วันนี้เป็วันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสไร้เมฆหมอก
เมืองชางยังคงเจริญรุ่งเรืองและคึกคักเช่นเคย ผู้คนสัญจรผ่านไปมาบนถนน รถราวิ่งขวักไขว่
ถนนหนิวหลันเป็ถนนที่มีชื่อเสียงสายหนึ่งของเมืองชาง ตำแหน่งที่ตั้งของถนนอยู่ใจกลางเมืองชาง ทางทิศเหนือเชื่อมต่อกับเขตเมืองที่อยู่อาศัยของพวกตระกูลผู้ดี ทางทิศใต้เชื่อมต่อกับเมืองที่อยู่อาศัยของประชาชนคนธรรดาทั่วไป ร้านค้าที่นี่ก็มีอยู่อย่างหนาแน่น ร้านค้าส่วนมากจะเป็ของที่หายากและของเล่นที่แปลกประหลาด ทั้งคนที่มีเงินและไม่มีเงินต่างก็ชอบมาที่นี่เพื่อดื่มด่ำกับกลิ่นอายสมบัติของล้ำค่าเก่าแก่และเสาะหาของมีค่า ทำนองว่าตาดีได้ตาร้ายเสียอะไรประมาณนั้น
ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงวัน ภายในร้านค้าแห่งหนึ่งที่ขายเฉพาะแก่นผลึกมารอสูรมีละครฉากหนึ่งที่น่าตลกขบขันกำลังเกิดขึ้น
เนื่องจากเป็่เวลาพักเที่ยงของวันภายในร้านจึงไม่มีลูกค้า ที่หน้าประตูร้านมีเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาสวมใส่ชุดธรรมดารูปร่างผ่ายผอมแต่หน้าตายังนับว่าเป็หนุ่มรูปงาม
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปภายในร้านและตรงเข้าไปยังแผนกขายแก่นผลึกมารอสูรระดับต่ำโดยไม่สนใจของสิ่งอื่นที่อยู่ภายในร้าน จากนั้นหยิบแก่นผลึกมารอสูรระดับหนึ่งขึ้นมาห้าเม็ดตรวจพิจารณาอยู่สักพักแล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าที่พอใจว่า
“เถ้าแก่ ข้า้าแก่นผลึกมารอสูรระดับหนึ่งทั้งห้าเม็ดนี้ ทั้งหมดราคาเท่าไร?”
เ้าของร้านเป็ชายวัยกลางคนอ้วนเตี้ย เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยถามจึงหันมาให้ความสนใจ แต่เมื่อได้ยินผู้ที่มา้าซื้อแค่ห้าเม็ดแถมยังเป็ระดับต่ำที่สุดอีกจึงหมดอารมณ์แล้วตอบไปอย่างไม่สนใจว่า “หนึ่งเม็ดแปดสิบก้อนผลึกพลัง รวมทั้งหมดสี่ร้อยก้อนผลึกพลัง”
“อะไรนะ? แปดสิบก้อนผลึกพลังต่อหนึ่งเม็ด นี่มันปล้นกันชัดๆ” เด็กหนุ่มได้ฟังถึงกับร้องะโออกมาด้วยเสียงอันดัง
เ้าของร้านอ้วนเตี้ยได้ยินก็ไม่ได้สนใจ ราวกับว่าการตัดราคาลักษณะนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดทุกวัน เขาเบ้ปากแล้วพูดขึ้น “ราคาตลาดก็ราคานี้ จะเอาไม่เอา?”
