“ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ท่านช่างเหลวไหลยิ่งนัก คิดอยากเขียนอะไรก็เขียนงั้นหรือ ไยไม่ตั้งชื่อว่า ตำราเขียนเล่นของข้า เหยาซีหรานผู้เฒ่าเลอะเลือนแทน”
หลังจากพยายามมานับร้อยวิธีไท้หยูพบว่าตำรานี้แม้จะเล่มหนาแต่ไร้ประโยชน์ที่สุด อย่างมากก็เป็ได้แค่ฟืนไว้ปิ้งไก่ ของไว้ประดับเท่านั้น
“เ้าจะรู้เมื่อเ้าคู่ควร เฮอะ ข้าเห็นว่าท่านไม่มีความสามารถในการเขียนมากกว่าจึงทำเช่นนี้”
เขาวางตำราไร้ประโยชน์ใส่ชั้นวางเดิม มองตำราอีกสองเล่มอย่างหวาดระแวง ในใจคิดว่า อีกสองเล่มคงมิใช่เขียนว่า วิชาของข้าเ้าไม่มีทางฝึกได้ กับสำนักของข้าจะยิ่งใหญ่ไปอีกพันปีกระมัง
เขาหยิบตำราประวัติสำนักพันปีขึ้นมา เปลือกนอกของตำราเหมือนกับอีกสองเล่ม ความหนาน้อยเก่าตำราประวัติของข้าเล็กน้อย
พรึ่บ พรึ่บ
ทันทีที่ไท้หยูเปิดหน้าแรก เขารีบปิดลงทันที สองตาเบิกกว้างปากอ้าตาค้าง หลังจากสงบสติอยู่ครู่หนึ่งพลันเปิดอีกรอบ
ไท้หยู “.....”
เปรี้ยง
ไท้หยูขว้างตำราประวัติสำนักพันปีทิ้ง ซัดสุดแรงด้วยลมปราณมหาศาล ตั้งใจจะให้มันแตกละเอียดเป็ผุยผงไม่สนใจว่ามันเป็ตำราที่มีอายุมากกว่าพันปีหรือสิ่งสืบทอดของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง
“เหยาซีหราน!!!” เขาตวาดด้วยโทสะเค้นเสียงจากไรฟันด้วยความโกรธแค้น
เลวร้ายยิ่งกว่าตำราประวัติของข้า เพราะตำราประวัติสำนักพันปีว่างเปล่า ไม่มีรอยสลักแม้แต่เส้นเดียว ตำราเปล่าไม่มีสิ่งใดถูกเขียนลงไป สำหรับบัณฑิตที่ชื่นชอบอ่านตำราและหลงใหลในประวัติศาสตร์เช่นเขา ตำราเช่นนี้คือยากระตุ้นโทสะชั้นดี หากปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งคิดสร้างตำราเหล่านี้เพื่อให้ปั่นหัวคนรุ่นหลังนับว่าเขาทำสำเร็จแล้ว
“มารดามันเถอะ เหยาซีหรานข้าจะถล่มสุสานของเ้า”
ผ่านไปชั่วก้านธูป อารามเดือดดาลของไท้หยูพลันสงบลง พ่นลมหายใจขุ่นข้องออกมา สายตาจ้องไปยังตำราเล่มสุดท้าย ตำราวิชาของเหยาซีหราน สายตาของเขาหม่นหมองไม่กล้าคาดหวังในตำราของผู้เฒ่าน่ารังเกียจอีกต่อไป
มือซ้ายหยิบเปิดอ่านอย่างไม่แยแส ทว่า่หลายอึดใจต่อมาประกายตาของไท้หยูพลันรุกโชน นัยต์ตาสีเขียวนั้นราวกับหยก สุกใสประหนึ่งดารารายพร่างพราว
ผ่านไปเนิ่นนานไท้หยูยังไม่ละสายตาจากตำราเปลือกไม้ที่หนาสองสามนิ้ว พลิกหน้าแล้วหน้าเล่าด้วยความตื่นเต้น
“ข้าเหยาซีหรานเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการฝึกตนในมรรคาต่างๆ ว่า มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถฝึกได้มากสุดกี่มรรคา ข้าได้ใช้เวลาครึ่งชีวิตแรก เสาะหาคำตอบจนได้ทราบว่าแม้แต่คนที่มีพร์สูงส่งที่สุด อย่างมากก็เพียงฝึกได้สามมรรคา ถูกกฎของ์กางกั้นเอาไว้ ผู้มีพร์สามารถฝึกสองมรรคามีให้เห็นดาษดื่น ข้ารู้สึกไม่พอใจ
