เฉินซีเหลียงมาอย่างดีใจ แต่กลับไปอย่างกลัดกลุ้ม
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เร่งเร้า เธอมีเวลาอีกมาก ต่อมาผู้จัดการใหญ่อู่บอกว่าบ้านที่ซอยหนานหลัวกู่ เ้าของบ้านยอมลดราคาจากเจ็ดหมื่นห้ามาเป็เจ็ดหมื่นแล้ว เนื่องจากเขารีบร้อนอยากออกนอกประเทศ จึง้าขายบ้านโดยด่วน
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานยังคงรู้สึกว่าแพงเกินไป อีกทั้งผู้เช่าก็จัดการยากน่ะสิ
เ้าของบ้านเองก็เข้าใจความ้าของเซี่ยเสี่ยวหลาน คนที่ติเตียนสินค้าย่อมเป็ผู้ซื้อสินค้า เช่นนั้นที่เซี่ยเสี่ยวหลานติเตียนแบบนี้แสดงว่ายังอยากซื้อสินะ?
ฝ่ายนั้นถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าสามารถให้ราคาได้มากน้อยเท่าไร เซี่ยเสี่ยวหลานให้ได้แค่หกหมื่น เ้าของบ้านก็ตอบกลับทันทีว่าเช่นนั้นคงไม่ต้องเจรจากันต่ออีกแล้ว และการซื้อขายคราวนี้ถือเป็โมฆะ
เซี่ยเสี่ยวหลานหาได้ร้อนใจไม่ อย่างน้อยภายนอกเธอก็แสดงออกเช่นนั้น
ส่วนบ้านที่สือช่าไห่ เธอเสนอราคาให้แปดหมื่น
เ้าของบ้านทั้งสองหลังที่จริงแล้วต่างก็รอนานไม่ได้เช่นเดียวกัน บ้านที่ซอยหนานหลัวกู่อยากไปต่างประเทศ บ้านที่สือช่าไห่ก็มีพี่น้องในตระกูลรอแบ่งสมบัติ การขอให้ผู้จัดการอู่ช่วยเป็การตัดสินใจที่ถูกต้อง หากเซี่ยเสี่ยวหลานหาซื้อบ้านด้วยตัวเอง จะสืบข่าวพวกนี้คงไม่ง่ายดายแบบนี้ การกดราคาให้ต่ำที่สุดย่อมเป็เื่ดี เพราะต่อให้ราคาที่ได้จะสูงกว่าราคาที่เซี่ยเสี่ยวหลานเสนอ เธอก็ยังจะซื้อน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็เคยคิดว่าระหว่างนั้นอาจจะมีคนซื้อตัดหน้า แต่หากอีกฝ่ายเสนอราคาเท่าไร และจะให้เธอยอมให้เท่านั้น นั่นมันไม่ใช่วิธีการของเซี่ยเสี่ยวหลานแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นก็เดิมพันกันสักตั้ง อย่างไรการทำธุรกิจก็คือการเดิมพัน!
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาที่หอพัก หยางหย่งหงวางหนังสือในมือ “น้องหก วันนี้เธอออกไปทั้งวันอีกแล้ว ฉันว่าสัปดาห์นี้เธอดูปล่อยปละละเลยเื่การเรียนไปหน่อยนะ”
หยางหย่งหงรับผิดชอบต่อหน้าที่หัวหน้าหอพักอย่างมาก เธอบอกให้ทุกคนผลัดเวรทำความสะอาด และมักช่วยซื้ออาหารมาให้ทุกคนอยู่เสมอ ทั้งยังคอยจับตาดูเื่การเรียนให้กับสมาชิกห้อง 307 อีกด้วย เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานถูกเรียกชื่อตำหนิเช่นนี้จึงรีบทบทวนตัวเองทันที
“สัปดาห์นี้ฉันยุ่งมากจริงๆ แต่หลังจากนี้ฉันจะตั้งใจเรียนให้มากขึ้นแน่นอน ฉันจะไม่ทำให้ผิดหวัง!”
