หลังจากที่หนิงอ้ายผ่านการสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถระดับสองและได้ป้ายหยกประจำตัวเสร็จเรียบร้อยเเล้วท่ามกลางความตกตะลึงไปทั่วทั้งสนามสอบเเห่งนี้ เส้นทางของนักปรุงโอสถกว่าจะผ่านแต่ละระดับได้ย่อมมีหลายปัจจัยที่เข้ามาข้องเกี่ยวอยู่ไม่น้อย จะเห็นว่าแม้ในยุทธภพจะสามารถพบเห็นตัวตนของนักปรุงโอสถฝึกหัดหรือนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้ไม่ยากนักก็จริง เเต่ทว่าสำหรับนักปรุงโอสถระดับสองเป็ต้นไปนั้นกว่าที่จะบ่มเพาะออกมาได้เเต่ละคนนั้นย่อมใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว
มีจำนวนไม่น้อยในกลุ่มผู้ที่ร่วมการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ที่เคยสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถระดับสองมาเเล้วหลายครั้ง บ้างก็ใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเข้าใจในเเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถ อีกทั้งยังต้องอาศัยความร้อนแรงของเปลวเพลิงและความละเอียดอ่อนในญาณััเป็อย่างยิ่ง
แน่นอนว่าต่อให้พวกเขาเหล่านี้จะซุ่มฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือก็ต่างมั่นใจเป็อย่างมากว่าตนนั้นจะประสบความสำเร็จในการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้ เเต่ถึงอย่างไรก็ตามระดับพลังิญญาก็เป็ตัวแปรที่สำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเพราะว่าการจะเป็นักปรุงโอสถระดับสองได้นั้นนอกจากจะต้องมีคุณสมบัติทั้งสามประการเเล้ว จะต้องเป็ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิขึ้นไปจึงจะคือว่าครบถ้วนเป็นักปรุงโอสถระดับสองที่เเท้จริง
ดังนั้นกว่าจะเป็นักปรุงโอสถระดับสองได้นอกจากที่จะต้องทุ่มเทใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ในเื่สมุนไพรและการหลอมสร้างปรุงโอสถเเล้ว นักปรุงโอสถทุกระดับนั้นต้องไม่ละทิ้งวิถีของผู้ฝึกตนเช่นกัน เพราะการที่นักปรุงโอสถมีพลังิญญาที่สูงขึ้น ญาณััก็จะยิ่งละเอียดอ่อนตามไปด้วยเช่นกัน
การที่เด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้าย ผู้เป็ศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่สามารถสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จ นั่นหมายความว่านอกจากที่อีกฝ่ายจะเป็นักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยที่สุดในรอบหลายร้อยปีเเล้ว ในส่วนวิถีของผู้ฝึกตนอีกฝ่ายก็ถือได้ว่าย่อมเป็ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาคนหนึ่งอย่างแน่นอน แม้ว่าญาณััของอีกฝ่ายที่พวกเขาััได้จะเหนือชั้นไปมากกว่านี้เเล้วก็ตาม
การที่เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเพียงเท่านี้ เเต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติของนักปรุงโอสถที่โดดเด่น ผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยพร์เช่นนี้ ช่างเป็ตัวตนที่น่าจับตามอง สมควรค่าแก่การได้มาเสียจริง บรรดากลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่ในที่นี้ต่างมีคำสั่งลับ ๆ ให้ตามสืบประวัติของเด็กหนุ่ม แม้ว่าในภายหลังจะเกิดเื่น่าประหลาดใจเช่นที่ว่าผู้ที่ข้องเกี่ยวในภารกิจเหล่านี้จะทยอยหายไปอย่างปริศนา เเต่นั่นก็เป็เื่ราวหลังจากนี้ไปอีกหลายปีเช่นกัน...
