“เวลากระชั้นชิดเข้ามาทุกที ฮองเฮาได้มีพระราชเสาวนีย์มาติดๆ กันถึงสามฉบับแล้ว ข้าเกรงว่าฝ่าาคงมีเวลาเหลืออีกไม่มากนัก ราชสำนัก้าให้องค์รัชทายาทรีบกลับไปควบคุมสถานการณ์โดยเร็ว เราช่วยพาองค์รัชทายาทออกไปให้ได้ก่อน แล้วค่อยหาวิธีพานางออกจากเมืองทีหลัง ถึงตอนนั้น แค่ผู้หญิงคนเดียว เราจะทำอะไรก็สะดวกกว่า ไม่ต้องกังวลเหมือนตอนนี้”
ฉินเหลาอู่พยักหน้า “อืม...พี่ใหญ่พูดถูก ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของพวกเราก็คือการรีบส่งองค์รัชทายาทออกจากเมือง...เฮ้อ ไม่รู้ว่าลุงหลิ่วจัดการเรียบร้อยหรือยัง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟู่ถิงเย่ก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเหม่อลอย
ทิวทัศน์ภายนอกเป็สีเทาหม่น หิมะทับถมกันเป็ชั้นๆ หนาวเย็นะเื
“กองทัพเหลียวเพิ่งยึดครองซีโจว เหอโจว โม่โจวทั้งสามมณฑลได้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็หน่วยงานยุติธรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ ั้แ่ระดับมณฑลไปจนถึงอำเภอ เมือง ตำบล หมู่บ้าน...ล้วนต้องประสานงานกันทีละขั้นตอน...การจัดการให้เรียบร้อยจึงต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก...”
เมื่อคิดถึงดินแดนใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ ฉินเหลาอู่ก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบไป
“หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่น...” ฉินเหลาอู่เอ่ยออกมา
...
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง หวาชิงเสวี่ยก็ลุกขึ้นจากเตียงนอน
หลี่จิ่งหนานขยี้ตา มองหวาชิงเสวี่ยที่กำลังลุกจากผ้าห่มอุ่นๆ ด้วยความไม่อยากเชื่อ
โอ้์...
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรืออย่างไร?
มีวันไหนบ้างที่พวกเขาจะไม่ตื่นสาย?
จะทำอย่างไรได้เล่า อากาศหนาวขนาดนี้ แม้จะตื่นแล้วก็ยังต้องนอนตาค้างขดตัวอยู่ในผ้าห่ม จนกระทั่งแดดส่องก้นแล้ว ถึงจะยอมลุกออกมาอาบแดดด้วยความพอใจ
หวาชิงเสวี่ยสวมเสื้อผ้าทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า
เสื้อผ้าสมัยโบราณพวกนี้นางแยกไม่ออกสักทีว่าตัวไหนเป็เสื้อชั้นใน ตัวไหนเป็เสื้อชั้นนอก หลี่จิ่งหนานเคยสอนนางหลายครั้ง แต่นางก็ไม่ใส่ใจทุกครั้ง สุดท้ายจึงจำไว้แค่ว่าสีอ่อนสวมด้านใน สีเข้มสวมด้านนอก แบบนี้จะไม่มีทางผิด
อากาศหนาวเหลือเกิน เสื้อผ้าก็เย็นเฉียบ มีเพียงเสื้อตัวในที่อุ่นไว้ในผ้าห่มเท่านั้นที่ยังคงอุ่น
“เมื่อวานยังมีซาลาเปาเหลืออยู่ เดี๋ยวเ้าเอาไปอุ่นกับเตาไฟก่อนกินนะ ข้าใช้หม้ออยู่” หลังจากหวาชิงเสวี่ยแต่งตัวเสร็จแล้ว จึงพูดกับหลี่จิ่งหนานที่อยู่บนเตียงพลางถักเปียไปด้วย
เมื่อเหลือเพียงคนเดียวอยู่ในผ้าห่ม ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อุ่นเท่าเมื่อครู่แล้ว หลี่จิ่งหนานที่นอนอยู่บนเตียงเตาเอียงศีรษะหันมา ถามนางว่า “เ้าจะไปไหน?”
