดงาม มันเป็ต้นไม้ที่ไป๋โหรว (เซินเว่ย) ปลูกไว้กับมือ ความทรงจำอันขมขื่นย้อนกลับมาอีกครั้ง
"ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อสิบปีก่อน...ท่านตาของเ้า แม่ทัพใหญ่ไป๋ซือซง ดำรงตำแหน่งเป็ผู้บัญชาการกรมพลาธิการ ท่านตาของเ้าไม่ใช่แค่คนซื่อตรง แต่เขาซื่อตรงจนไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนก็ตาม เขาปฏิเสธการรับสินบนอย่างแข็งกร้าว และตรวจสอบบัญชีทุกเล่มอย่างละเอียดด้วยตนเอง ทำให้แผนการทุจริตของขุนนางหลายกลุ่มต้องหยุดชะงัก แน่นอนว่ามันทำให้เขากลายเป็หนามยอกอกของคนมากมาย"
"ใน่นั้นเอง การรบที่ชายแดนทางเหนือกับเผ่าเย่ว์ทวีความรุนแรงขึ้น มีการเบิกจ่ายเสบียงและยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล และนั่นคือโอกาสที่พวกมันรอคอย...จู่ๆ ก็มีคนยื่นฎีการ้องเรียนต่อเบื้องพระพักตร์ กล่าวหาว่าแม่ทัพไป๋ซือซงยักยอกเสบียงทัพไปเป็ของตนเอง"
"หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น...มันแ่าเกินไป" จ้าวลู่เฉินกล่าวเสียงเครือ "พวกมันปลอมแปลงบัญชีการเบิกจ่ายได้อย่างแเี สร้างรายชื่อ 'กองทหารผี' ที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมาเพื่อเบิกเสบียงส่วนเกิน ตราประทับของท่านตาก็ถูกปลอมแปลงขึ้นอย่างยอดเยี่ยมจนแยกไม่ออก"
"ที่เลวร้ายยิ่งกว่า คือการมีพยานบุคคลที่เคยเป็ลูกน้องคนสนิทของท่านตา...รองแม่ทัพเฉิน...คนที่ท่านตาไว้ใจเหมือนลูกชายแท้ๆ เขากลับทรยศ หันมาให้การปรักปรำนายเก่าของตนเองอย่างเืเย็น และตอกฝาโลงด้วยการค้นพบเงินแท่งจำนวนมหาศาลที่ถูกซุกซ่อนไว้ในห้องใต้ดินของจวนตระกูลไป๋...เป็จำนวนเงินที่พอดีกับมูลค่าเสบียงที่หายไปทุกตำลึง"
"พยานเ่าั้...ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เ้าคะ?" ิ่หลานถามแทรกขึ้นมา คำถามของนางคมกริบและตรงประเด็นราวกับมีดผ่าตัด
จ้าวลู่เฉินส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย "หลังจากสิ้นสุดการไต่สวนได้ไม่ถึงสามเดือน...รองแม่ทัพเฉินก็เมาตกม้าคอหักตายอย่างเป็ปริศนา ส่วนพยานคนอื่นๆ ก็ทยอยประสบอุบัติเหตุ...บ้างก็จมน้ำตายในคลองตื้นๆ บ้างก็ถูกโจรปล้นฆ่า...จนไม่เหลือใครเลยที่จะสามารถกลับคำให้การได้อีก"
"เป็วิธีการปิดปากที่สะอาดหมดจด" ิ่หลานวิเคราะห์อย่างเยือกเย็น "ผู้ที่ทำได้ถึงเพียงนี้...ย่อมไม่ใช่ขุนนางธรรมดา"
"ถูกต้อง" จ้าวลู่เฉินยอมรับ "นี่คือคำถามสำคัญที่ทำให้ข้าต้องเงียบไปนาน...เพราะยิ่งสืบสาวราวเื่ลึกลงไปเท่าไหร่ ปลายทางของทุกอย่างก็ยิ่งชี้ไปที่บุคคลที่ข้าไม่อาจแตะต้องได้" เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของบุตรีราวกับจะหยั่งวัดความกล้าของนางเป็ครั้งสุดท้าย
"คนที่อยู่เื้ัเื่ทั้งหมด...คือ องค์ชายจิ้ง"
ชื่อนี้ทำเอาบรรยากาศในห้องพลันหนักอึ้งลงไปอีกสิบเท่า! องค์ชายจิ้ง...พระอนุชาต่างมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็ผู้ที่ทรงอิทธิพลในราชสำนัก มีขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนมากมายอยู่ใต้สังกัด และที่สำคัญ...เขาคือหมาป่าที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด คอยจ้องขย้ำบัลลังก์ขององค์รัชทายาทอยู่ทุกขณะจิต!
