หลังเวลาผ่านหนึ่งก้านธูป เฟิ่งเฉี่ยนหิ้วกล่องอาหารกลับมายังตำหนักบูรพา ทั้งๆ ที่มีฝาปิดกล่องอาหารอยู่ก็ยังส่งกลิ่นหอมหวนให้คนรู้สึกเจริญอาหารได้
เซวียนหยวนเช่อหรี่ตาลงมองนาง แค่นเสียงฮึอย่างดูแคลน “นี่ก็คือวิธีที่เ้าคิดออกหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนเลิกคิ้วพูดอย่างมั่นใจ “ท่านไม่รู้หรือว่า อาหารอร่อยๆ ทำให้คนมีความสุขได้! ผนวกกับนี่เป็อาหารรสเลิศที่ข้าลงมือทำให้เย่เอ๋อร์ด้วยตัวเอง ข้างในเต็มไปด้วยความรักท้วมท้นจากมารดา ข้าเชื่อว่าเย่เอ๋อร์จะต้องชอบแน่นอน”
มารดาเข้าใจบุตรชายที่สุด!
หากไม่อาจจัดการเย่เอ๋อร์ที่เป็จะกละตัวน้อยให้อยู่มือได้ เช่นนั้นเทพอาหารเช่นนางก็ถือว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ!
อีกทั้งในฐานะที่เป็จะกละเช่นเดียวกัน นางย่อมเข้าใจจิตใจของจะกละที่สุด
นางวางกล่องอาหารไว้หน้าประตูตำหนักบรรทม แล้วเปิดฝาหนึ่งในกล่องอาหารนั้นออก เพียงชั่วครู่กลิ่นหอมยั่วน้ำลายของหมูสามชั้นในน้ำซอสก็กระจายไปทั่วลานเรือน และเข้าไปในตำหนักบรรทมผ่านช่องประตู
องครักษ์ ขันทีและเหล่านางกำนัลที่ยืนอยู่ในลานเรือนต่างพากันสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างพร้อมเพรียงและกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลิ่นหอมจริงๆ!
ลำพังเพียงแค่ได้กลิ่นก็ทำให้คนน้ำลายสอ เมื่อเห็นเนื้อหมูสามชั้นที่ส่องประกายวาววับ ไม่รู้ว่าหากกัดลงไปจะให้รสชาติอย่างไร!
กระทั่งเซวียนหยวนเช่อที่ไม่ได้เป็คนเจริญอาหารง่ายดายนักก็ยังรู้สึกว่าใต้ลิ้นเริ่มมีน้ำลายออกมา
เฟิ่งเฉี่ยนทางหนึ่งใช้มือโบกกลิ่นหอมของหมูสามชั้น ให้กลิ่นของมันลอยเข้าไปในเรือน ทางหนึ่งะโเข้าไปข้างในว่า “เย่เอ๋อร์ วันนี้ร่ำเรียนมาทั้งวันแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งหิวใช่หรือไม่ เสด็จแม่ลงมือทำหมูสามชั้นให้เ้าด้วยตนเองเชียว ทั้งหอมทั้งนุ่ม เ้ารีบเปิดประตูออกมา เสด็จแม่จะกินพร้อมกับเ้า!”
พูดแล้วนางก็เอาหูแนบบานประตู ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านใน ได้ยินเสียงสวบสาบเบาๆ ทว่าเขายังคงไม่มาเปิดประตู
เซวียนหยวนเช่อแค่นเสียงฮึในลำคอ แววตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ยังคิดว่านางจะใช้วิธีแยบยลอันใด ที่แท้ก็แค่นี้เอง
“ไอหยา! ร้อนเหลือเกิน! มือของเสด็จแม่ถูกลวกเสียแล้ว! เย่เอ๋อร์ เ้ารีบมาช่วยเป่าให้เสด็จแม่เร็วเข้า!”
มีเสียงดังสวบสาบดังขึ้นด้านในประตู ทว่าประตูยังไม่เปิดออก
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตามองนาง พูดเสียงเย็น “ปัญญาอ่อน!”
เฟิ่งเฉี่ยนถลึงตาใส่เขา แต่นางยังคงไม่ยอมแพ้ “ฝ่าา พระองค์จะเสด็จแล้วหรือ หม่อมฉันน้อมส่งเสด็จฝ่าาเพคะ!”
เซวียนหยวนเช่อถลึงตาใส่นาง เขาพูดเมื่อไหร่กันว่าเขาจะไป
เฟิ่งเฉี่ยนกลับยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วส่งเสียงชู่ววใส่เขา
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ด้านในประตู แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูกลับหยุดลงอีก
เฟิ่งเฉี่ยนดวงตาเป็ประกาย รีบส่งสัญญาณชี้ไปที่เซวียนหยวนเช่อ แล้วส่งสัญญาณมือให้กับคนอื่นๆ
คนอื่นๆ พร้อมใจกันส่งเสียง “หม่อมฉัน (กระหม่อม) น้อมส่งเสด็จฝ่าาเพคะ!”