วิถีตรีภาคา คือสิ่งที่ข้าคิดค้นในครึ่งหลังของชีวิตแรก วิถีตรีภาคาคือแนวทางฝึกตนที่ข้าคิดและได้บัญญัติขึ้นมา ข้าไม่คิดจะเก็บมันไว้เป็วิชาลับ หากผู้ใดสามารถฝึกสำเร็จก็ถือเป็โชคของผู้นั้น
อันว่าร่างกายเป็ขีดจำกัดในการฝึกหลายมรรคา ข้าจึงคิดจะทำลายขีดจำกัดนั้นด้วยการแบ่งตนเองออกเป็เจ็ดส่วน แต่ภายหลังทดลองแล้วกลับพบกับความล้มเหลว แม้นว่ามรรคาศิลป์สรรค์สร้างสามารถสร้างร่างเทียมจากสิ่งของได้ แต่ว่ามันไม่สามารถรองรับดวงจิตของข้าได้ มีร่างแต่ก็เปรียบดั่งต้นไม้ หลังจากทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจนธาตุไฟเข้าแทรกิญญาแตกเป็เสี่ยงๆ ข้าก็ได้รู้ว่าสิ่งเทียมไม่สามารถเทียบของแท้”
อ่านถึงตรงนี้ไท้หยูสามารถััถึงความตื่นเต้นในจิตใจ เสียงตุบตุบตุบราวกับกลองศึกกำลังลั่นอยู่ภายในร่างของเขา เืลมทั้งร่างสูบฉีดจนตัวแดงก่ำ
“ช่างเป็คนที่โอหังยิ่งนัก กลับคิดจะเป็มนุษย์ที่ฝึกทุกมรรคาในคนคนเดียว!”
สำหรับการฝึกตน พร์ของคนถือเป็ประการสำคัญ และผู้มีพร์ก็เป็สิ่งที่หายากอย่างยิ่ง แม้ว่าในตำราจะเขียนเอาไว้ว่าผู้ที่สามารถฝึกสองมรรคาจะมีดาษดื่น แท้จริงแล้วหาได้มีมากมายปานนั้นไม่ โดยเฉพาะในยุคนี้
หากนับมนุษย์ปุถุชนปกติหนึ่งร้อยคน จะมีผู้ที่มีคุณสมบัติฝึกตนราวสิบคน ทว่าหากจะหาผู้ที่มีคุณสมบัติฝึกควบสองมรรคา คงต้องเทียบหนึ่งพันผู้ฝึกตนต่อหนึ่งคน ในประวัติศาสตร์ผู้ที่สามารถฝึกสามมรรคาคาดว่าคงมีไม่เกินห้าคนที่ถูกบันทึกเอาไว้ แต่ปรมาจารย์ผู้เฒ่ากลับคิดจะฝึกทุกมรรคา ไม่เห็นผู้มีพร์เ่าั้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
อีกทั้งคิดจะฝ่าฝืนกฎ์แบ่งร่างของมนุษย์ ความคิดเหลวไหลเช่นนี้ไหนเลยเพียงแค่โอหังเท่านั้น ต้องกล่าวว่าเขาเป็ผู้เสียสติไปแล้ว
ไท้หยูสงบจิตใจจากนั้นอ่านหน้าต่อไป
“วิถีตรีภาคามิใช่วิชาฝึกปรือเลิศภพจบแดน แต่เป็วิชาแยกหนึ่งให้เป็สาม แบ่งร่างมนุษย์หนึ่งคนให้เป็สามร่าง ส่วนสามารถฝึกสำเร็จหรือไม่ แล้วแต่โชควาสนาของเ้าแล้ว”
เขาพลันเงยหน้าขึ้นละสายตาจากตำราสองตายังเบิกกว้าง ปากอ้าค้างจนสามารถยัดมือทารกเข้าไปได้ ไท้หยูพึมพำด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า
“เขา เขาสามารถแยกตัวเองออกเป็สามร่าง ฝึกเจ็ดมรรคา? ช่างเป็คนที่น่ากลัวเกินไปแล้ว เดี๋ยวก่อน หากปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งมีสามร่าง เช่นนั้นอีกสองร่างของเขาเล่า? เป็ผู้ใด ยังมีชีวิตอยู่หรือแตกดับไปแล้ว?”
