จะยอมเป็ผู้ถูกกระทำเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้
นางจูงลูกชายเข้าบ้านอันแสนทรุดโทรม เสิ่นม่านก่อไฟและทำอาหารง่ายๆ หลังจากทั้งสองกินอิ่ม ่บ่ายก็ก่อไฟต้มน้ำอุ่นและอาบน้ำอาบท่า หลังจากเรียบร้อยหมด ดวงตะวันก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อาทิตย์ตกไวกว่าฤดูร้อน เสิ่นม่านถือเงินแปดตำลึงเศษจูงมือลูกชาย จากนั้นถือห่อถั่วเหลืองมายังบ้านของผู้ใหญ่บ้านหลี่เถี่ยโถว
หลี่เถี่ยโถวกำลังกินอาหารกัน ส่วนภรรยาของเขา นางเจียง เมื่อเห็นเสิ่นม่านมาก็ออกมาทักทายพร้อมกับถ้วยในมือ “เสิ่นม่านเหนียงนี่นา? มาหาเถี่ยโถวหรือ?”
การเปลี่ยนแปลงหลายวันมานี้ของเสิ่นม่าน นางเองก็พอรับรู้อยู่บ้าง พอตอนนี้เห็นนางกับลูก นางเจียงจึงไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด อีกทั้งท่าทีที่มีต่อนางก็เกรงใจมากกว่าเดิม
เสิ่นม่านยืนอยู่นอกเรือนและส่งยิ้มให้นางเจียง
“พี่สะใภ้หลี่ ข้า้าพบผู้ใหญ่บ้าน อย่างที่เห็น บ้านของข้าถูกนางโจวคนชั่วขายทิ้ง ข้าจึงอยากจะรบกวนผู้ใหญ่บ้านช่วยหาที่ไปให้กับพวกข้าสองแม่ลูกหน่อย”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง หลี่เถี่ยโถวก็เดินออกมาพร้อมกับเอามือไพล่หลังยืนตรงประตู
“พวกเ้าทั้งสองกินข้าวหรือยัง? รีบเข้าบ้านก่อน ข้าจะเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ”
เสิ่นม่านก็ไม่เกรงใจ จากนั้นพาลูกชายถือของเข้าบ้านผู้ใหญ่บ้านไป
ขณะที่หลี่เถี่ยโถวกินข้าวก็กำลังหารือเื่นี้กับนางเจียงอยู่ แม้ว่าเสิ่นม่านจะเป็คนที่นิสัยไม่ได้ดีมาก แต่ก็คือคนในหมู่บ้าน ยิ่งไปกว่านั้นโจวชุ่ยหลานแอบขายบ้านลับหลังนาง นี่เป็เื่ที่ไม่ถูกศีลธรรมจริงๆ
ทันทีที่เสิ่นม่านเข้าบ้านก็ได้แสดงเจตจำนงของตนอย่างชัดเจน
“ผู้ใหญ่บ้าน ข้ากับต้าเป่าตอนนี้ไม่มีที่ไป ดังนั้นจึง้ามาถามท่านว่า ในหมู่บ้านยังมีเรือนที่ว่างพอจะให้ข้ากับลูกเช่าอยู่อาศัยก่อนชั่วคราวหรือไม่ ขอแค่ที่พักอาศัยให้พวกข้าสองคน ลำพังข้าลำบากไม่เป็ไร แต่ว่าต้าเป่ายังเด็กนัก ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องให้เขาลำบากไปด้วย”
ทันทีที่นางเจียงเข้ามา พอได้ยินคำพูดนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเสิ่นม่านหลายครั้ง แม่นางผู้นี้ ตอนนี้ราวกับเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง
สมัยก่อนนางมักจะด่าทอทุบตีลูกของนาง พวกเขาที่เป็คนนอกเห็นแล้วต่างก็พากันสงสาร ตอนนี้นางกลับทะนุถนอมต้าเป่ายิ่งนัก เริ่มมีลักษณะของผู้เป็มารดามากขึ้น
หลี่เถี่ยโถวตักน้ำมาหนึ่งถ้วยและดื่มรวดเดียว เขานิ่งพินิจไปชั่วครู่และค่อยๆ เปล่งเสียง
“เ้าคิดถึงเด็ก นี่ย่อมเป็เื่ที่ดี ข้าขอพูดกับเ้าตามตรง หมู่บ้านโม๋ผานของเรามีทั้งหมดห้าสิบสามครัวเรือน บ้านเรือนนั้นมีมาก ตอนนี้เท่าที่ดูก็มีบ้านว่างหลายหลังที่ไม่มีคนอยู่อาศัย รอวันรุ่งขึ้นข้าจะไปลองหารือกับครอบครัวเ่าั้ดู ดูว่าพอจะมีผู้ใดยอมปล่อยบ้านให้เ้าเช่าบ้าง ถึงเวลาค่อยให้เ้าไปเจรจา”
ดวงตาของเสิ่นม่านเป็ประกาย ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้ำเสียงของผู้ใหญ่บ้านก็เปลี่ยนไป สายตาพินิจพิเคราะห์จับจ้องที่ใบหน้าของนาง
“อย่างไรก็ตาม บ้านในหมู่บ้าน หากจะเช่า เดือนหนึ่งก็ต้องจ่ายราวห้าสิบอีแปะ เ้ามีเงินหรือ?”