หวาชิงเสวี่ยอารมณ์ดี ทำท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส “ข้าจะไปทำสบู่ไง เมื่อวานไม่ได้บอกเ้าแล้วหรือ?”
หลี่จิ่งหนานเบิกตากว้างทันที มองหวาชิงเสวี่ยเหมือนมองคนบ้า “เ้าพูดว่าทำสบู่? เ้ารู้วิธีทำสบู่หรือ?”
ถึงแม้ว่าหลี่จิ่งหนานจะไม่รู้ความต่างชนิดของธัญพืช แต่เขาก็รู้ว่าสบู่หอมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะใช้ได้ เหมือนกับที่ไม่ใช่ทุกคนจะกินข้าวขาวได้
หวาชิงเสวี่ยส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้ม “แบบหอมข้าทำไม่ได้หรอก ตอนนี้ไม่มีเครื่องหอมหรือน้ำมันหอมเลย ทำได้แค่แบบธรรมดา แต่รับรองว่าดีกว่าที่เ้าเคยใช้แน่นอน แถมข้ายังซื้อกำมะถันมาด้วย พวกเราทำสบู่กำมะถันมาใช้ได้ อืม! ข้าจะทำเยอะๆ แล้วเอาออกไปขาย ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกลัวอดตายแล้ว!”
หวาชิงเสวี่ยพูดจบ ก็หยิบหม้อหลังประตูและของบางส่วนที่ซื้อมาเมื่อวาน ออกไปยังลานเรือนอย่างมีความสุข
หลี่จิ่งหนานไม่อาจนอนต่อได้แล้ว ในใจเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก เขาจึงลุกขึ้นมาแต่งตัวและสวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งตามไปที่ลาน
หวาชิงเสวี่ยกำลังเทปูนขาวลงในหม้อ เมื่อเห็นหลี่จิ่งหนานวิ่งตามออกมาดูด้วยความสนใจ นางก็ยิ้มออกมาด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าจะสำเร็จหรือไม่...ตามหลักการแล้วไม่น่ามีปัญหา เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีถ้วยตวงหรือเครื่องชั่งตวงวัดปริมาณต่างๆ จึงทำได้แค่คาดคะเนเอา”
หลี่จิ่งหนานมองสิ่งที่อยู่ในหม้อ ถามว่า “แบบนี้ก็เริ่มทำสบู่ได้แล้วหรือ?”
“ยังไม่ได้หรอก ตอนนี้ข้าต้องทำโซเดียมไฮดรอกไซด์ออกมาก่อน...”
“หา? นั่นมันอะไรน่ะ?”
“ส่วนประกอบของสบู่คือโซเดียมไฮดรอกไซด์และน้ำมัน พอทำโซเดียมไฮดรอกไซด์ออกมาได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะง่ายขึ้น”
หลี่จิ่งหนานได้ยินเช่นนั้นก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจ จึงเอ่ยเร่งเร้า “เ้าก็รีบทำเข้าสิ ข้าอยากเห็น!”
หวาชิงเสวี่ยอธิบายอย่างอดทนพลางลงมือทำไปด้วย “ก่อนอื่นเราต้องเผาปูนขาวก่อน จากนั้นเติมน้ำลงไป...เ้าดูสิ แบบนี้ก็จะกลายเป็น้ำปูนใส ส่วนประกอบทางเคมีของน้ำปูนใสคือ...ช่างเถอะ เ้าคงจำไม่ได้หรอก สรุปก็คือ ตอนนี้ให้เติมหมางเซียวลงไป อืม...น้ำปูนใสปริมาณเท่านี้น่าจะต้องใช้หมางเซียวประมาณนี้...”