มีเื่ราวมากมายประเดประดังเข้ามาให้ขบคิด สำหรับเื่นี้นับว่าเป็เื่ะเืจิตใจของเขามากที่สุด ไม่ว่าในภพนี้หรือภพก่อนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน สิ่งที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งทำนี่สามารถเรียกได้ว่าฝืนกฎ์ยิ่งกว่าการมีชีวิตะ น่าสะพรึงกลัวเกินไป
วิถีตรีภาคาแบ่งออกเป็สามส่วน หนึ่ง ก่อรูปสัทธา เป็ส่วนการเตรียมร่างกาย ชำระล้างและเติมเต็มพลังงาน ชำระร่างกายคือขับทุกสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกจากร่างกาย ใช้โอสถบำรุงเส้นเืชีพจร
เติมเต็มพลังงาน ส่วนนี้เป็ทั้งพลังงานของร่างกาย กล้ามเนื้อและพลังงานของลมปราณให้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์
ส่วนที่สอง วินิพภาธาตุ นี่เป็ส่วนที่ยากที่สุดและอันตรายที่สุดของการฝึกวิถีตรีภาคา วิธีการคือแบ่งซี่เป่า (เซลล์) ในร่างกายให้แตกตัวออกมา ซึ่งก่อนจะมีความสามารถแบ่งซี่เป่าได้ จะต้องใช้วิชาสัททักษะในการควบคุมให้กล้ามเนื้อและซี่เป่าแตกตัว
สัททักษะคือวิชาควบคุมสรรพสิ่งด้วยเสียง เป็วิชาของมรรคาเต๋า
“มารดามันเถอะ ช่างงงงวยยิ่งนัก จนบัดนี้ข้าถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใด สำนักพันปีั้แ่สิ้นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไป จึงไม่เคยมีผู้ใดสามารถฝึกวิชาของเขาได้ วิชาผีสางเช่นนี้เพียงเขียนไว้แค่คำอธิบายเท่านั้น เขาคิดว่าในโลกจะมีผู้มีพร์และฟั่นเฟือนเช่นเขาอีกหรือ”
วิถีตรีภาคาเป็วิชาที่น่าแตกตื่นอย่างยิ่งจริง ๆ แต่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเพียงเขียนไว้แค่คำอธิบายของวิชาและขั้นตอน เขามิได้ทิ้งภาพวาด การโคจรพลังหรือการฝึกเสริมที่สำคัญเอาไว้ หากเพียงสามารถอาศัยแค่คำอธิบายก็ฝึกสำเร็จได้ เช่นนั้นสำนักพันปีคงไม่ตกต่ำเช่นนี้แล้ว
วิชาสัททักษะคือวิชาเสียง ในสำนักพุทธใช้สัททักษะในการบริกรรมคาถาเพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์ ลัทธิเต๋าใช้ผสานกับเสียงต่างๆ เป็วิชาต่อสู้ ใช้ะเืสติและจิตใจศัตรู แต่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งใช้วิชานี้ดัดแปลงมาแบ่งซี่เป่าของตนเอง
เขาใช้การควบคุมหัวใจให้เป็จังหวะเก้าจุด ซี่เป่าที่อยู่ภายในร่างกายจึงตื่นขึ้นราวกับมีชีวิต จากนั้นจึงแยกออกจากกันได้
“การใช้เสียงหัวใจแบ่งซี่เป่าออกให้สร้างเป็ร่างใหม่อีกสองร่าง ทั้งโลกคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำได้ ตำราวิชานี้ของเขาเป็ได้แค่ฟืนปิ้งไก่จริงๆ”
ไท้หยูบ่นอย่างรู้สึกเสียดาย เขายังคาดหวังว่าวิชาของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งจะมีมากมายและเขายังสามารถฝึกสักหนึ่งวิชา เพิ่มพูนพลังรบของตนเอง แต่วิชาแยกร่างเช่นนี้เขาคงไม่ทำ เพราะเกรงว่าจำตายก่อนสามารถฝึกสำเร็จ