“ราคาตลาด? แต่ร้านนั้นที่อยู่ข้างๆ ไม่ไกลออกไปขายแค่เม็ดละเจ็ดสิบผลึกพลังเอง” เด็กหนุ่มกล่าวต่อ
“เจ็ดสิบก็เจ็ดสิบ เอาผลึกพลังมา” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมกับยื่นมือมา
เด็กหนุ่มหัวเราะแหะๆ “ร้านก่อนหน้าเจ็ดสิบข้ายังไม่ซื้อเลย ลดอีกนิดสิเถ้าแก่”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว หกสิบห้าก้อนผลึกพลังต่อหนึ่งเม็ด” เ้าของร้านยอมอ่อนให้อีกครั้ง
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาอีกครั้ง “แหะๆ เถ้าแก่ ความจริงข้ารู้อะไรมาอย่างหนึ่ง พวกท่านที่เปิดร้านนี่ใจอำมหิตไม่เบาเลย แก่นผลึกมารอสูรระดับหนึ่งแบบนี้พวกท่านไปกว้านซื้อที่เทือกเขารกร้างที่อยู่ทางตอนใต้ใช้ก้อนผลึกพลังแค่สิบกว่าก้อนต่อหนึ่งเม็ด แต่ทำไมเมื่อมาถึงเมืองชางกลายเป็หกสิบห้าก้อนผลึกพลังต่อหนึ่งเม็ดไปได้ กำไรหกเจ็ดเท่าตัว พวกท่านนี่ใจอำมหิตจริงๆ”
เ้าของร้านเริ่มรู้สึกว่าคนผู้นี้ซื้อของแค่เล็กน้อยแต่กลับพูดชักแม่น้ำทั้งห้ามาโจมตีใส่ตัวบุคคลด้วย จึงพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า “เด็กอย่างเ้าจะไปรู้อะไร? จากเทือกเขารกร้างมาถึงที่นี่หนทางยาวไกลเท่าไรเ้ารู้ไหม? แถมการขนส่งก็ต้องจ้างคนคุ้มกัน อีกทั้งค่าเช่าร้านภายในเมืองชางทุกปีต้องจ่ายแพงเท่าไรเ้ารู้หรือไม่? จะซื้อไม่ซื้อ ไม่ซื้อก็รีบๆ ออกไป”
เด็กหนุ่มไม่สนใจต่อถ้อยคำของเขายังคงพูดต่อ “จากเทือกเขารกร้างมาถึงที่นี่รวมระยะทางทั้งสิ้นหกร้อยสิบกิโลเมตร การขนส่งสินค้าแบบธรรมดาที่ใช้ทหารรับจ้างค่าใช้จ่ายต่ำมาก แถมพวกท่านขนส่งสินค้าแต่ละครั้งก็ทำเป็จำนวนมาก อย่างแก่นผลึกมารอสูรระดับหนึ่งค่าใช้จ่ายประเมินดูแล้วตกอยู่เม็ดละหนึ่งหรือสองก้อนผลึกพลังเห็นจะได้ ส่วนค่าเช่าร้านในเมืองชางประเภทร้านแบบท่านนี้ปีหนึ่งตกอยู่ที่ห้าสิบก้อนผลึกพลังม่วง คิดเป็ก้อนผลึกพลังก็คือห้าพันก้อน เถ้าแก่ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม ความจริง...ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร แค่อยากให้ท่านลดให้อีกสักหน่อยแค่นั้นเอง...แหะๆ”
“เอ่อ...เ้าทำไมรู้ละเอียดชัดเจนขนาดนี้ ก็ได้ข้ายอมเ้าแล้ว ห้าสิบก้อนผลึกพลังต่อหนึ่งเม็ด ต่ำกว่านี้ไม่ขายแล้ว” ชายวัยกลางคนร่างอ้วนเตี้ยพูดออกมาด้วยหน้าตาราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าอย่างนั้น...” เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างพอใจ สอดมือข้างหนึ่งเข้าไปภายในเสื้อที่หน้าอก แต่คล้ายกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้คิ้วขมวดขึ้นทีหนึ่งก่อนที่จะหันมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนจึงขยับเข้าไปใกล้เถ้าแก่แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันแ่เบา “เถ้าแก่ ข้าจำได้ว่าถ้ามีป้ายสีทองของตระกูลเย่สามารถลดได้ห้าสิบจากร้อยส่วนใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง...ทำไม? เ้ามีรึ?” เ้าของร้านพยักหน้ากล่าวตอบไปด้วยความสงสัย ตระกูลเย่ถือว่าเป็เทพผู้พิทักษ์ทางตอนใต้นี้ ดังนั้นหากเป็ลูกหลานของตระกูลเย่ล้วนมีสิทธิพิเศษไม่มากก็น้อย ส่วนป้ายสีทองเมื่อซื้อของสามารถใช้ลดได้ห้าสิบจากร้อยส่วน แต่ว่าพวกที่มีป้ายสีทองล้วนเป็ลูกหลานสายเืโดยตรงของตระกูล โดยทั่วไปไม่น่าจะขาดเงินในการใช้สอย ดังนั้นจึงเห็นได้น้อยมากที่จะใช้ป้ายสีทองซื้อของ
“แหะๆ!” เด็กหนุ่มเกาหัวอย่างเขินอาย ยื่นมือไปหยิบป้ายสีทองออกมา บนป้ายปรากฏอักษร "เย่" ขนาดใหญ่ราวกับมีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงทรงพลัง “น่าละอายใจอย่างยิ่ง ข้าน้อยกับนายน้อยขวงมีความสัมพันธ์เป็ญาติกัน ดังนั้นจึงยืมป้ายทองของเขามาลองใช้เล่นๆ เถ้าแก่คิดเงินเถอะ”
“หนี่งร้อยยี่สิบห้าก้อนผลึกพลัง” สีหน้าเ้าของร้านดำคล้ำลงในทันที การซื้อขายรอบนี้ขาดทุนเป็อย่างยิ่ง ยังดีที่เด็กหนุ่มซื้อแก่นผลึกมารอสูรระดับหนึ่งที่ราคาถูกๆ เพียงเท่านั้น ถ้าหากเขาซื้อระดับห้าระดับหกไม่รู้ว่าจะขาดทุนอีกสักเท่าไร
“ตกลงตามนั้น นี่เงินของท่าน ข้าไปก่อนละ ไม่ต้องส่ง ต่อไปมีโอกาสข้าจะมาอุดหนุนใหม่” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเบิกบานเดินถือแก่นผลึกมารอสูรห้าเม็ดออกประตูร้านไป
เด็กหนุ่มเพิ่งจะออกพ้นประตูร้าน หน้าประตูร้านมีเด็กสาวนางหนี่งสวมชุดสีขาวเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นเบาๆ “ท่านพี่ซื้อได้ไหม?”
ถูกต้อง ทั้งสองคนคือเย่ชิงหานและเย่ชิงอวี่ ได้ยินน้องสาวเอ่ยถามมาเย่ชิงหานพยักหน้ามองซ้ายขวาก่อนจะพูดขึ้น “ซื้อได้แล้ว กลับไปก่อนค่อยคุยกัน”
ทั้งสองรีบเดินออกไปจากถนนหนิวหลันกลับไปยังลานที่พักของตน
“คิกๆ วันนี้ซื้อแก่นผลึกมารอสูรมาได้ห้าเม็ด ทุกเม็ดซื้อถูกกว่าเมื่อวานสิบก้อนผลึกพลัง”
เมื่อเข้ามาถึงห้อง เย่ชิงหานเอาแก่นผลึกมารอสูรทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะ ดื่มน้ำเสร็จพูดออกมาด้วยรอยยิ้มราวกับพอใจกับประวัติการรบของวันนี้
“ท่านพี่เก่งที่สุดเลย รีบเรียกเสี่ยวเฮยออกมากินเถอะ” เย่ชิงอวี่หยิบแก่นผลึกมารอสูรขึ้นมาเม็ดหนึ่งยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ สำหรับนางแล้วไม่มีเื่อะไรบนโลกที่ทำให้นางมีความสุขได้เท่ากับเห็นพี่ชายมีความสุขนางก็จะมีความสุขด้วยเช่นกัน
“อืม เสี่ยวเฮยออกมากินข้าว” เย่ชิงหานพยักหน้าตอบรับ จากนั้นจึงเรียกเสี่ยวเฮยให้ออกมา
กระแสพลังสีขาวเอ่อล้นออกมาจากหน้าอกของเย่ชิงหาน มันค่อยๆ รวมตัวกันอย่างช้าๆ จนกลายเป็ร่างอสูรน้อยเสี่ยวเฮยขนาดเท่าฝ่ามือ เสี่ยวเฮยคล้ายกับเพิ่งจะตื่นมันยื่นอุ้งมือสองข้างขยี้ไปยังดวงตาทั้งสองที่สะลึมสะลือ แต่เมื่อมองเห็นแก่นผลึกมารอสูรที่วางอยู่บนโต๊ะจึงร้องออกมาด้วยความดีอกดีใจ มันพุ่งทะยานเป็เงาเลือนรางสายหนึ่งไปบนโต๊ะจับเอาแก่นผลึกมารอสูรขึ้นมากัดกิน
กร๊อบ! กร๊อบ!
