เล่มที่ 2 บทที่ 36
คำพูดของหญิงผู้นั้นทำให้มู่หรงฉิงสงสัยเป็อย่างมาก ถ้าผลโยิน่ากลัวจริงๆ ทำไมเฉินเทียนหยูกินแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อยล่ะ?
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากินผลโยิ แต่กลับไม่ตาย?” เป็ไปได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดไปอย่างนั้น? และไม่ได้รับความรู้ที่แท้จริงจากหมอเทวดา?
“ทุกสิ่งในโลกล้วนส่งผลเชื่อมโยงต่อกัน ท่านอาจารย์เคยบอกว่ายิ่งสิ่งที่มีพิษมากเท่าไร ภายในร้อยลี้จะต้องมีบางสิ่งที่สามารถยับยั้งได้” หญิงสาวหยิบขวดออกจากกระเป๋าเสื้อจากนั้นทาของเหลวบนใบหน้าบริเวณที่เป็าแจากยาพิษ “เ้าดูสิ ที่ไหนมีเห็ดหลินจือหรืออะไรก็ตาม ที่นั่นย่อมมีงูพิษคอยเฝ้าอยู่ และผลโยิก็เหมือนกัน ภายในระยะทางสิบลี้จากต้นโยิ จะต้องมียาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘หญ้าชิงโยว’”
“หญ้าชิงโยว? คืออะไรหรือ? มันสามารถล้างพิษจากผลโยิได้กระนั้นหรือ?” มู่หรงฉิงยืดลำตัวนั่งตรง แต่เป็เื่ยากที่จะละสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
หลังจากของเหลวในขวดถูกทาลงบนใบหน้า าแสาหัสของหญิงผู้นั้นยุบแห้งทันทีราวกับเกิดภาวะขาดน้ำ ยานั้นออกฤทธิ์ได้เร็วมาก
เมื่อเห็นว่ามู่หรงฉิงเป็คนชอบที่จะเรียนรู้ หญิงสาวจึงโอ้อวดสิ่งที่นางได้เรียนรู้จากหมอเทวดา กล่าวอีกนัยหนึ่ง นางติดตามหมอเทวดามาเป็เวลานานแล้ว แต่นางก็ไม่มีโอกาสได้อวดเลย และนางก็รู้สึกถูกชะตากับมู่หรงฉิงคนนี้มาก กอปรกับครู่ก่อนมู่หรงฉิงชกหมอเทวดาจนหมดสติ ด้วยสาเหตุนั้นหญิงสาวจึงรู้สึกชอบใจมาก
อย่างแรกนางชอบการกระทำอย่างเด็ดเดี่ยวของมู่หรงฉิง จากนั้นนางก็รู้สึกขอบคุณมู่หรงฉิงที่ทำให้หมอเทวดาหมดสติ มิฉะนั้นนางคงยังไม่ได้รับยาแก้พิษ หากไม่มียาแก้พิษ อาการาเ็บนใบหน้าของนางก็จะไม่หายขาดเสียที นางมีเวลาไม่มากแล้ว ถ้านางยังถูกยื้อเวลาให้ล่าช้าอีก ถึงเวลานั้นนางจะไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงได้
หญิงสาวมีความสุขใจ ดังนั้นจึงบอกเล่าทุกอย่างที่ตนรู้ “ถึงแม้ว่าหญ้าชิงโยวนี้จะสามารถล้างพิษจากผลโยิได้ ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถกินเป็เวลานานได้ มิฉะนั้น จะทำให้สมองเสียหาย มันจะทำให้คนกลายเป็คนโง่และสมองเสื่อม”
ทำให้คนโง่และสมองเสื่อมกระนั้นหรือ?
คำพูดของหญิงสาวส่งผลให้เปลือกตาของมู่หรงฉิงกระตุก “ถ้าเ้ากินมันเป็เวลานาน ก็จะกลายเป็คนโง่และสมองเสื่อม แล้วจะสามารถรักษาให้กลับมาเป็เหมือนเดิมได้หรือไม่?”