เนื่องจากว่าเหวินหวู่ไม่ได้มีธุระอื่นที่ต้องจัดการเเล้ว จึงเห็นสมควรว่าควรที่จะกลับสำนักศึกษาเสียที เพราะว่าจุดประสงค์หลักในครั้งนี้เป็เพียงการมาส่งเด็กหนุ่มมาสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถเท่านั้น ก่อนหน้าที่ได้แวะไปยังเมืองไร้นามก็เพราะว่าเป็หนึ่งในเส้นทางประจำสำหรับเหวินหวู่ผู้เป็อาจารย์ของหนิงอ้ายที่มักจะผ่านไปเสมอเวลาที่อีกฝ่ายมีเหตุจำเป็ต้องออกจากสำนัก ดังนั้นในขากลับนี่เองพวกเขาทั้งสองคนจึงได้ใช้เวลาน้อยลงอย่างเป็เท่าตัว เพียงไม่นานเท่านั้นก็มาถึงประตูหน้าสำนักเสียเเล้ว
เหวินหวู่ได้เดินมาส่งหนิงอ้ายจนถึงซุ้มประตูทางเข้าของตำหนัก ท่ามกลางสายตาของศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชายหญิงที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ เนื่องจากว่าพรุ่งนี้จะเป็วันหยุดตามที่สำนักศึกษาได้กำหนดเอาไว้ ดังนั้นเเต่ละพื้นที่ในสำนักจึงมีจำนวนคนที่มากกว่าปกติ จากนั้นเหวินหวู่จึงขอเเยกตัวจากหนิงอ้ายเนื่องจากมีเื่ที่ต้องคุยกับท่านเ้าสำนัก ซึ่งหนิงอ้ายก็ได้ประสานมือโค้งตัวทำความเคารพอาจารย์ของตนก่อนที่จะหายเข้าไปในซุ้มประตูทางเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา โดยที่ไม่สนใจความแตกตื่นของทุกคนในที่นี้...
'พวกเ้าเห็นป้ายหยกข้างเอวของเด็กหนุ่มคนนั้นหรือไม่?? ข้ารู้มาว่าท่านปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ได้พาศิษย์คนล่าสุด ผู้เป็ศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักไปสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถ...' เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยคุยกับสหายที่นั่งอยู่ข้างกัน
'ก็ไม่เห็นจะเป็เื่แปลกประหลาดอันใด เดี๋ยวนะ!! เ้าหมายถึงผู้ที่ไปสอบเลื่อนขั้นนักปรุงโอสถเป็เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้เช่นนั้นรึ?? นั้นไม่ใช่ว่าเขาเพียงเข้าศึกษาในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาได้ไม่ถึงสิบวันเพียงเท่านั้น...' เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะออกมา ก่อนที่จะคล้ายกับว่าพึ่งคิดสิ่งใดได้
'ข้าไม่ได้ตาฝาดเป็แน่ ป้ายหยกสีเขียวสัญลักษณ์ของสมญานามปัญญาจารย์โอสถในยุทธภพ เเต่นั่น!! เป็ไปได้อย่างไรกัน....' ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งไปไม่ไกลที่ได้ยินบทสนทนาตั้งเเต่เเรกเริ่มจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสริมขึ้น
'สัญลักษณ์ของนักปรุงโอสถจะถูกเเทนด้วยดอกฝูหรง (พุดตานสีเเดง) ในป้ายหยกสีเขียวนั่นหากมีหนึ่งดอกคือนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง สองดอกคือนักปรุงโอสถระดับสอง ยิ่งมีระดับสูงขึ้นจำนวนของดอกฝูหรงก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย อย่างเช่นท่านปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ที่คือครองป้ายหยกประจำตัวของนักปรุงโอสถระดับเจ็ดที่มีดอกฝูหรงอยู่ทั้งหมดเจ็ดดอก...'
'หากว่าดูไม่ผิด บนป้ายหยกของเด็กหนุ่มหนิงอ้ายนั้นมีดอกฝูหรงอยู่สองดอก นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้เขานั้นถือได้ว่าเป็นักปรุงโอสถระดับสองแล้วอย่างเต็มตัว...' สตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลนั้นได้เอ่ยขึ้นย่อมสร้างความแตกตื่นกับทุกคนที่ได้ยินเป็อย่างมาก...