“ว้าว! มันเดือดปุดๆ แล้ว! เดือดแล้ว!” หลี่จิ่งหนานเห็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในหม้อ ก็ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น!
“เ้าอย่าเข้าไปใกล้ขนาดนั้น!”
หวาชิงเสวี่ยดึงหลี่จิ่งหนานออกไปด้านข้าง แต่เขาก็ยังคงชะโงกหน้ามองลงไปในหม้อพลางพึมพำว่า “หวาชิงเสวี่ย เ้าคงไม่ได้กำลังปรุงยาอายุวัฒนะใช่หรือไม่…”
หวาชิงเสวี่ย: “...”
เอาเถอะ พอนางมาคิดๆ ดูแล้ว วิชาเคมีในสมัยโบราณก็เริ่มมาจากวิชาปรุงยาอายุวัฒนะของลัทธิเต๋าจริง...
“นี่คือสารสองชนิดที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาการสลายตัว เมื่อพวกมันรวมกันแล้วจะเกิดตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนตและโซเดียมไฮดรอกไซด์”
“ตรงไหน? ตรงไหน?”
“นั่นไง ตอนนี้ตะกอนในหม้อนี้ก็คือแคลเซียมคาร์บอเนต ส่วนที่เหลือก็คือโซเดียมไฮดรอกไซด์ แยกออกจากกันได้ง่ายมาก ไม่จำเป็ต้องกรองซ้ำสอง”
หลี่จิ่งหนานมองสิ่งที่ไม่รู้จักในหม้ออย่างเคลือบแคลง แล้วมองหวาชิงเสวี่ยด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ “แบบนี้ก็ทำสบู่ได้หรือ?”
หวาชิงเสวี่ยพยักหน้าอย่างมั่นใจ “อืม! ข้าจะจัดการเอง เ้าไปเอาน้ำมันในห้องมาก่อน”
“ได้!” หลี่จิ่งหนานวิ่งเข้าไปในห้องอย่างตื่นเต้น ไม่นานนักก็ถือไหน้ำมันออกมา
หวาชิงเสวี่ยแยกโซเดียมไฮดรอกไซด์กับตะกอนออกจากกันอย่างระมัดระวัง จากนั้นเทโซเดียมไฮดรอกไซด์กลับลงไปในหม้อ ตักน้ำจากถังมาหนึ่งทัพพี ค่อยๆ เทลงในหม้อ
ในหม้อเกิดปฏิกิริยารุนแรงทันที มีควันลอยออกมาจากหม้อเป็ชั้นๆ!
หวาชิงเสวี่ยเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว รีบปิดปากและจมูกของตัวเอง หลี่จิ่งหนานก็ทำตามอย่างรวดเร็ว ปิดหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้ แต่ด้วยความเป็เด็ก ระหว่างนั้นก็แอบอ้าปากเพื่อสูดหายใจเข้า จึงสำลักจนน้ำมูกน้ำตาไหลทันที!
ตอนนี้หวาชิงเสวี่ยไม่มีเวลามาสนใจเขา นางใช้ผ้าหนาๆ ห่อมือทั้งสองข้าง กลั้นลมหายใจ แล้วจับขอบหม้อทั้งสองข้าง จากนั้นยกขึ้นวางลงในกะละมังน้ำที่เตรียมไว้ ให้น้ำท่วมก้นหม้อครึ่งหนึ่ง
“โซเดียมไฮดรอกไซด์เมื่อโดนน้ำจะเกิดความร้อนสูงและควัน แต่ก็แค่ประมาณหนึ่งนาที ตอนนี้เรากำลังลดอุณหภูมิของมัน”
“แล้วก็จะทำสบู่ได้แล้ว?” หลี่จิ่งหนานเอ่ยถามพลางเช็ดน้ำมูกไปด้วย
หวาชิงเสวี่ยส่ายหัว นางรออย่างใจเย็น สักพักก็เอื้อมมือไปััขอบหม้ออย่างระมัดระวัง ตอนนี้เป็ฤดูหนาว อุณหภูมิจะลดลงเร็วอยู่แล้ว แถมยังแช่ในน้ำเย็น หม้อจึงไม่ได้ร้อนมาก
พอรอจนกระทั่งอุณหภูมิลดลงเหลือประมาณสี่สิบองศาเซลเซียส ก็สามารถเติมน้ำมันลงไปได้
“หือ น้ำมันที่ข้าให้เ้าไปเอาล่ะ?”