มองดูใบหน้าเสี่ยวเฮยที่กินอย่างมีความสุข ในใจของเย่ชิงหานปวดใจเป็ที่สุด
นับั้แ่อัญเชิญเสี่ยวเฮยออกมาวันนี้ก็เป็วันที่สิบแล้ว แก่นผลึกมารอสูรที่เบิกมาในวันแรกห้าเม็ดเสี่ยวเฮยก็กินจนหมด เขาเลยจำต้องเรียกมันกลับเข้าไปอยู่ภายในมิติสัตว์อสูรเพื่อดูดซับเอาพลังปราณรบเพื่อใช้ข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอ
ทุกๆ วันเย่ชิงหานจะดูดซับพลังฟ้าดินเพิ่มนานขึ้นอีกสามชั่วโมงโดยหวังว่าเสี่ยวเฮยจะได้ดูดซับพลังปราณรบมากขึ้นจะได้เติบโตเร็วขึ้น
แต่ว่า!
ถึงวันที่สามเขากลับพบเจอกับ "โศกนาฏกรรม" อย่างหนึ่งเข้า
เสี่ยวเฮยไม่ดูดซับเอาพลังปราณรบแล้ว เหมือนกับว่ามันไม่ชอบกินอาหารเช่นนี้
ด้วยความที่อับจนปัญญา เย่ชิงหานตัดใจนำเอาเงินที่สะสมมาหลายปีไปซื้อแก่นผลึกมารอสูรมาให้เสี่ยวเฮยกินเพื่อช่วยให้มันข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอไปได้
แม้เขาจะเป็นายน้อยสายเืโดยตรงของตระกูล เป็หลานของเย่เทียนหลง แต่เขานั้นจนมากถึงมากที่สุด บิดามาด่วนจากไปและทรัพย์สินของบิดาก็ถูกทางตระกูลริบกลับไปทั้งหมด ด้านฐานะและความสำคัญก็ค่อยๆ ตกต่ำลง เมื่อแรกเริ่มเงินใช้จ่ายประจำเดือนแต่ละเดือนที่ตระกูลแจกจ่ายมายังได้รับในจำนวนที่เท่าเดิมคงที่ แต่หลังจากที่ท่านปู่เร้นกายไม่สนใจเื่ราวในตระกูลอีก เงินประจำเดือนที่ได้ก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้เหลือพอดีแค่ใช้ซื้อกิน เมื่อตอนที่มารดาเสียชีวิตก็ใช้จ่ายไปบ้างอีกบางส่วน ดังนั้นตอนนี้เย่ชิงหานจนมาก จนกว่าลูกหลานสายเืบ้านเล็กของตระกูลเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงได้มีฉากที่เย่ชิงหานซื้อของต่อรองราคาเกิดขึ้น หากให้ฝ่ายหอผู้คุมกฎรู้ว่าใช้ป้ายทองของตระกูลในการซื้อของจะต้องถูกลงโทษเป็แน่ เพราะมันเป็หน้าตาของตระกูล
ถ้าเป็อย่างนี้ต่อไปคงไม่รอดแน่ๆ เสี่ยวเฮยกินเก่งขนาดนี้ เป็แบบนี้ต่อไปแม้แต่กางเกงก็จะไม่เหลือให้ใส่...