เพียงห้าสิบอีแปะหรือ? เสิ่นม่านถอนหายใจด้วยความโล่งอกและลูบหน้าอก “ไม่ต้องห่วง ผู้ใหญ่บ้าน เงินเช่าบ้านข้ายังพอมี”
หลี่เถี่ยโถวเองก็โล่งอกแทนนาง สีหน้าที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงด้วย
เสิ่นม่านเห็นว่าที่พักอาศัยได้รับการจัดแจงแล้ว สภาพจิตใจที่โหวงเหวงก็ดีขึ้นไม่น้อย นางมอบถั่วเหลืองที่นำมาด้วยให้แก่สองสามีภรรยาและจูงมือลูกชายกลับบ้าน
คงเพราะถั่วเหลืองห่อนั้น วันรุ่งขึ้นหลี่เถี่ยโถวก็พาเสิ่นม่านไปดูบ้านทันที นี่เป็ครั้งแรกที่เสิ่นม่านเข้าใจลักษณะของหมู่บ้านโม๋ผานอย่างแจ่มแจ้งหลังจากข้ามมิติมา
จะพูดอย่างไรดี? มันเหมือนกับสิ่งปลูกสร้างยุคโบราณในภาพยนตร์ บ้านที่มีหลังคาอิฐสีดำมีเพียงสองแห่ง นอกนั้นล้วนเป็บ้านที่ก่อด้วยดิน ซึ่งเทียบกับบ้านดินเ่าั้แล้ว บ้านก่ออิฐดูโอ่อ่ากว่ามากนัก
เพียงแต่เสิ่นม่านยังไม่มีปัญญาอาศัยในบ้านก่ออิฐ หลี่เถี่ยโถวพานางไปยังบ้านดินหลังหนึ่งตรงท้ายหมู่บ้าน
บ้านหลังนี้เป็เรือนสามประสาน ดูจากสภาพน่าจะมีอายุหลายปี นอกจากเรือนฝั่งขวาสุดที่พอดูดีหน่อย นอกนั้นดูเก่าซอมซ่อกว่าบ้านเดิมของเสิ่นม่านเสียอีก หลังคามีรูรั่วขนาดใหญ่หลายรู ในบ้านไม่ว่าจะลมหรือฝนก็ผ่านทะลุเข้ามาได้
บ้านที่สภาพเช่นนี้ยังต้องจ่ายถึงเดือนละห้าสิบอีแปะเชียวหรือ? เสิ่นม่านลังเล แต่เมื่อนึกถึงเงินที่มีอยู่น้อยนิด นางจึงตกลงเช่าเรือนหลังเล็กนี้
ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากเรือนเล็กหลังนี้อยู่ท้ายหมู่บ้าน ไม่มีเพื่อนบ้านวุ่นวายมากนัก นางก็สามารถอาศัยอยู่อย่างสงบ
ที่พักอาศัยจัดการเรียบร้อย เสิ่นม่านกลัวว่าต่อไปภายหลังอีกฝ่ายจะทำการบิดพลิ้วอะไรอีก จึงขอเช่าหนึ่งปีและมอบเงินให้คนผู้นั้นหกร้อยอีแปะ
เนื่องจากบ้านใหม่ทรุดโทรมเกินไป เสิ่นม่านจึงจ้างช่างก่ออิฐในหมู่บ้านมาช่วยนางซ่อมแซมหลังคาและกำแพงบ้าน โดยจ่ายค่าจ้างไปราวหนึ่งร้อยอีแปะ หลังจากจัดการเสร็จสิ้น จึงพาต้าเป่าเข้าอาศัยในบ้านใหม่
หลังจากทํางานมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ร่างกายของเสิ่นม่านที่เดิมทีเคยเกียจคร้านเป็เวลานานก็เริ่มมีอาการเหนื่อยล้า ทุกค่ำคืนพอหัวถึงหมอนก็ผล็อยหลับไป
ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะหลับได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จู่ๆ ระบบก็ส่งเสียงดัง
“ติ๊ดๆ เริ่มชาร์จพลังงาน” เสิ่นม่านแทบจะลืมตาขึ้นในทันใด
ในความมืดมิด มืออุ่นข้างหนึ่งวางที่ลำคอของนาง ส่วนเ้าของมือขณะนี้กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงและจ้องมองนางอย่างเ็า
ความง่วงของเสิ่นม่านหายเป็ปลิดทิ้ง ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นนั่ง ชายคนนั้นก็ออกแรงหนักกว่าเดิมและกดเสียงต่ำเอ่ย
“อย่าเพิ่งขยับ”
หืม? เ้าอารมณ์ด้วยนะเนี่ย!