หลี่จิ่งหนานก็ชี้ไปที่ไหน้ำมันข้างๆ ทันที
หวาชิงเสวี่ยเห็นแล้วก็ตีเข้าที่ก้นของเขาไปทีหนึ่ง!
“นี่เป็น้ำมันที่พวกเรากิน! ข้าขอให้เ้าไปเอาน้ำมันใช้แล้วที่ท่านป้าเหยียนให้พวกเรามาต่างหาก!”
ร้านอาหารมักจะมีน้ำมันจำนวนมากเหลือทิ้งทุกวัน น้ำมันเหล่านี้ผ่านการทอดมานับครั้งไม่ถ้วน มีเศษอาหารปนอยู่มากมาย สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ไม่เหมาะที่จะนำมารับประทานอีกต่อไป
น้ำมันเหลือทิ้งไม่ต้องเสียเงินซื้อ ใช้ทำสบู่เหมาะสมที่สุด
หลี่จิ่งหนานถูกตีก็ขมวดคิ้วแล้วพึมพำออกมาว่า “ข้าเป็องค์รัชทายาทนะ” จากนั้นก็วิ่งกลับไปในห้อง เอาน้ำมันเหลือทิ้งที่หวาชิงเสวี่ยบอกออกมา
หวาชิงเสวี่ยเติมน้ำมันลงในโซเดียมไฮดรอกไซด์ที่ละลายจนหมดแล้ว พร้อมกับค่อยๆ ใช้ตะเกียบยาวคนไปเรื่อยๆ เมื่อคนจนเหนื่อยแล้วก็เปลี่ยนไปให้หลี่จิ่งหนานทำต่อ
“อย่าเปลี่ยนทิศทาง ต้องคนไปในทิศทางเดียวกันตลอด”
ทั้งสองคนผลัดกันทำ คนหนึ่งทำไปสักพักแล้วก็สลับให้อีกคนมาทำต่อ คนต่อไปอีกประมาณหนึ่งเค่อ [1] จนเนื้อของสิ่งที่อยู่ในหม้อกลายเป็เหมือนชานม และมองไม่เห็นคราบน้ำมันบนพื้นผิวหน้าอีกแล้ว
หวาชิงเสวี่ยหยิบถ้วยหลายใบมาวางเรียงกันข้างหม้อ เทสิ่งที่อยู่ในหม้อลงในถ้วยทีละใบ หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จ หวาชิงเสวี่ยก็ตบมือแล้วพูดว่า “เสร็จแล้ว! วางไว้ใต้ชายคาที่แดดส่องไม่ถึง พรุ่งนี้ก็จะแห้ง และพอแห้งแล้วก็ตัดเป็ชิ้นเล็กๆ ได้”
หลี่จิ่งหนานมีสีหน้าที่คาดหวัง “พรุ่งนี้ก็จะกลายเป็สบู่แล้วหรือ?”
หวาชิงเสวี่ยยิ้ม “อืม! แต่ต้องรออีกหนึ่งเดือนถึงจะใช้ได้ ยิ่งเก็บไว้นานก็ยิ่งแข็งและยิ่งใช้ดี!”
หลี่จิ่งหนานใจนหน้าถอดสี! “เ้าทำอะไรของเ้า! พวกทหารเหลียวจะรอเ้าตั้งหนึ่งเดือนได้อย่างไร?!!”