“เ้ากำลังล้อเล่นใช่หรือไม่” หญิงสาวมองมู่หรงฉิงราวกับสัตว์ประหลาด “แม้ว่ายาสมุนไพรที่สกัดจากหญ้าชิงโยวจะมีกลิ่นหอมแปลกๆ แต่รสชาติก็เหมือนกับเืของซากศพ ใครจะดื่มสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนั้นได้เล่า?”
ก็ใช่! ใครจะสามารถดื่มสิ่งที่น่าขยะแขยงได้? ทว่าเฉินเทียนหยูคนโง่เขลาคนนั้นดื่มมันไปแล้ว “ไม่พูดถึงความน่าขยะแขยงของสิ่งนั้นก่อน ถ้ากินผลโยิกับหญ้าชิงโยวพร้อมกัน ก็จะส่งผลให้กลายเป็คนโง่และสมองเสื่อม จะสามารถช่วยพวกเขาให้รอดชีวิดได้หรือไม่?”
“ช่วยนั้นสามารถช่วยได้... เพียงแต่…” หญิงสาวหอบหายใจเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงรู้สึกเหมือนตนถูกแขวนในที่สูง “เพียงแต่อะไรหรือ?”
“ข้าได้ยินท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า สาเหตุที่มันถูกเรียกว่าผลโยิ ไม่เพียงเพราะมันมีพิษที่ร้ายแรงเท่านั้น แต่เป็เพราะมันสามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็ปีศาจได้อีกด้วย หาก้ารักษาคนโง่และสมองเสื่อมให้กลายเป็คนปกติ สิ่งแรกคือจะต้องหยุดกินผลโยิ
“แต่การหยุดกินผลโยิ ก็คล้ายกับการไม่ให้ปีศาจกินเือย่างไรอย่างนั้น เ้าคิดว่ามันง่ายหรือไม่?”
กลายเป็ปีศาจหรือ? ร่างกายของมู่หรงฉิงรู้สึกเย็นเยียบลงอย่างมิอาจห้ามได้ ใช่แล้ว! เฉินเทียนหยูในขณะคลุ้มคลั่งก็คือปีศาจไม่ใช่หรือ? “ท่านอาจารย์ของเ้าเคยพูดวิธีเลิกกินผลโยินั่นหรือไม่?”
ตราบใดที่มีวิธีการ มันย่อมคุ้มค่าที่จะลองสักตั้ง ถ้าสามารถทำให้เฉินเทียนหยูฟื้นฟูกลับมาเป็คนปกติได้จริงๆ นั่นย่อมเป็ประโยชน์ต่อแผนการของนางมากที่สุด ก่อนอื่นขอแค่เฉินเทียนหยูไม่คลุ้มคลั่ง ความปลอดภัยในชีวิตของนางก็จะสามารถรับรองได้
“คราวก่อนท่านอาจารย์เคยพูดถึงเื่นี้” หญิงสาวเคาะนิ้วมือบนเข่าราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างและหลังจากเวลาผ่านไปนาน นางถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าจะให้เลิกกินผลโยิ ก็ต้องไปยังถิ่นที่มีต้นผลโยิ จงหาหญ้าชิงโยวให้ได้ จากนั้นตากแดดให้แห้ง แล้วกินหญ้าแห้งวันละสิบครั้ง ครั้งละไม่เกินหนึ่งใบ”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ หญิงสาวส่ายศีรษะอีกหน “หญ้าชิงโยวเป็สมุนไพรที่มีพิษรุนแรงมาก แม้เ้าจะสวมถุงมือเพื่อเด็ดมัน แต่ก็เป็เื่ยากสำหรับเ้าที่จะไม่ดมมัน โดยเฉพาะกระบวนการในการทำให้หญ้าชิงโยวแห้ง เ้าจะต้องััมันอย่างใกล้ชิด ด้วยสาเหตุนั้น จึงมีโอกาสเป็อย่างมากที่จะต้องยาพิษ เว้นแต่ว่าเ้าจะสามารถต้านทานสารพัดพิษอย่างแท้จริง มิเช่นนั้น เ้าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ”
“นี่มันก็เกินจริงเกินไปแล้ว ถ้าเป็เช่นนั้นจริงๆ คนและสัตว์ก็ไม่สามารถเข้าถึงสถานที่ที่มีหญ้าชิงโยวกระนั้นหรือ?” คำพูดของคู่สนทนาน่ากลัวเกินไป และมู่หรงฉิงก็รู้สึกว่ามันเป็เท็จโดยสัญชาตญาณ
“นี่คือสิ่งที่พิเศษสำหรับหญ้าชิงโยว” ผู้พูดเห็นสีหน้าไม่เชื่อของมู่หรงฉิงกลับไม่นึกรำคาญแต่อย่างใด ทว่านางกลับปรากฏสีหน้าภาคภูมิใจ “เ้าไม่รู้อะไรเลย หญ้าชิงโยวนี้อาศัยอยู่บนพื้น มันไม่เป็พิษ แต่เมื่อมันแยกออกจากดิน มันก็จะกลายเป็ใบไม้ที่มีพิษ และพิษของมันสามารถปลิดชีวิตสิงโตที่โตเต็มวัยได้”
คำพูดของหญิงสาวตรงหน้าทำให้มู่หรงฉิงตึงเครียด ถ้าเป็เช่นนั้นจริงๆ มันก็ไม่มีวิธีแล้ว
“โธ่... ถ้าเขาตื่นขึ้นมา เ้าก็ต้องรีบวิ่งให้เร็ว ถ้าเ้าถูกเขาจับตัวได้ เ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน” เมื่อเห็นมู่หรงฉิงยัง้าถามอีก หญิงสาวผู้นั้นก็รีบดึงมู่หรงฉิงขึ้น เนื่องจากหมอเทวดาที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นกำลังขยับปากงึมงำ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะฟื้นสติขึ้นมาแล้ว
“ให้ข้าวิ่ง? ทำไมหรือ?” อีกฝ่ายยัดสมุดบันทึกสองเล่มให้ มู่หรงฉิงรับมันมาด้วยความงุนงง “แค่ชกเขาให้ล้มลงก็เท่านั้น”
“แต่เ้าทำจมูกของเขาหักนี่นา” หญิงสาวผู้นั้นกล่าวตักเตือนด้วยเสียงต่ำ “เ้าทำให้จมูกของเขาหัก เ้าทำให้จมูกของเขาหัก”
มู่หรงฉิงเป็ใบ้ ดูเหมือนว่านางจะต้องเป็แพะรับบาปสินะ?