กลองที่ดีไม่ต้องตีแรง หยางหย่งหงชี้แนะเพียงเล็กน้อย เซี่ยเสี่ยวหลานก็ตระหนักได้ถึงปัญหา ท่านหัวหน้าหอพักจึงไม่คิดที่จะไล่บี้อีก
เซี่ยเสี่ยวหลานมีเสื้อผ้าอีกสองชุดที่ยังไม่ได้ซัก เธอจึงยกกะละมังออกไปที่อ่างซักล้างด้านนอก... ใช่แล้ว ท่านประธานเซี่ยที่แม้ตอนนี้จะกำลังเจรจาธุรกิจหลักแสน แต่เมื่ออยู่ที่มหาวิทยาลัยก็ยังต้องซักเสื้อผ้าเอง สมัยนี้ยังไม่มี ‘ห้องซักผ้า’ ดังนั้นไม่ว่านักศึกษาจะร่ำรวยเพียงใด หากซักเสื้อผ้าก็ต้องซักด้วยมือ
เฉินอีอีที่ปกติไม่ค่อยมีปากมีเสียงในห้อง 307 ก็กำลังซักผ้าอยู่เช่นกัน เมื่อเธอเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานยกกะละมังมา ใบหน้าของเฉินอีอีก็เต็มไปด้วยความเป็ห่วง
“ถูกดุแล้วสินะ เมื่อกี้พี่ใหญ่พูดอยู่เลยว่า เธอกลับมาเมื่อไรจะต้องตำหนิเธอเสียหน่อย แถมยังไม่อนุญาตให้ทุกคนช่วยพูดแทนเธออีกด้วย... จริงสิ คุณอาของเธอไม่เป็อะไรแล้วใช่ไหม”
ทุกวันหลังเลิกเรียน เซี่ยเสี่ยวหลานจะออกจากมหาวิทยาลัยทันที หนึ่งเพราะเธอต้องไปเยี่ยมทังหงเอิน สองเพราะต้องทำธุระส่วนตัว
ในหอพักมีคนอาศัยอยู่ด้วยกันหลายคน แต่มีเพียงเฉินอีอีที่เป็คนช่างสังเกต เธอได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อจางๆ จากตัวเซี่ยเสี่ยวหลาน เซี่ยเสี่ยวหลานจึงบอกไปว่าคุณอาของตนเข้าโรงพยาบาล
“พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว อีอี ขอบคุณที่เป็ห่วงนะ”
เฉินอีอียิ้ม ใบหน้าของเธอดูอ่อนโยนมาก
ห้อง 307 มีกันแปดคน นิสัยของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน แต่มีเพียงเฉินอีอีที่เป็คนอ่อนโยนอย่างแท้จริง
เวลาเซี่ยเสี่ยวหลานพูดคุยกับเธอจะลดเสียงตัวเองโดยอัตโนมัติ เพราะกลัวทำให้เฉินอีอีใ แต่ความจริงแล้วในสายตาคนอื่น น้ำเสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นรื่นหูยิ่งนัก ทำให้คนรู้สึกอยากปกป้องได้อย่างง่ายดาย
—--------------------------------------
จี้เจียงหยวนก็คิดเช่นเดียวกัน
นิสัยของเซี่ยเสี่ยวหลานกับบุคลิกภายนอกนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความจริงแล้วหน้าตาของเธอไม่นับว่าเป็แบบที่จี้เจียงหยวนชอบที่สุด
เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นดูเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต และความสดใสที่มีพลังเช่นนี้ไม่มีทางยอมติดอยู่ในกรอบง่ายๆ แม้ดูเผินๆ แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่ได้ต่างจากนักศึกษาคนอื่นที่เข้าเรียนตรงเวลา กระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรมหมู่คณะ แต่จี้เจียงหยวนก็ยังคงรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนใครเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าจี้เจียงหยวนรู้ เซี่ยเสี่ยวหลานมีแฟนแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าการสนอกสนใจใครเป็พิเศษคือการแย่งแฟนคนอื่น
บนตัวเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ และความลึกลับนี้ดึงดูดให้เขาอยากค้นหาว่ามันคืออะไรกันแน่
ความอยากรู้อยากเห็นเป็บ่อเกิดของความชื่นชม หลายๆ คนถลำลึกโดยไม่รู้ตัวก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นนี้ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้จี้เจียงหยวนก็ไม่รู้ตัวเลยสักนิด เขาเอาแต่คิดที่จะสืบเื่ของ ‘หวังเจี้ยนหัว’ คนที่ได้ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะท่าทางของผู้ชายคนนั้นดูจิตไม่ปกติสักเท่าไรน่ะสิ
จี้เจียงหยวนเป็เพื่อนกับหนิงเสวี่ยได้ ย่อมหมายความว่าตระกูลจี้ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่ากันอย่างแน่นอน
ตอนนี้พ่อเฒ่าจี้ ตาของจี้เจียงหยวนสุขภาพไม่แข็งแรง จี้เจียงหยวนถึงได้ตามผู้เป็แม่กลับมาที่จีน เพราะอยากอยู่เป็เพื่อนคุณตาท่านใน่เวลาสุดท้ายของชีวิต
หลังกลับมาที่ประเทศจีนเขารู้สึกไม่คุ้นชินอย่างมาก
ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวชิง
จี้เจียงหยวนคิดไปเองว่า ความใส่ใจที่ตนมีต่อเซี่ยเสี่ยวหลานเป็เพียงมิตรภาพของเพื่อนนักศึกษาเท่านั้น แต่หากถามว่านอกจากเื่สุขภาพของพ่อเฒ่าจี้แล้วเขายังมีเื่กลุ้มใจอะไรอีก ก็คงเป็ท่าทีของจี้หย่าแม่ของเขา... จี้หย่าเป็ผู้หญิงที่มีเสน่ห์เหลือล้น ตอนที่สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ยามจี้หย่าเดินไปไหนก็มีแต่คนเข้ามาขอทำความรู้จัก ชาวอเมริกาพวกนั้นต่างก็รู้สึกว่าเธอเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของชาวเอเชียอย่างแท้จริง
ชาวต่างชาติคิดว่าจี้หย่าหน้าตาสะสวย จี้เจียงหยวนเองก็ยอมรับว่าแม่ของเขาเป็สาวงามตัวจริง
แต่สาวงามคนนี้มักจะมีอาการฮิสทีเรีย [1] กำเริบ และนั่นทำให้จี้เจียงหยวนค่อนข้างกลัว
หลังกลับมาที่จีนอารมณ์ของแม่เขาก็ไม่ค่อยนิ่งสักเท่าไร ่นี้มักจะจับจี้เจียงหยวนมาเค้นถามว่า มีใครไปหาเขาที่มหาวิทยาลัยหรือไม่
ใครจะไปหาเขาที่มหาวิทยาลัยกัน?
หรือว่าหมายถึงพ่อบังเกิดเกล้าของเขา?
จี้เจียงหยวนจำพ่อบังเกิดเกล้าของตนได้อย่างเลือนลาง เมื่อครั้งที่เขาเพิ่งย้ายไปอเมริกาใหม่ๆ เขาก็ล้มป่วยเนื่องจากการที่ร่างกายปรับตัวไม่ได้ หลังหายดีแล้วเขาก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ เป็เหตุให้ความทรงจำที่ไม่ค่อยหวนคิดถึงค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ ที่จี้หย่าเกิดอาการฮิสทีเรียกำเริบบ่อยครั้งก็เพราะพ่อของเขา จี้เจียงหยวนเองก็ไม่กล้าถาม และเพียงไม่นานเื่นี้ก็กลายเป็เื่ต้องห้ามของตระกูลจี้
ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่จี้หย่า แต่คนตระกูลจี้ทุกคนล้วนเกลียดชังพ่อของจี้เจียงหยวน
บางครั้งเขาก็อยากรู้เหลือเกิน ผู้ชายคนนั้นทำอะไรไว้กันแน่ คนตระกูลจี้ถึงได้จงเกลียดจงชังเขามากมายเช่นนี้
เขาพอจำได้ลางๆ พ่อของเขามักจะให้เขาขี่คอเพื่อเล่นขี่ม้าด้วยกัน
คงเพราะรักเขาสินะ หรืออย่างน้อยก็เคยรัก?