เพียงหนึ่งชั่วยามหลังจากการปรากฏตัวของเหวินหวู่กับหนิงอ้าย ข่าวลือใหม่ที่ว่าเด็กหนุ่มผู้เป็ศิษย์คนล่าสุดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถระดับสอง สมญานามปัญญาจารย์โอสถที่อายุน้อยปานนี้ได้สร้างความตกตะลึงเป็อย่างมาก แม้จะเป็เื่ราวที่น่าเหลือเชื่อเพราะอีกฝ่ายมีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี ทว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างให้คำสัตย์สาบานว่าเป็เื่จริง นี่จึงทำให้เื่ราวนี้เป็ที่พูดคุยกันอย่างมากมายในสำนักศึกษาหลังจากนี้
"ศิษย์พี่เฉินหลาน ข้าไปสืบมาแล้วทุกคนต่างยืนยันว่าเป็เื่จริงขอรับ!!" เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มยืนอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
"ท่านจะให้จัดการเ้าเด็กหนิงอ้ายนั่นอย่างไรดีขอรับ?? ให้ข้า...เพี้ยะ!!!" ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงกระทบกันของฝ่ามือพร้อมกับที่ใบหน้าของอีกฝ่ายที่โดนััอย่างรุนแรงได้ล้มลงไป
โครม!!!
"ออกไป!!! พวกเ้าออกไปให้หมด จำไว้อย่าได้เอ่ยชื่อไอ้เด็กชั้นต่ำให้ข้าได้ยินอีก ไป!!!" ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นามว่าเฉินหลานที่ได้ระบายอารมณ์ด้วยการตบหน้าลูกสมุนคนหนึ่งของตนเเล้ว จิตสังหารอันเข้มข้นที่ถูกปล่อยออกมาได้ทำลานสิ่งของโดยรอบ พร้อมกันนั้นเหล่าชายหนุ่มที่เหลือต่างเข้าไปพยุงตัวสหายของตนก่อนที่จะหายไปจากในห้องนี้ด้วยความรวดเร็ว
"ไอ้เด็กชั้นต่ำ!! เห็นทีว่าคงจะอยู่ร่วมสำนักไม่ได้แล้วกระมัง ใช่สิ!! ต้องให้ผู้าุโเฉินช่วยจัดการเสียเเล้ว เ้าไม่รอดแน่หนิงอ้าย..." เมื่อคิดถึงเเผนจัดการเด็กหนุ่มที่ทำให้ตนขายหน้าที่ตลาดเมื่อหลายวันก่อน
เฉินหลานจึงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ก่อนที่จะเขียนจดหมายเวทย์ให้ผู้าุโแซ่เฉินที่ขึ้นตรงกับบิดาตน โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าตรงมุมห้องนั้นอสรพิษสีดำได้เลื้อยออกไปด้วยความรวดเร็ว พร้อมกันนั้นวิหคสอดแนมก็ได้ส่งเื่ราวที่เกิดขึ้นให้กับหนิงอ้ายผู้เป็นายของตนให้ได้รับรู้ทันที...
'เฉินหลานนะเฉินหลาน อยากจะยืมมือผู้าุโจัดการข้าอย่างนั่นรึ เเล้วมาดูกันว่าข้าจะจัดการเ้าอย่างไรดี...' หนิงอ้ายที่ได้รับรู้เื่ราวจากวิหคสอดแนมของตนเเล้ว จึงได้เเต่หัวเราะอยู่ในใจกับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย สัญชาติญาณนักฆ่าในตัวคล้ายกับว่าจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเสียอย่างนั้น การทรมานเหยื่อนับว่าเป็ความสุขของหนิงอ้ายอยู่ไม่น้อย เอาเป็ว่าเขาจะสละเวลาไปเล่นกับอีกฝ่ายเเล้วกัน...