“เอาล่ะ เ้ารีบวิ่งเถอะ เ้าดูสิ ข้าไม่ได้ถามชื่อของเ้าเลย นั่นเพราะกลัวว่าอีกสักพักถ้าเขาทรมานข้าอย่างรุนแรงแล้วข้าจะสาวความถึงเ้า ข้าไม่รู้ว่าเ้าเป็ใคร และเขาก็ไม่รู้ว่าเ้าเป็ใคร ย่อมหาตัวเ้าไม่พบ เ้าก็จะไม่เป็อะไรแล้ว แต่ข้านั้นแตกต่างกัน หากบอกให้เขารู้ว่าข้าเป็คนทำให้จมูกของเขาหัก ใบหน้าของข้าจะไม่ดีขึ้นตลอดชีวิตเป็แน่”
หญิงสาวผู้นั้นพูดอย่างเศร้าโศก และในขณะเดียวกันนางก็ยังผลักมู่หรงฉิงไปยังทิศทางที่ใช้ในการเดินทางมาที่นี่ “เ้ารีบวิ่งไปเถอะ วันข้างหน้าพวกเราจะได้พบเจอกันอีก ตราบใดที่จมูกของเ้าเฒ่าดีขึ้น เขาก็จะไม่อารมณ์เสียอีกต่อไปแล้ว แต่ใน่เวลาที่จมูกยังรักษาไม่หายดี พวกเราจงอย่าได้พบเจอกันจะเป็การดีที่สุด”
มู่หรงฉิงเดินไปข้างหน้าตามแรงผลักของอีกฝ่ายอย่างจนใจ ผู้หญิงคนนี้มีความเด็ดเดี่ยวมากทั้งยังไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้นางกลับตื่นตระหนกเสียนี่
คิดว่า นางคงถูกหมอเทวดาทรมานมามากพอแล้ว ถูกทรมานเสียจนเกิดความหวั่นกลัวและเกลียดชัง ใช่แล้ว! ความเ็ปที่เคยััเมื่อครู่ก่อน เป็ความเ็ปที่ทำให้รู้สึกว่าตายเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตจริงๆ
มู่หรงฉิงส่ายศีรษะและเก็บสมุดบันทึกไว้ในแขนเสื้อ ครั้นเห็นก้อนหินก้อนใหญ่อยู่ตรงหน้า นางก็ถอนหายใจและะโลงไปบนก้อนหินก้อนใหญ่
“โอ้! ไม่เลวนี่ แม้วิชาตัวเบาจะสู้ข้าไม่ได้ แต่มันก็สง่างามอย่างมาก” หญิงสาวเห็นเรือนร่างอันสง่างามของมู่หรงฉิงะโลงไป นางก็ผิวปากด้วยท่าทางโล่งใจอยู่หลายส่วน
มู่หรงฉิงส่ายศีรษะอีกหนพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “การได้พบกันในวันนี้นับเป็โชคชะตาวาสนา ข้าหวังว่าพวกเราจะได้คุยกันยาวๆ เมื่อได้พบกันในครั้งต่อไป”
“ตกลง ข้าชอบเ้ามาก” หญิงสาวคลี่ยิ้ม ทันใดนั้นก็เห็นหมอเทวดาลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือจากทางหางตา นางจึงรีบะโว่า “วิ่งเร็วเข้า เขาตื่นแล้ว”
ด้วยการตักเตือนของหญิงสาวผู้นั้น มู่หรงฉิงย่อมไม่โอ้เอ้อยู่ที่นี่อีกต่อไป นางะโลงจากก้อนหินและรีบหนีไปตามเส้นทางที่นางใช้ในการมาที่นี่
ด้วยการวิ่งอย่างรีบร้อน นางหยุดอยู่ที่ก้อนหินก้อนใหญ่ริมแม่น้ำ การข้ามไปอีกฝั่งจะต้องใช้แพไม้ไผ่ถึงจะสามารถข้ามไปได้ ทว่าในเวลานี้แพไม้ไผ่นั้นไหลลงตามสายน้ำไปแล้ว และไม่รู้ว่าไหลไปที่ใด ดูเหมือนว่านางทำได้แค่ต้องว่ายน้ำกลับไป
หลังจากสังเกตอย่างระมัดระวังก็เห็นว่าท้องน้ำไม่ลึกมาก คะเนด้วยสายตาความลึกของระดับน้ำน่าจะอยู่ราวหน้าอกของนางเท่านั้น แต่นางฉุกนึกขึ้นได้ว่าสมุดบันทึกสองเล่มนี้ไม่สามารถเปียกน้ำได้ นางจึงถอดเสื้อคลุมด้านนอกออก จากนั้นห่อหนังสือแล้วค่อยๆ ลงแม่น้ำ โดยถือหนังสือและเดินอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าจะเป็่เวลากลางฤดูร้อน ถึงกระนั้นก็ยังเช้าอยู่และอุณหภูมิในป่าก็ต่ำกว่าในเมือง ครั้นลงไปในแม่น้ำก็ััได้ถึงความเย็นะเืได้ในทันทีแต่มันไม่ถึงกับหนาวมากจนทำให้รู้สึกไม่สบาย
“ไม่รู้ว่าเฒ่าทารกคนนั้นจะเป็หมอเทวดาจริงๆ หรือไม่?” ปากพูดพึมพำแต่สายตากลับเห็นว่าสายน้ำรอบๆ ตัวกลายเป็สีดำ
เด็กสาวเห็นว่าสายน้ำรอบตัวเปลี่ยนสี นางจึงนึกถึงของเหลวสีดำที่ออกมาจากร่างกายหลังจากกินยา นางถูกวางยาพิษจริงๆ หรือ? ยาของหมอเทวดาขับพิษทั้งหมดในร่างกายของนางออกมาจริงๆ หรือ? กล่าวอีกนัยหนึ่งหลังจากกินยาชนิดนั้นแล้ว ร่างกายของนางก็จะสามารถต้านทานสารพัดพิษได้จริงๆ หรือ?