เสิ่นม่านหัวใจราวกับมีดอกไม้ผลิบาน ขณะนี้สมองกำลังเร่งทำการประมวลผล ควรตื่นขึ้นก่อนแล้วค่อยทุบเ้านี่ให้สลบดี? หรือว่าจัดการทุบเดี๋ยวนี้เลยดี?
พ่อหนุ่มน้อย ยังกล้ากลับมา นี่เท่ากับว่ามาเสนอตัวถึงที่เองนะ…
ขณะที่ยังไม่ได้สรุปว่าจะจัดการเขาอย่างไร พลันเห็นกระเดือกของชายหนุ่มเคลื่อนไหว ท่ามกลางความมืดมิด ราวกับว่าการเปล่งเสียงออกมานั้นยากเสียเหลือเกิน
“มีอาหารหรือไม่? ข้าหิวแล้ว”
เสิ่นม่าน “…”
ความสามารถในการพูดเื่ปากท้องให้ดูมีสง่าราศีเช่นนี้ได้ ยอดคนชัดๆ
นางกลืนน้ำลาย จากนั้นพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว เอ่ยเสียงค่อย “เ้าต้องรอสักครู่ ข้าจะทําให้”
หนิงโม่ส่งเสียงอืม แต่มือกลับไม่ยอมปล่อย “ข้าขอเตือนเ้าก่อน ห้ามมีจุดประสงค์อื่นแฝง มิฉะนั้น...”
ท่ามกลางความมืดมัว เสิ่นม่านมองเห็นมีดตรงข้างเอวของเขาสว่างวาบ
หึ คิดจะขู่ใครกัน? ข้ากลับกลัวว่าเ้าจะหนีไปไม่กลับมามากกว่า
ดวงตาของเสิ่นม่านกลอกไปมาสองรอบก่อนรับปากอย่างกระฉับกระเฉง “ไม่ต้องห่วงหรอกสหาย ข้าเป็เพียงสตรีอ่อนแอ ไหนเลยจะกล้าเล่นตุกติกอะไร?”
หนิงโม่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ดีใจของนางอย่างเ็า จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะปล่อยตัวนาง
หลายวันที่จากไป เขากินอาหารไปไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าอาการป่วยของตนน่าจะหายดีแล้ว ใครจะรู้ว่าหลายวันมานี้เขากินอะไรก็อาเจียนออกมาหมด แม้นว่าเขาจะไปที่โรงเตี๊ยมชั้นดี กินอาหารที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน แต่ยังคงมีอาการเช่นเดิม
แม้แต่ข้าวขาวที่ตลอดมายังพอฝืนกินเข้าไปได้ แต่กลับไม่หอมเช่นที่สตรีชนบทผู้นี้หุง
ช่างเป็นรกชัดๆ!
หลังจากครุ่นคิดอยู่สองวันหนึ่งคืน หนิงโม่จึงยอมทนหิวและแบกหน้ากลับมา
ห้องครัวเปลี่ยนเป็เตาก่ออิฐยกสูง เสิ่นม่านใช้แล้วถนัดมือกว่าหม้อแตกๆ ก่อนหน้านี้มากนัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม บะหมี่น้ำมันแดงร้อนกรุ่นหนึ่งชามก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ
น้ำแกงสีแดงมันวาว กลิ่นหอมฟุ้งที่โชยเข้าจมูก…
หนิงโม่กลืนน้ำลาย เขายกชามขึ้นโซ้ยอย่างอดใจไม่ไหว
เส้นบะหมี่นุ่มหนึบ น้ำแกงก็รสกำลังดี รสชาติเข้มข้นไม่จืดชืด มีรสเกลือก็กำลังดี กระทั่งน้ำมันพริกที่ลอยอยู่ชั้นบน เวลากินกลับไม่เลี่ยน ทำให้เขารู้สึกว่าสามารถรับได้
ราวกับว่าทำมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
ในเวลาไม่ถึงห้านาที บะหมี่ร้อนๆ ก็เหลือเพียงก้นชาม กระทั่งน้ำแกงก็ถูกซดจนเกลี้ยง
เสิ่นม่านใช้มือขวาลูบคางและนั่งมองอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา นางอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “เ้าหิวมากี่วันแล้ว? ดูสิ แทบจะเลียชามจนสะอาดอยู่แล้ว”
หนิงโม่เงยหน้าขึ้น ดวงตาดำขลับดุจหมึกจับจ้องที่นาง เอ่ยถามสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของเขาตลอดมา
“ตกลงเ้าเป็ใครกันแน่?”
-----