ภายในใจของหนิงอ้ายจะคิดถึงการทรมานในรูปแบบต่าง ๆ ที่ คิดว่าเหมาะสมกับเฉินหลาน ทว่าภายนอกสิ่งที่ทุกคนต่างมองเห็นนั่นคือเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีที่มีหน้าตางดงามหล่อเหลาชวนให้รู้สึกเอ็นดู ที่ทุกท่วงท่าการเดินราวกับเทพตัวน้อยที่เดินเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์เสียอย่างนั้น
ป้ายหยกประจำตัวของนักปรุงโอสถระดับสองที่ถูกห้อยไว้ตรงข้างเอวบาง พ่วงไปกับป้ายหยกประจำตัวอันเป็ฐานะของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเป็สิ่งที่การันตรีได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถมากเพียงใด
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายกลับมาแล้วอย่างนั้นรึ การสอบเลื่อนระดับในครั้งเเรกนี้สำเร็จตามใจหวังหรือไม่??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มเดินใกล้เข้ามา
"ทุกอย่างเรียบร้อยขอรับศิษย์พี่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
"โอ้!!เ้าถึงกับสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถระดับสองได้อย่างนั่นรึ เ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก!!" นางเอ่ยชมเด็กหนุ่มด้วยความ
"ช่างสมกับเป็ตัวประหลาดน้อยที่ท่านอาจารย์รับมาเสียจริง นี่ไม่ใช่ว่าในตอนนี้เ้ากลายเป็นักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยที่สุดอย่างนั่นรึ??" หลินจูหรือศิษย์ลำดับที่สามเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้กับหนิงอ้าย
"ไม่ใช่เพียงเเค่เป็นักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยที่สุด ความสามารถเช่นนี้ของศิษย์น้องหนิงอ้ายน่าจะไม่ได้พบเห็นมาหลายร้อยปีเเล้ว" เกาเจินหรือศิษย์ลำดับที่สองเอ่ยเสริมขึ้น ในใจเขายิ่งยอมรับในตัวของศิษย์น้องคนนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่า
"ได้ยินมาว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายเป็นักปรุงโอสถระดับสองเเล้วอย่างนั้นรึ?? ไม่เสียแรงที่ข้าได้ทุ่มเทให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรแก่เ้า..." เหยียนฮุ่ยที่พึ่งกลับมาจากด้านนอกต่างได้ยินข่าวลือที่เกี่ยวกับศิษย์น้องของตนเขาจึงรีบกลับเข้าตำหนักทันที
"ข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่เหยียนสำหรับความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร อีกทั้งข้ายังคงต้องขอบคุณศิษย์พี่ไป๋และศิษย์พี่ท่านอื่นด้วยที่ให้ความเข้าใจ ยินยอมให้ข้าได้เรียนรู้ในวิถีปรุงโอสถของพวกท่านเเต่ละคนด้วยขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือโค้งตัวเล็กน้อยให้กับเหล่าศิษย์พี่เเต่ละคนในที่นี้ เพราะไม่ใช่เื่ที่เกิดขึ้นโดยง่ายที่นักปรุงโอสถระดับสี่ขึ้นไปจะยินยอมให้ผู้อื่นได้เห็นวิถีหลอมโอสถเฉพาะของตน
"เเล้วศิษย์น้องปรุงโอสถใดในการสอบเลื่อนระดับเป็นักปรุงโอสถระดับสองเล่า??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
"เป็ท่านอาจารย์ที่เมตตามอบสูตรโอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์ระดับสองให้กับข้าได้ปรุงขึ้นในการสอบครั้งนี้ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไป
"ตาเฒ่าก็ยังเป็ตาเฒ่า สูตรโอสถระดับสองตั้งมากมายที่ตนอยู่ เเต่กลับมอบสูตรโอสถนี้ให้กับเ้า แม้จะเป็โอสถระดับสองก็จริงเเต่ความยุ่งยากซับซ่อนในยามที่ต้องปรุงออกมานั้นก็ไม่ต่างไปจากโอสถระดับสามขั้นต่ำเสียด้วยซ้ำ..." เหยียนฮุ่ยบ่นออกมาเสียไม่ได้ ความนึกคิดของอาจารย์นั้นสมกับกับว่าตาเฒ่าประหลาดเสียจริง
"โอสถฤทัยอัคคีพิสุทธ์นี้บรรดาศิษย์พี่ของพวกเ้าทุกคนต่างเคยล้วนปรุงขึ้นมาเเล้วทั้งสิ้น กว่าจะได้เม็ดโอสถที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าเจ็ดส่วนจะเป็ภายหลังอีกสองสามเดือนก็ตาม" หลินจูเอ่ยเสริมขึ้น ทุกคนต่างพยักหน้ายอมรับโดยพร้อมเพรียงกัน