ขณะกำลังคิดเช่นนั้น มู่หรงฉิงก็ค่อยๆ เข้าใกล้ฝั่ง นางครุ่นคิดไปพลางเดินตามน้ำไปพลาง ก่อนเดินไปยังจุดอับ และวางเสื้อคลุมตัวนอกที่ใช้สำหรับห่อสมุดบันทึกไว้บนฝั่ง จากนั้นกลับลงน้ำพร้อมถอดเสื้อผ้าด้านในออก
ไม่มองไม่รู้ แต่เมื่อเห็นแล้วเป็ต้องใ ผิวขาวนวลเนียนละเอียดอ่อนดั้งเดิมถูกปกคลุมด้วยชั้นของน้ำมันสีดำ และชั้นของน้ำมันสีดำก็ใช่ว่าจะสามารถชำระล้างได้อย่างสะอาดหมดจด ในทางกลับกัน หลังจากล้างออกแล้ว มันกลับซึมออกมาอีกมาก
ตามตำราแพทย์ระบุว่า เมื่อร่างกายมีพิษ ประการที่หนึ่งพิษจะขับออกมาจากร่างกายพร้อมปัสสาวะและอาจม ประการที่สอง พิษจะออกมาด้วยการอาเจียน ประการที่สาม พิษจะออกมาทางผิวกาย เมื่อเห็นว่าน้ำมันสีดำไม่ได้ขับออกมาอย่างหมดจด มู่หรงฉิงย่อมรับรู้แล้วว่าตนเองต้องถูกวางยาพิษแปดถึงเก้าส่วนในสิบส่วน วันนี้นางได้พบกับหมอเทวดาโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นเป็ความประสงค์ของ์สินะ หมอเทวดาให้นางกินยาที่ยังอยู่ในระหว่างการทดสอบ นางไม่อาจรับรองได้ว่ายาตัวนั้นจะทำให้ร่างกายของนางกลายเป็ร่างกายที่สามารถต้านพิษได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถรับรองได้คือ พิษในร่างกายของนางกำลังค่อยๆ ถูกขับออกมา
ครั้นนึกถึงความบังเอิญที่ทำให้รอดพ้นจากแผนการของอนุหนิง มู่หรงฉิงก็รู้สึกสบายใจอย่างมิอาจอธิบายเป็คำพูดได้
สำหรับการแก้แค้น มู่หรงฉิงเชื่ออย่างหนักแน่นว่า มันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ปีกยังไม่กล้าแข็งก็คิดอยากจะทำลายท้องฟ้าเสียแล้ว นั่นเป็ความคิดเพ้อฝัน สิ่งที่นางควรทำคือรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย จากนั้นหาโอกาสที่จะใช้เฉินเทียนหยูในการช่วยพี่ชายใหญ่ของนาง
หลังจากแช่อยู่ในน้ำเกือบครึ่งชั่วยาม น้ำมันสีดำบนผิวก็ค่อยๆ จางหาย นางจึงชำระล้างอย่างระมัดระวัง ก่อนดูเสื้อด้านในและพบว่าผ้าไหมที่เดิมเป็สีขาวกลับมีคราบสีดำเปื้อนอยู่ ซึ่งจะซักอย่างไรก็ซักไม่ออก นางไม่มีเสื้อคลุมให้เปลี่ยนทั้งไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้เพียงหยิบชุดชั้นในมาขยี้กับน้ำ จากนั้นสวมมัน ครั้นกลับขึ้นไปบนฝั่ง นางก็ซ่อนสมุดบันทึกไว้ในแขนเสื้อ
นับดูแล้วนางแยกจากเฉินเทียนหยูกว่าหนึ่งชั่วยาม ตามหลักของเหตุผล พวกเขาน่าจะตามหานางถึงจะถูก? แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่เคลื่อนไหวเสียที?
