รุ่งอรุณเพิ่งแย้มพราย แสงสีทองอ่อน ๆ สาดลอดผ่านม่านฟ้าสีครามอ่อน เมืองทั้งเมืองยังคงหลับใหลในความเงียบสงบ หากแต่ในจวนใหญ่ของตระกูลฉิน กลับมีเพียงเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ในครัว กลิ่นควันไฟและน้ำซุปอุ่นพลุ่งพล่านตลบอบอวลอยู่รอบกาย
แม่ทัพฉินเทียนหง บุรุษผู้เคยยืนเด่นกลางสมรภูมิรบด้วยท่วงท่าที่น่าเกรงขาม บัดนี้กลับยืนเงียบอยู่เบื้องหน้าเตาไฟด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ มือใหญ่ที่เคยจับดาบเหล็กจนสั่นะเืศัตรูทั้งกองทัพ บัดนี้กลับถือทัพพีไม้ตักน้ำซุปอย่างระมัดระวัง ความร้อนที่แล่นเข้าสู่ิัไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้าน แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่สั่นสะท้าน คือความคิดที่โหมกระหน่ำไม่หยุดตลอดทั้งคืน
“เพราะความเขลาและความเ็าของข้าเอง… ข้าจึงผลักไสแก้วตาดวงใจไปสู่หนทางมืดมิดเช่นนี้”
ั์ตาที่เคยแข็งกร้าวสั่นระริก เผยแววโศกเศร้าและสำนึกผิด การรอคอยทั้งคืนที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เขาเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย หากแต่ทำให้ยิ่งตระหนักว่า เขาไม่เคยเข้าใจหัวใจของลูกสาวเลยแม้แต่น้อย
เมื่ออาหารเช้าถูกจัดเตรียมจนเสร็จสิ้น ทุกจานล้วนเป็เมนูที่ ฉินเซียนหรู เคยโปรดปรานในวัยเยาว์รสชาติเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความทรงจำที่อบอุ่นราวกับวันวาน เขาใช้มือใหญ่ห่อหิ้วถาดอาหารอย่างทะนุถนอม ดั่งถือสมบัติที่ล้ำค่าเหนือสิ่งใดยามก้าวมาถึงเรือนหลังน้อย ความเงียบยังคงปกคลุมเช่นเคย ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีบ่าวรับใช้มารายล้อมเหมือนเรือนอื่น ๆ มีเพียงความว่างเปล่าที่ตอกย้ำถึงความเฉยชาที่เขาเองเป็ผู้สร้างขึ้นมาตลอดแปดปีเต็ม
แม่ทัพฉินเทียนหง ยืนหน้าประตูเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ามือใหญ่กำแน่นด้วยความลังเล ริมฝีปากแห้งผากเพราะไม่รู้ว่านางจะยังรับฟังเสียงของเขาหรือไม่ สุดท้ายเขาก็สูดลมหายใจลึก และเปล่งถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
“ฉินเซียนหรู… ลูกพ่อ… พ่อตั้งใจทำอาหารเช้ามาให้เ้า”
เสียงนั้นสั่นเครือ แม้จะเป็คำพูดธรรมดา หากแต่ทุกถ้อยคำกลับสั่นะเืออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของพ่อผู้หนึ่ง ร่างสูงใหญ่ที่เคยแข็งกร้าวกลางศึก กลับยืนอยู่อย่างเปราะบางตรงหน้าประตูเรือนบุตรีตนเอง ราวกับกำลังรอการตัดสินชะตาจากสตรีผู้ที่เขาเคยทอดทิ้ง…
เสียงแ่เบาของประตูไม้ถูกเปิดออก ความเย็นยามเช้าพัดผ่านเข้ามาปะทะแก้มเนียนละเอียดของ ฉินเซียนหรู นางยืนอยู่ตรงธรณีประตู ใบหน้าขาวซีดภายใต้เงาแสงอรุณจับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่อย่างเก้อเขิน สองมือแข็งกร้าวของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่กลับกอดถาดอาหารไว้ราวกับเป็ของล้ำค่า
สายตาของนางไล่ไปยังจานอาหารบนถาด อาหารที่นางเคยโปรดปรานเมื่อยังเยาว์ กลิ่นหอมที่คุ้นเคยหวนคืนมาพร้อมกับภาพความทรงจำในวัยเด็ก วันที่บิดายังโอบอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนด้วยความภาคภูมิใจ แววตาของนางพลันอ่อนลงเพียงเล็กน้อย ความแข็งกร้าวที่ก่อร่างขึ้นมาตลอดหลายปี สั่นคลอนเพียงเสี้ยววินาที
ริมฝีปากน้อยเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเรียบง่าย หากแต่สำหรับบิดาผู้ยิ่งใหญ่ กลับเปรียบเสมือนแสงแรกของอรุณที่แหวกเมฆหมอกออกมา “เชิญท่าน… เข้ามาก่อน”