“คาดว่าตอนที่เขาฝึกวิชานี้อย่างน้อยก็ฝึกตนถึงระดับเทพปรากฏหรือเซียนนิรันดร์แล้ว ไม่เช่นนั้นร่างกายคงไม่มีทางรับไหว และต่อให้เป็เขาก็ต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน”
ไท้หยูก้มหน้าอ่านวิชาส่วนสุดท้ายและบทสรุปที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งทิ้งเอาไว้
ส่วนที่สาม สังวรปราณี เมื่อร่างแบ่งทั้งสามแยกออกเป็เอกเทศ ต้องแบ่งขวัญิญญาของตนเองใส่ในร่างแบ่งอีกสองร่าง จากนั้นปิดผนึกร่างถ่ายทอดลมปราณและจิตลงไป การแบ่งขวัญิญญาของตนเอง คือการแบ่งการควบคุมไปในร่างทั้งสองและขั้นตอนนี้จะทำให้สูญเสียพลังฝึกตนทั้งหมดที่มีอยู่ ก้าวเข้าสู่วิถีการฝึกมรรคาใหม่อีกครั้ง
“ข้าใช้ชีวิตทั้งชีวิต นับเวลามากกว่าร้อยปีในการบัญญัติวิชานี้ขึ้นมา ทว่าส่วนสุดท้ายของวิชานี้ยังไม่สมบูรณ์ ข้าหวังว่าอนุชนรุ่นหลังจะสามารถสืบสานวิถีนี้ของข้าต่อไปได้”
ปัง
ไท้หยูปิดตำราลงสองตาหลับพริ้ม ในสมองกลั่นกรองความรู้ที่ได้มาทั้งหมดในตำราวิชาของข้า ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเริ่มจากสงสัยว่ามนุษย์สามารถฝึกทุกมรรคาได้หรือไม่ ภายหลังค้นพบว่าตนเองเพียงสามารถฝึกได้แค่สามมรรคา จึงรู้สึกไม่ยอมรับและคิดค้นวิถีตรีภาคาขึ้นมา แบ่งร่างและจิตของตนเองออกเป็สามร่างได้สำเร็จ
ทำให้เขาสามารถฝึกทุกมรรคาพร้อมกันได้ แต่เขากลับบอกว่าส่วนสุดท้ายของวิชานี้ยังไม่สมบูรณ์ นี่สมบูรณ์ที่สุดแล้วมิใช่หรือ? เขายังคาดหวังว่าอนุชนรุ่นหลังจากเขาจะสามารถสืบสานวิถีของเขาต่อ ทำให้วิถีตรีภาคาสมบูรณ์แบบ?
ยามนั้นไท้หยูพลันเบิกตาโพลง เสียงกัมปนาทดังในสมอง ดวงตาเจิดจ้าราวกับสายวิชชุใบหน้าแตกตื่นถึงที่สุด กล่าวเสียงสั่นพร่าว่า
“เขายังคิดจะรวมร่างทั้งสามให้กลับเป็หนึ่งเดียวกัน? เป็มนุษย์ที่มีเจ็ดมรรคาอยู่ในร่างเดียว? เหยาซีหรานท่านช่างท้าทาย์ยิ่งนัก เขาสามารถแยกเป็สามร่างยังไม่สมใจ ยังคิดจะรวมทุกร่างเข้าด้วยกัน? เดี๋ยวก่อน....ถ้าหากทั้งสามร่างของเขาฝึกถึงระดับเซียนนิรันดร์ เมื่อรวมกันระดับพลังของเขาจะน่ากลัวปานใด? มารดามันเถอะ พร์ของเขาช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว หากเขาทำสำเร็จไม่แน่ว่าตัวเองจะยิ่งใหญ่กว่าฟ้าแล้ว”
แม้ร่างใหม่ของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งต้องเริ่มต้นฝึกตนใหม่ แต่เขาเคยไปถึงระดับเซียนนิรันดร์แล้ว การฝึกซ้ำอีกครั้งย่อมไม่ใช่เื่ยากเย็น ผู้ที่มีพร์สูงส่งจนสามารถคิดค้นวิถีที่ท้าทาย์เช่นนี้ การเริ่มต้นฝึกตนใหม่คงไม่ใช่เื่ยากลำบาก ในบางส่วนของวิชายังเขียนไว้ว่าเขาทดลองจนธาตุไฟเข้าแทรก ิญญาแตกเป็เสี่ยง เช่นนั้นการที่เขาสามารถกลับมาใหม่ได้ ก็เครื่องยืนยันว่าเขาสามารถเริ่มฝึกใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็น
เหยาซีหราน ช่างเป็มนุษย์ที่น่ากลัวจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้