ด้วยความสงสัย หญิงสาวจึงก้าวเท้าหมายจะเดินกลับไป แต่ในจังหวะลงน้ำหนักเท้า คิ้วของนางถึงกับขมวดแน่น
่ที่เดินทางก่อนหน้านี้ นางไม่รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้ามากนัก ถัดจากนั้นก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับหมอเทวดา ตอนเดินกลับมาแม้จะรู้สึกว่ามีอาการปวดที่ข้อเท้า ถึงกระนั้นนางก็ไม่รู้สึกทรมานมากนัก แต่หลังจากลงน้ำหนักเท้า นางพลอยรู้สึกทันทีว่าเหมือนมีเข็มพันเล่มทิ่มแทงอยู่ที่ข้อเท้าซึ่งทรมานมากอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก
“ซี้ด”
นางอดทนอดกลั้นต่อความเ็ปและ้าก้าวเท้าต่อไป แต่จำต้องเอนตัวพิงต้นไม้ริมทางด้วยความเ็ป เด็กสาวรู้สึกว่าเป็เื่ยากที่จะเดินต่อไป ทันทีที่ก้มลงมองก็ต้องตระหนกฉับพลัน
ทำไมนางถึงไม่สังเกตมาก่อน? ข้อเท้าบวมมากกว่าเมื่อคืนเสียอีก มันจะดีได้อย่างไร? ตอนนี้จะก้าวเท้าแค่ก้าวเดียวก็เป็เื่ยากแล้ว นางจะหาเฉินเทียนหยูเจอได้อย่างไร?
ในระหว่างที่มู่หรงฉิงทำอะไรไม่ถูก เฉินเทียนหยูซึ่งอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามก็วิตกกังวลจนหยาดเหงื่อเปียกชุ่ม “จ้าวจื่อซิน น้องหญิงไปไหนกัน? ทำไมหาไม่เจอสักที? ชิงยวี่บอกว่าเดินไปทางนี้ เขาพูดโกหก”
“คุณชายรอง ผู้น้อยเห็นฮูหยินน้อยเดินมาทางนี้จริงๆ ผู้น้อยไม่พูดโกหกเด็ดขาด” หลังได้ฟังคำพูดของเฉินเทียนหยู ชิงยวี่ก็เอ่ยตอบทันควัน ขณะเดียวกันก็หันไปมองจ้าวจื่อซินด้วยความไม่เข้าใจ “ในระหว่างที่เ้านายไปดูต้นไม้พร้อมกับคุณชายรอง ข้าก็เห็นฮูหยินน้อยเดินมาทางนี้ แต่ทำไมถึงไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อยล่ะ?”
เฉินเทียนหยูทั้งวิตกกังวล ทั้งไม่สบอารมณ์ ชิงยวี่มีสีหน้างงงวย ส่วนจ้าวจื่อซินได้แต่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาของเขามืดมิดคล้ายเป็หลุมลึกที่ไม่เห็นก้นบึ้ง