ภายในลานเรือนพลันเงียบสงบลงอย่างที่สุด ทุกคนล้วนกลั้นหายใจและจ้องไปที่ประตูตำหนักบรรทมบานนั้น ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเพียงเสียง แอ๊ดดด ประตูค่อยๆ เปิดออกทีละน้อย ศีรษะเล็กๆ ของไท่จื่อน้อยโผล่ออกมาเมียงมองด้านนอกประตู
เฟิ่งเฉี่ยนพุ่งร่างเข้าไปทันทีพร้อมกับอุ้มเ้าตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมกอด “นี่แน่ะ จับหนุ่มน้อยได้หนึ่งคน! เป็หนุ่มหล่อบ้านใครกัน ไฉนจึงได้หล่อเหลาเช่นนี้”
ไท่เจื่อน้อยช้อนตาขึ้นจากอ้อมกอดของนาง เสด็จพ่อไม่ได้ไปไหน นาทีนี้ยังยืนอยู่ไม่ห่างจากเขานัก ดวงตาทอประกายคู่นั้นกระพริบตาปริบๆ ทันทีที่ได้สติ เขาดิ้นรนเพื่อ้าหลบหนี
เฟิ่งเฉี่ยนไหนเลยจะยอมปล่อยให้เขาหนีไปได้ นางอุ้มเขาขึ้นมาแล้วจับจ้องใบหน้าเล็กๆ นั้น “ให้เสด็จแม่ดูหน่อย เย่เอ๋อร์ร้องไห้ขี้มูกโป่งหรือไม่”
“ไม่มีสักหน่อย!” ไท่จื่อน้อยก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย เอาแต่ซุกหน้าลงในอ้อมกอดของนาง ชิงชังเหลือเกินที่ไม่อาจซุกร่างทั้งร่างไว้ในอ้อมกอดของนาง
เฟิ่งเฉี่ยนมองเขาด้วยความรักและเอ็นดู “ดี ไม่มี เย่เอ๋อร์แค่ถูกทรายเข้าตาใช่หรือไม่”
ไท่จื่อน้อยพยักหน้าเบาๆ
เฟิ่งเฉี่ยนไม่เปิดโปงเขาเช่นกัน มือหนึ่งอุ้มเขาขึ้นมาอีกมือหนึ่งหิ้วกล่องอาหาร “เสด็จแม่ยังไม่ได้กินข้าวเลย ไป เข้าไปกินข้าวเป็เพื่อนเสด็จแม่!”
ไท่จื่อน้อยกอดคอนางแน่นเมื่อเงยหน้าขึ้นลอบมองไปทางเซวียนหยวนเช่อ เพิ่งจะประสานสายตากับเขาก็รีบซุกกายกลับไปอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าประสานสายตากับเขาอีก
หัวใจเซวียนหยวนเช่อหนักอึ้ง คิดไม่ถึงว่าโอรสของตนจะหวาดกลัวตนถึงเพียงนี้ ไม่มีกระทั่งความกล้าหาญที่จะประสานสายตากับเขา
หรือ เขาจะทำผิดจริงๆ หรือ
เขาอดที่จะใคร่ครวญสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้
ภายในตำหนักบรรทม เซวียนหยวนเช่อนั่งอยู่บนตั่งนุ่มมองสองแม่ลูกนั่งล้อมโต๊ะแบ่งปันอาหาร เ้าป้อนข้าคำหนึ่ง ข้าป้อนเ้าคำหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกเบื่อหน่าย
“เย่เอ๋อร์ หมูสามชั้นที่เสด็จแม่ทำอร่อยหรือไม่” เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มตายิบหยีเมื่อมองบุตรชาย เห็นเขากินด้วยความพึงพอใจ นางพลันรู้สึกว่าอะไรก็ไม่สำคัญ บุตรชายมีความสุขจึงจะเป็เื่ที่มาเป็อันดับหนึ่ง
อาจเป็เพราะนี่เป็ความรู้สึกจากใจของผู้เป็มารดากระมัง!
ไท่จื่อน้อยพูดทั้งปากมันวับ ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเนื้อหนังนั้นยิ้มแย้มเบิกบาน “อร่อยที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา “เช่นนั้นตอนนี้เย่เอ๋อร์สบายใจมากขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
รอยยิ้มพลันหายวับไปกับตา ใบหน้าเล็กๆ นั้นเคร่งขรึมลง เขาวางตะเกียบ ก้มหน้า เงียบงันไม่พูดจา
เซวียนหยวนเช่อช้อนตาขึ้นมองมา
เฟิ่งเฉี่ยนสังเกตสีหน้าท่าทางของไท่จื่อน้อย แล้วเกริ่นขึ้นว่า “ให้เสด็จแม่เล่านิทานให้เ้าฟังสักเื่เถิด!”