"ทำไม...เหตุใดองค์ชายจิ้งต้องทำเช่นนั้น?" ิ่หลานถามต่อ นางไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกออกมาแม้แต่น้อย นางเพียง้าข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดเพื่อประกอบการตัดสินใจ
"เพราะท่านตาของเ้า...เป็คนขององค์รัชทายาท" จ้าวลู่เฉินอธิบาย "ท่านตาเป็พระอาจารย์ที่เคยสอนยุทธศาสตร์การทหารให้องค์รัชทายาท และเป็ขุนนางเสาหลักที่สนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างเปิดเผย การทำลายแม่ทัพไป๋ซือซงก็เท่ากับเป็การตัดแขนขาคนสำคัญขององค์รัชทายาท อีกทั้งยังสามารถส่งคนของตนเอง...ซึ่งก็คือรองแม่ทัพเฉินที่ทรยศนั่นเอง...ขึ้นไปควบคุมกรมพลาธิการ ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเืใหญ่ของกองทัพได้อีกด้วย"
"ข้าเคยพยายามสืบเื่นี้อย่างลับๆ" เขาสารภาพด้วยน้ำเสียงที่เจือความอัปยศ "ข้ารวบรวมหลักฐานบางอย่างได้ แต่ยิ่งสืบลึกเท่าไหร่ อันตรายก็ยิ่งคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ข้ากลับมาที่จวนแล้วพบว่ามีจดหมายข่มขู่ฉบับหนึ่งวางอยู่บนหมอนของข้า...ในจดหมายไม่มีข้อความใดๆ ...มีเพียงปอยผมหนึ่งเส้น...ซึ่งเป็ปอยผมของเ้าในวัยสี่ขวบ ที่ข้าเพิ่งจะกล่อมเ้านอนหลับไปในห้องข้างๆ ...มันหมายความว่าคนของพวกมันสามารถเข้ามาในห้องนอนของเ้าได้ทุกเมื่อที่มัน้า"
ในที่สุด...จ้าวิ่หลานก็เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของความขี้ขลาดของบิดาแล้ว เขาไม่ได้เพียงแค่เลือกอำนาจ...แต่เขาเลือกที่จะปกป้องชีวิตของนางด้วยเช่นกัน มันคือทางเลือกที่เ็ปและน่าอดสู แต่สำหรับหัวอกคนเป็พ่อในตอนนั้น...มันอาจเป็ทางเลือกเดียวที่เขาคิดว่าทำได้ในเวลานั้น
"ข้ายอมแพ้" จ้าวลู่เฉินกล่าวอย่างเ็ป "ข้าเผาหลักฐานทั้งหมดทิ้ง เลือกที่จะก้มหน้ายอมรับตำแหน่งที่พวกเขายื่นให้ เพื่อแลกกับความปลอดภัยของเ้าและมารดาของเ้า...แต่มันคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตข้า เพราะความรู้สึกผิดบาปได้กัดกินมารดาของเ้า แต่สิ่งที่ข้าเ็ปที่สุดก็คือการลอบสังหารขบวนรถม้าของนางในเมืองผิงอัน...เขาพวกแจ้งทางการว่าเป็โจรป่า แต่ความจริงคงไม่ใช่แบบนั้น และหากข้ายังจะสืบหาความจริง ข้าอาจจะต้องเสียเ้าไปอีกคน"
ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความเงียบที่เต็มไปด้วยความบาดหมาง แต่เป็ความเงียบแห่งความเข้าใจร่วมกันในโศกนาฏกรรมที่ผ่านมา
"องค์ชายจิ้ง...ผู้ยิ่งใหญ่และสูงส่งปานนั้น...ย่อมต้องมีจุดอ่อน" จู่ๆ ิ่หลานก็เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ ดวงตาของนางเป็ประกายด้วยแสงแห่งปัญญาอันเยือกเย็นที่น่าสะพรึงกลัว "อำนาจและอิทธิพลป้องกันคมดาบได้...แต่ป้องกันลมเย็นที่แทรกซึมเข้ากระดูกไม่ได้"
จ้าวลู่เฉินมองนางอย่างไม่เข้าใจ
"คนเราทุกคน...ไม่ว่าสูงศักดิ์เพียงใด ก็ยังคงมีร่างกายที่เจ็บป่วยและเสื่อมถอยได้" นางกล่าวต่อ "ความตาย...คือสิ่งที่แม้แต่โอรส์ก็ยังต้องหวาดกลัว ไม่มีเกราะใดในโลกจะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้"
นางเงยหน้าขึ้นสบตาบิดาของตนเอง แผนการที่บ้าบิ่นและอันตรายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในสมองของนางแล้ว นางไม่ได้คิดจะสู้ด้วยอำนาจทหารหรือหลักฐาน แต่จะสู้ในสมรภูมิที่นางเชี่ยวชาญที่สุด
"ท่านพ่อ...ท่านพอจะช่วยสืบเื่หนึ่งให้ข้าเป็การส่วนตัวได้หรือไม่"
"เื่อะไร?"
"สืบให้ข้า...ว่าองค์ชายจิ้งผู้สูงศักดิ์พระองค์นั้น...ทรงมี 'ทรงมีร่างกายเจ็บป่วย' อะไรบ้าง?"