"เอาละ ๆ ถึงเวลาที่ศิษย์น้องหนิงอ้ายต้องพักผ่อนเเล้ว พวกเ้าเเยกย้ายกันไปพักผ่อนเสียเถอะ...." เกาเจินที่เป็ศิษย์พี่ลำดับที่สอง นับได้ว่าเป็พี่ใหญ่ของทุกคนในที่นี้จึงเอ่ยตัดบทขึ้นด้วยเห็นว่าพวกเขานั้นได้นั่งคุยกันเป็เวลาหลายชั่วยามเเล้ว สมควรที่จะเเยกย้ายกลับเรือนพักของพวกตนเสียที
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนจึงรับคำกล่าวนี้ ก่อนที่จะเอ่ยลากันสักเล็กน้อยก่อนที่จะเเยกย้ายกันไปด้วยความรวดเร็ว ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นก็ใช้เวลาไม่ถึงเค่อก็มาถึงเรือนพักของตนเสียเเล้ว ก่อนที่จะก้าวข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป เสียงหวานนุ่มของเด็กหนุ่มก็ได้เอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่ามีสิ่งใดที่รอตนอยู่ด้านหลังประตูบานนี้…
"ดูท่าเเล้วท่านเฟยหลงจะเชี่ยวชาญในการปีนหน้าต่างห้องผู้อื่นเป็อย่างมากเลยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเห็นว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้เป็เ้าของชื่อได้ส่งยิ้มชวนรู้สึกหมั่นไส้ในสายตาของเขาอยู่ไม่น้อย
"ข้าเพียงเเต่คิดถึงเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อยก็เพียงเท่านั้น เ้าหายไปหลายวันเช่นนี้ข้าที่ไม่ได้เห็นหน้าเ้าจึงนอนไม่หลับสักเท่าไหร่นัก..." เฟยหลงตอบกลับไปด้วยถ้อยคำอันหวานเลี่ยน พร้อมกับตบมือลงตรงพื้นที่ว่างตรงข้างตนบนเตียงคล้ายกับเป็สัญญาณเรียกเด็กหนุ่มให้มานั่งตรงนี้ หนิงอ้ายที่มองมาอย่างระอาใจ ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะชอบใจออกมา
"ข้าไม่ใช่สตรีในห้องหอที่จะรู้สึกอิ่มใจกับถ้อยคำหวานซึ้งเหล่านี้เชิญท่านเก็บไว้เกี้ยวสตรีที่ท่านพึงใจเสียดีกว่า พูดธุระของท่านเสียเถอะข้า้าพักผ่อนเเล้ว..." หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางเ้าชู้ประตูดินนั่นถึงกลับกลอกตาไปมาด้วยความอ่อนใจ ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างบนเตียงที่ห่างไปจากชายหนุ่มไม่ไกลนัก
"เ้าจำได้หรือไม่?? เื่ที่ข้าได้เคยบอกกับเ้าไปก่อนหน้า ดูเหมือนว่าในระยะนี้จะเกิดบางสิ่งอย่างขึ้นมีศิษย์ในสำนักหลายคนได้ล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ภายนอกก็เหมือนกับว่านอนหลับไหลไปเพียงเท่านั้น เเต่ความจริงเเล้วพลังชีวิตคล้ายกับว่าได้ถูกดูดกลืนไปอย่างช้า ๆ" เฟยหลงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจังเป็อย่างมาก แตกต่างจากท่าทางหนุ่มเ้าสำราญในก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง
"มิน่าเล่า ่นี้ท่านอาจารย์จึงดูว่ามีเื่วุ่นวายใจคล้ายกับว่ามีเื่ให้คิดอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีเื่ต้องไปพบเจอกับท่านเ้าสำนักบ่อยขึ้นใน่นี้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นราวกับว่าพึ่งนึกสิ่งใดได้เสียอย่างนั้น
"อาการภายนอกคล้ายกับว่าเพียงหลับไปเท่านั้นปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น อีกทั้งพลังชีวิตยังถูกดูดออกไปอย่างช้า ๆ นี่คงไม่ใช่ว่า!!!!" หนิงอ้ายที่ใช้เวลาครุ่นคิดไปชั่วครู่ เมื่อนำไปรวมกับสิ่งที่อาจเป็ไปได้จึงตกตะกอนความคิดหนึ่งขึ้นมา
หากเป็ไปตามนี้นับได้ว่าเป็เื่ราวที่ใหญ่โตและน่ากังวลกว่าที่ตนคิดไว้ตั้งเเต่เเรกเสียด้วยซ้ำ...
"สิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับมาร ข้าเข้าใจถูกใช่หรือไม่?? หนิงอ้ายเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้าที่ตอนนี้ได้ขยับตัวนั่งชิดกับตนตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เเต่ถึงอย่างไรนั้นตัวของเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธในความใกล้ชิดนี้ แม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจในความคุ้นชินนี้ไม่น้อยเเต่ทว่าความสงสัยที่มีมากกว่าจึงได้ปัดตกความคิดเหล่านี้ไปจนหมดสิ้น...