ไท่จื่อน้อยเงยหน้าเล็กๆ นั้นขึ้นมา
เฟิ่งเฉี่ยนพูดต่อ “เมื่อครั้งที่เสด็จแม่ยังเล็กมากๆ อาจารย์ของเสด็จแม่สอนเคล็ดลับการใช้มีดบินให้เสด็จแม่ อีกทั้งยังนำเอากระต่ายน้อยที่เสด็จแม่เลี้ยงมาหลายเดือนมาทำเป็เป้า...”
ไท่จื่อน้อยเบิกตากลมโตอย่างน่ารัก ด้วยความตื่นเต้น “ต่อมาเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จแม่ตัดใจฆ่ากระต่ายน้อยไม่ลง ดังนั้นทุกครั้งจึงจงใจปามีดบินให้พลาดเป้า แต่อาจารย์โมโห ดุด่าเสด็จแม่ว่าไม่เอาไหน ตำหนิเสด็จแม่ว่าไม่อาจเป็โล้เป็พายได้” เมื่อย้อนคิดถึงเื่ในอดีต ราวกับเป็เื่เมื่อชาติที่แล้ว แววตาของเฟิ่งเฉี่ยนล่องลอยออกไปไกล
ไท่จื่อน้อยฟังจนเคลิบเคลิ้ม เขาถามว่า “ต่อมากระต่ายน้อยตายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะแล้วเล่าต่อ “ต่อมา ทุกครั้งที่เสด็จแม่ฝึกปามีด ก็จะถูกอาจารย์ดุด่าและลงโทษทุกครั้ง ฝ่ามือ ก้นล้วนถูกตีจนเป็แผล แต่เสด็จแม่ยังคงกัดฟันอดทนยืนกรานที่จะไม่ยอมยิงกระต่ายน้อยให้ตาย!”
“อาจารย์ของเสด็จแม่เป็คนไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ!” ไท่จื่อน้อยพูดอย่างมีโทสะ
เฟิ่งเฉี่ยนกลับส่ายหน้า “อาจารย์ไม่ได้เป็คนไม่ดี เขาเพียงแต่ใช้วิธีอีกวิธีหนึ่งเพื่อปกป้องเสด็จแม่ เพราะเขารู้ว่า ตนเองไม่อาจอยู่ข้างกายเสด็จแม่ตลอดไปได้ ช้าเร็วเขาก็ต้องไปจากโลกนี้ก่อน เขาปรารถนาเพียงจะสอนให้เสด็จแม่ดำเนินชีวิตต่อไปและดูแลปกป้องตนเองได้อย่างไรให้เร็วที่สุด เช่นนี้รอเมื่อถึงวันที่เขาไม่อยู่แล้ว เสด็จแม่ก็จะเผชิญหน้ากับปัญหาและอันตรายทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง...”
คิดถึงอาจารย์ กระบอกตาของนางพลันเปียกชื้นขึ้นมา บนโลกใบนี้นอกจากศิษย์พี่แล้วก็มีอาจารย์ที่รักนางที่สุด เพียงแต่น่าเสียดายที่อาจารย์จากไปั้แ่ยังหนุ่มแน่น จากพวกเขาไปเร็วมาก
คิดมาถึงตรงนี้ คำสั่งสอนต่างๆ ที่อาจารย์มีต่อตนเอง ทำให้นางรู้สึกลำคอตีบตัน
เซวียนหยวนเช่อฟังแล้วบังเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ั้แ่ยังเยาว์ฮองเฮาถูกทดสอบว่าไม่มีพื้นฐานของพลังเทพ ดังนั้นมหาเสนาบดีจึงไม่เคยเชิญอาจารย์มาสอนวรยุทธ์ให้กับนาง เช่นนั้นอาจารย์ท่านนี้ของนางโผล่มาจากที่ใดกัน ยังมีของเล่นประหลาดที่ปรากฏบนตัวนางอีก นี่มันเื่อะไรกัน
เขาอดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้
“ที่แท้เป็เช่นนี้ เช่นนั้นอาจารย์ของเสด็จแม่นับว่าเป็คนดีคนหนึ่ง” ไท่จื่อน้อยเอียงคอราวกับกำลังใช้ความคิด
เฟิ่งเฉี่ยนคลี่ยิ้มบางๆ “ที่จริงแล้วข้างกายเ้าก็มีคนเช่นนี้คนหนึ่ง”
ไท่จื่อน้อยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “มีหรือพ่ะย่ะค่ะ ไฉนเย่เอ๋อร์จึงไม่รู้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“มีแน่นอน” เฟิ่งเฉี่ยนตวัดสายตาไปทางเซวียนหยวนเช่อ “เขาก็คือเสด็จพ่อของเ้า!”