นึกถึงสภาพตนเองสวมกางเกงขาสั้นอุ้มสัตว์อสูรตัวน้อยตระเวนขอแก่นผลึกมารอสูรไปทั่ว แค่คิดก็หนาวสะท้านไปทั้งกายแล้ว เมื่อใช้สมองครุ่นคิดอยู่สักพัก ในหัวเริ่มมีความคิดต่างๆ เกิดขึ้นมามากมาย สุดท้ายจึงตัดสินได้ใจเลือกได้
“เด็กโง่...มีเื่อยากจะปรึกษากับเ้าสักหน่อย ข้า...ข้าจะจากบ้านไปที่ที่ห่างไกลสักครั้ง”
“อ๋อ...ท่านไปเถอะ” เย่ชิงอวี่กำลังเล่นอยู่กับเสี่ยวเฮยไม่ได้สังเกตสีหน้าของพี่ชาย จึงพูดออกมาปกติ
“ข้าพูดว่า...ข้าจะจากบ้านไปที่ที่ห่างไกลสักครั้ง” เย่ชิงหานเห็นน้องสาวฟังไม่เข้าใจจึงพูดทวนออกมาอีกครั้ง
เย่ชิงอวี่เห็นพี่ชายเป็เช่นนี้จึงได้เข้าใจในความหมายจึงถามกลับไปว่า “หืม? จากบ้านไปไกล ไกลมากไหม?”
“เมืองหมัน ค่อนข้างไกล ไปกลับต้องใช้เวลาครึ่งปี” เย่ชิงหานพูดด้วยเสียงที่เคร่งเครียด แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและละอายใจ เนื่องจากตนเองทิ้งน้องสาวตัวน้อยไม่มีที่พึ่งไว้เพียงคนเดียว
เย่ชิงอวี่ก้มหน้าลงครุ่นคิด คิ้วเรียวบางของนางม้วนขึ้นดูแล้วน่าเอ็นดูเป็อย่างยิ่ง แต่สักพักนางก็เงยหน้าขึ้นชูเสี่ยวเฮยที่อยู่ในมือแล้วเอ่ยถาม “เป็เพราะเสี่ยวเฮยใช่ไหม?”
“ถูกต้องอย่างที่สุด แก่นผลึกมารอสูรที่เมืองหมันถูกมากๆ เม็ดหนึ่งแค่ไม่กี่ก้อนผลึกพลัง บ้านพวกเราจนเ้าก็รู้ดี...” เย่ชิงหานยิ้มด้วยความขมขื่นพร้อมกับอธิบายขึ้น
“อืม...จะไปเมื่อไหร่ข้าจะช่วยท่านพี่ตระเตรียมของ” เย่ชิงอวี่ใบหน้ายิ้มขึ้นไม่ได้แสดงอาการของความน้อยใจหรืออาลัยอาวรณ์ออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
“ั้แ่เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ รีบไปก็จะได้รีบกลับ” เย่ชิงหานก็ยิ้มออกมาเช่นกัน และไม่ได้แสดงอาการอาลัยอาวรณ์หรือเป็ห่วงกังวลออกมาให้เห็น
ทั้งสองยิ้มออกมาพร้อมกับเริ่มเก็บข้าวของ สีหน้าดูเป็ปกติราวกับว่าสถานที่ที่จะไปไม่ใช่เมืองหมันที่ห่างไกลเป็หลายร้อยกิโลเมตร ราวกับว่าระยะเวลาที่จากไปนานเพียงแค่ครึ่งวันไม่ใช่ครึ่งปี
ความอาลัยอาวรณ์ทุกอย่าง ความห่วงกังวลที่อยู่เต็มหัว ความทุกข์ทั้งมวลที่ต้องจากลา ล้วนถูกเก็บซ่อนไว้ภายในส่วนลึกของแววตาของคนทั้งสอง ไม่ต้องแสดงออกมาเป็คำพูดก็รับรู้ได้ทั้งหมด