หลังจากนั้นทำไมถึงไม่มีข่าวคราวของเขาเลยล่ะ
จี้เจียงหยวนเคยสงสัย แต่เมื่อความสงสัยไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจและลืมมันไปในที่สุด พอคิดถึงพ่อบังเกิดเกล้า เขาก็นึกถึง ‘คุณอา’ ของเซี่ยเสี่ยวหลานขึ้นมาอีกครั้ง เพราะทั้งสองคนมีแซ่เดียวกัน
ต่อให้จี้เจียงหยวนเป็คนลืมง่ายแค่ไหน ก็ไม่มีทางลืมชื่อแซ่ของตัวเองในสมัยเด็กได้
ตอนนั้นเขาแซ่ทัง
คุณอาของเซี่ยเสี่ยวหลานก็แซ่ทังเช่นกัน
ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้
จี้เจียงหยวนลุกขึ้นนั่งบนเตียง ที่แม่ของเขาอยู่ๆ มีอาการกำเริบขึ้นมา คงไม่ได้มีใครไปกระตุ้นอะไรเธออีกหรอกนะ!
ใครจะมาหาเขาที่มหาวิทยาลัย? ถ้าบอกว่ามีคนเคยเจอเขาที่มหาวิทยาลัย แถมยังแซ่ทังเหมือนกัน ก็คงจะเป็ ‘คุณอาทัง’ ของเซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่หรือ?
วันนี้จี้เจียงหยวนตามสืบจนทั่ว เดิมทีเขาอยากสืบเื่ประวัติความเป็มาของหวังเจี้ยนหัวเท่านั้น เพราะอยากเตือนให้เซี่ยเสี่ยวหลานระวังตัวไว้ แต่ตอนนี้เขามีอีกหนึ่งความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา และทำอย่างไรก็ข่มมันไว้ไม่อยู่
เช้าวันอาทิตย์ เซี่ยเสี่ยวหลานต้องออกไปข้างนอกอีกครั้ง
วันนี้ทังหงเอินจะออกจากโรงพยาบาล และเดินทางกลับเผิงเฉิงทันที แต่เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานลงจากหอพัก เธอกลับเจอจี้เจียงหยวนที่ชั้นล่าง อีกฝ่ายส่งยิ้มกว้างมาให้
“สหายเซี่ย ฉันสงสัยว่าเธอคงถูกบุคคลอันตรายหมายตาเข้าแล้วล่ะ และรู้สึกว่าฉันมีหน้าที่ต้องคุ้มครองเธอ... อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันทำไปเพราะมิตรภาพที่มีต่อเพื่อนนักศึกษาด้วยกันนะ!”
มิตรภาพของเพื่อนนักศึกษา?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกหนาววูบที่คอขึ้นมาฉับพลัน
เธอกับจี้เจียงหยวนมีมิตรภาพต่อกันมากแค่ไหนกันเชียว มาคิดๆ ดูแล้วเธอไม่น่าเอากุ้งแห้งพวกนั้นให้จี้เจียงหยวนเลย!
“จี้เจียงหยวน ฉันต้องไปโรงพยาบาล เธอตามไปคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก”
พาจี้เจียงหยวนไปโรงพยาบาลเพื่อรับทังหงเอินออกจากโรงพยาบาล?
นี่ไม่ใช่การเซอร์ไพรส์ แต่เป็เื่น่าใมากกว่า
ทังหงเอินเครียดเมื่อไรก็จะปวดกระเพาะ ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงกลัวทังหงเอินจะอาการกำเริบเนื่องจากรับเื่น่าใแบบนี้ไม่ไหวน่ะสิ!
เชิงอรรถ
[1]โรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง ผู้ป่วยโรคนี้จะมีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์หรือควบคุมความวิตกกังวลของตัวเอง รวมถึงความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมของตนเองก็ทำได้ไม่ดีเท่าคนทั่วไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้