เสียงนั้นมิได้เปี่ยมด้วยความอบอุ่น หากแต่ก็หาได้เ็าเฉกเช่นทุกครา บิดาและบุตรสาวต่างก้าวผ่านประตูเข้าสู่ห้องเดียวกันเป็ครั้งแรกในรอบหลายปี บรรยากาศที่เงียบสงัดพลันแปรเปลี่ยนเป็ความหนักอึ้งราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ตรงกลาง
ฉินเซียนหรูทอดมองบิดาอย่างนิ่งงัน นางมั่นใจว่าเวลานี้ตนเองยังมิได้เผยพร์อันสูงส่งที่ซ่อนเร้นไว้ให้เขาเห็น นางยังคงเป็เพียงสตรีที่ไร้ค่า มีเพียงโฉมงามที่น่าจับจ้อง หากแต่ไร้ความสามารถใด ๆ ในการฝึกปราณ
ทว่าความอ่อนโยนที่ฉายชัดในสายตาของบิดา และการที่เขาตั้งใจลงมือทำอาหารด้วยตัวเองในครั้งนี้… ไม่ได้เป็เื่ของพร์ แต่เป็เื่ของหัวใจ เป็เพียงพ่อผู้หนึ่งที่อยากมอบความรักและความอบอุ่นให้บุตรี แม้ว่าจะสายเกินไป แม้จะต้องใช้เวลาถึงแปดปีเต็มกว่าที่เขาจะรู้ตัว
“ที่พ่อมาวันนี้… พ่ออยากจะขอโทษเ้า พ่อผิดต่อเ้ายิ่งนัก”
เป็คำสารภาพที่ช้าเกินไปนัก เขารู้ดี ความรักที่ควรจะบริสุทธิ์ กลับถูกเขาเองตีราคาแลกเปลี่ยนกับคำว่าพร์ ความเฉยชาตลอดแปดปีคือดาบที่เขาเป็คนกรีดลงกลางหัวใจลูกสาวด้วยมือตนเอง
ฉินเซียนหรู มิได้เงยหน้ามองบิดาแม้แต่น้อย ดวงตาคมของนางทอดมองที่ชามอาหารตรงหน้า ก่อนนางจะคีบอาหารเข้าปากอย่างใจเย็น รสชาติที่แตะลิ้นทำให้ความทรงจำในวัยเยาว์ผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม ดวงตาที่มักนิ่งสงบสั่นวูบเล็กน้อย หากแต่สีหน้ากลับเรียบเฉยเช่นเดิม
“ข้าไม่คิดเลย… ว่าท่านยังจะจำอาหารที่ข้าชอบได้”
ถ้อยคำของนางเรียบง่ายดุจสายลม แต่กลับกรีดลึกในหัวใจผู้เป็บิดายิ่งกว่ามีดคมใด ๆ เพราะสำหรับเขา นั่นคือสัญญาณว่าบุตรสาวยังคงจดจำอดีตทั้งความสุขและความเ็ปที่เคยได้รับ แม้นางมิได้มองเขาเลย แต่เพียงการที่นางยอมตักอาหารเข้าปาก รสชาติที่เขาอุตส่าห์ปรุงด้วยมือตนเองก็เพียงพอที่จะทำให้แม่ทัพรู้สึกว่าความสัมพันธ์พ่อลูกที่พังทลายไปแล้ว…อาจยังเหลือเศษเสี้ยวให้ยึดเหนี่ยวอยู่บ้าง
“ฉินเซียนหรู…พ่อต้องทำใจสิ่งใด ถึงจะชดเชยให้เ้าได้บ้าง”
เสียงนั้นสะท้อนถึงความหวังเล็ก ๆ ที่เขายังพยายามไขว่คว้า แม้จะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบุตรสาวได้แตกร้าวมานานแล้วก็ตาม ตรงข้ามกัน ฉินเซียนหรู นั่งสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้รับแรงกระเพื่อมจากถ้อยคำใด ๆ ดวงหน้างามเรียบเฉย ทอดต่ำลงมองเพียงอาหารตรงหน้า มิได้เหลือบแลบิดาเลยสักนิด
“ท่านไม่จำเป็ต้องทำสิ่งใดทั้งนั้น… ข้าเพียงแค่้าใช้ชีวิตอย่างอิสระ” ประโยคนั้นคล้ายกำแพงที่กั้นขวางโลกทั้งสองฝั่งออกจากกัน อดีตที่เต็มไปด้วยความเฉยชาของเขา ทำให้นางไม่เหลือสิ่งใดให้คาดหวังอีก
“ได้… หากเ้า้าสิ่งใด พ่อก็จะมอบให้เ้าได้ทั้งนั้น”
แม่ทัพ ฉินเทียนหง นั่งนิ่งอยู่นาน ใบหน้าที่เคยเข้มแข็ง บัดนี้กลับอ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเขาไม่อาจละไปจากเงาร่างเล็กที่กำลังนั่งรับประทานอาหารฝีมือเขาครู่หนึ่ง จึงเอื้อนเอ่ยออกมา
“เ้าจงจำเอาไว้… ต่อไปนี้ เ้าเป็บุตรสาวที่ข้าภูมิใจ ไม่ว่าเ้าจะมีพร์หรือไร้พร์ก็ตาม”
ถ้อยคำตรงไปตรงมานั้นหล่นลงกลางบรรยากาศเงียบสงัด คล้ายเป็คำสาบานจากหัวใจที่แบกรับบาปแห่งความเฉยชามานานปี
ฉินเซียนหรู มิได้เงยหน้ามองบิดา ดวงตายังคงทอดต่ำลงกับถ้วยอาหาร ริมฝีปากไม่ขยับเอื้อนวาจา ความเ็าบนใบหน้ายังคงเดิม แต่ในส่วนลึกของหัวใจกลับสั่นไหวเล็กน้อย ความรู้สึกบางอย่างที่พยายามกดทับไว้แปดปีเต็มพลันเผยรอยร้าวบาง ๆ ถึงนางจะไม่เอ่ยคำตอบใด ไม่แม้แต่ปรายตามองบิดา แต่ในก้นบึ้งของหัวใจ… นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ถ้อยคำนี้ยังคงสร้างแรงสั่นะเืบางอย่างขึ้นมาอย่างเงียบงัน