หวาชิงเสวี่ยหันไปมองเขาด้วยสีหน้าที่งุนงง “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะใช้สบู่ซักชุดให้ทหารพวกนั้นสักหน่อย…”
สบู่ยิ่งเก็บไว้นานก็ยิ่งใช้ดี หนึ่งเดือนเป็เวลาที่สั้นที่สุดที่หวาชิงเสวี่ยประเมินไว้ แม้แต่ในยุคปัจจุบันที่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการขายสบู่ทำมือก็คือสามถึงหกเดือนหลังจากที่ทำเสร็จ
แน่นอนว่า หากเป็สบู่ที่ผลิตจำนวนมากด้วยเครื่องจักร ก็ไม่จำเป็ต้องรอนานขนาดนั้น ราคาจึงถูกกว่าสบู่ทำมือมาก
ราคาสินค้ามักจะเกี่ยวข้องกับสองสิ่งเสมอ สิ่งหนึ่งคือวัตถุดิบของมันหาซื้อยากหรือไม่ อีกสิ่งหนึ่งคือขั้นตอนการผลิตของมันใช้เวลานานเท่าใด
บางครั้งหลี่จิ่งหนานก็ปวดหัวกับความคิดที่เชื่องช้าของหวาชิงเสวี่ย!
เขาพูดด้วยความร้อนใจ “ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้ซักผ้า...แล้วเ้าลำบากทำไปทำไม?! เ้าไม่กลัวว่าจะซักผ้าไม่สะอาด แล้วพวกเขาจะเอามีดมาฟันเ้าหรือ?!”
ที่เขาอยากจะพูดจริงๆ ก็คือ นี่มันเวลาไหนกันแล้ว! เ้ายังมีเวลามาทำสบู่เล่นอีกหรือ? หา?!
หวาชิงเสวี่ยไม่ได้คิดอะไรเชื่องช้า แต่ว่านางฉลาดมาก ในหัวของนางเต็มไปด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ปัญหาคือความคิดและความเข้าใจของนางกับหลี่จิ่งหนานนั้นแตกต่างกัน
นางต้องหาวิธีตั้งตัวที่นี่โดยเร็วที่สุด เพื่อที่ว่า หลังจากหนีออกไปกับหลี่จิ่งหนานแล้ว นางจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เป็อย่างดี
ที่เมืองเหรินชิวนี้วุ่นวายเกินไป นางยังอยู่มาได้จนถึงตอนนี้โดยไม่เกิดเื่อะไรขึ้น นอกจากความระมัดระวังของตัวเองแล้ว ก็เป็เพราะโชคช่วยมากกว่า
ความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ราคาสินค้าที่ผันผวน รวมถึงบรรยากาศตึงเครียดที่กระจายไปทั่วทั้งเมือง ทำให้นางอยากจะออกจากเมืองนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน...
หวาชิงเสวี่ยเริ่มเก็บอุปกรณ์ทำครัว เตรียมทำสบู่ผสมกำมะถันอีกหม้อหนึ่ง พลางตอบหลี่จิ่งหนานว่า “เสื้อผ้าของพวกนั้นไม่จำเป็ต้องใช้เ้าสิ่งนี้ แค่ใช้แป้งมันผสมกับน้ำส้มสายชู ทาลงบนรอยเืโดยตรง หลังจากแป้งมันแห้งดีแล้วค่อยขยี้เบาๆ คราบเืก็จะหลุดออกไปพร้อมกับแป้งมัน...ถ้ายังไม่สะอาด ก็ใช้น้ำต้มหัวไชเท้าเน่าซักอีกครั้งก็เพียงพอแล้ว”
หลี่จิ่งหนานเบิกตากว้าง “ง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
หวาชิงเสวี่ยยักไหล่อย่างจนใจ “ไม่เช่นนั้น เ้าคิดว่ามันจะยากขนาดไหน?”
—————————————————————————————————
[1] เค่อ (刻) หน่วยวัดเวลาของจีน เทียบเท่ากับ 15 นาที