เล่มที่ 3 บทที่ 78
จากการเปรียบเทียบฟางเอ๋อร์ของมู่หรงยวี่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีและหวั่นกลัวที่จะออกความคิดเห็น กับชุ่ยเอ๋อร์ที่รู้อะไรควรไม่ควร ทั้งยังมีมารยาท ตัดสินจากพฤติกรรมการยืนต่อหน้ามู่หรงฉิงของนาง ย่อมสามารถเห็นได้ว่าเป็บ่าวที่ปกป้องเ้านาย จากมุมมองเหล่านี้ มู่หรงยวี่ย่อมถูกเปรียบเทียบกับมู่หรงฉิงแล้ว
ครั้นเห็นว่าฟางเอ๋อร์ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นจนทำให้เสียหน้า มู่หรงยวี่พลอยรู้สึกหงุดหงิดมาก นางกัดฟันพร้อมพูดว่า "ไยเ้าจึงคุกเข่าอยู่อีก? ยังไม่ลุกขึ้นมา?"
“รับทราบ” ฟางเอ๋อร์ไม่เข้าใจก่อนออกเดินทางยังพูดจากันดีๆ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนไปแล้วล่ะ? ละครเื่นี้ยังไม่จบไม่ใช่หรือ?
“ฟางเอ๋อร์อย่าทำหน้าเช่นนั้นสิ คนไม่รู้อาจจะคิดว่าน้องหญิงปฏิบัติต่อเ้าไม่ดี น้องหญิงเป็คนจิตใจดีเสมอ ดังนั้นเ้าอย่าทำให้ชื่อเสียงของน้องหญิงเสียหายล่ะ” หลังจากนั้นมู่หรงฉิงจึงให้ชุ่ยเอ๋อร์ประคองพลางพาเดินเข้าไปในสวนร้อยบุปผา "ใกล้ถึงเวลางานแล้ว รีบเข้าไปกันเถอะ ถ้าปล่อยให้ฮูหยินหลิงรอนานย่อมไม่ดีแน่"
เมื่อเห็นมู่หรงฉิงและผู้ติดตามเดินห่างออกไปเรื่อยๆ มู่หรงยวี่จึงขยำผ้าเช็ดหน้าอย่างชิงชัง ใบหน้าของนางดูน่าเกลียดมาก "มู่หรงฉิง เ้ามีอะไรให้ภูมิใจหรือ? สาวใช้คนนั้นเป็แค่สาวใช้ที่คนอื่นส่งมาเพื่อเฝ้าสังเกตเ้าก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเ้าจะยังมีหน้าออกมาเทียบเคียงอย่างลำพองใจ"
“น้องยวี่อย่าได้หุนหันพลันแล่น ปล่อยให้นางภูมิใจสักพักเถอะ หลังจากนี้อีกสักพัก นางก็จะรู้สึกดีขึ้นแล้ว” หนิงสุ่ยรั่วเห็นมู่หรงยวี่เกือบจะสูญเสียความสงบทำให้นางลอบเย้ยหยัน ด้วยความสามารถเล็กน้อยของเ้า เ้ายังคิดที่จะต่อสู้กับมู่หรงฉิง? ช่างเป็เื่ตลกจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของเ้า กลัวว่าเ้าจะถูกนางกินจนไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก
“ใช่ ปล่อยให้นางภาคภูมิใจสักพักเถอะ หลังจากนี้นางจะไม่มีหน้ากลับไปที่จวนเฉินแล้ว ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า หลังจากได้รับหนังสือหย่า นางจะภูมิใจเช่นนั้นอีกได้อย่างไร ฮึ่ม!”
สิ้นสุดการก่นด่าในใจ นางก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับหนิงสุ่ยรั่วโดยคิดถึงสถานการณ์อันน่าสังเวชของมู่หรงฉิงในอนาคตอันใกล้
สวนร้อยบุปผารายล้อมไปด้วยอาคารสูง ในศาลาที่อยู่ไม่ไกลนักมีร่างสีขาวซึ่งดูเหมือนจะล่องลอยไปตามสายลม
“นั่นคือมู่หรงยวี่?” ถามด้วยน้ำเสียงเบาซึ่งในน้ำเสียงมีความดูถูกเหยียดหยามอยู่หลายส่วน
“ทูลองค์ชาย คนที่อยู่กับนางคนนั้นคือ หนิงสุ่ยรั่วบุตรสาวคนโตของหนิงเชียนฮวาซึ่งทำงานในกวงลู่ซื่อ[1] หนิงเชียนฮวาคนนั้นก็เปลี่ยนจากพ่อค้าสู่การเป็ขุนนางเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยอาศัยการผลักดันของมู่หรงอั้น และได้ดำรงตำแหน่งขุนนางระดับหก"
ผู้ชายในชุดขาวคือหลี่ซื่อเสวียน องค์ชายสามแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน หว่างคิ้วของเขายังคงเผยความน่าหลงใหลแต่เพิ่มความรุนแรงขึ้นเล็กน้อย
“นั่น... คือมู่หรงฉิงที่แต่งงานกับสามีโง่งมใช่หรือไม่?” สายตาของหลี่ซื่อหงมองผ่านมวลหมู่ดอกไม้ และผู้คนตรงไปยังมู่หรงฉิงที่งดงามชดช้อยซึ่งกำลังก้าวเท้าด้วยความเร็ว
“ทูลองค์ชาย ตามข่าวของคนนั้น นางเกือบถูกเฉินเทียนหยูรัดคอตายในคืนก่อน แต่นางก็สามารถรอดชีวิตได้โดยอาศัยชายเคียงข้างเฉินเทียนหยู”
“เกือบอีกแล้วหรือ? แต่งงานเข้าไปได้กี่วัน? และเกิดเื่กี่ครั้งแล้วล่ะ?” หลี่ซื่อหงเลิกคิ้ว มองไปทางหญิงสาวผู้สุขุม หว่างคิ้วที่รุนแรงของหลี่ซื่อหงแปรเปลี่ยนเป็ความขี้เล่น
“ไม่น้อยกว่าห้าครั้ง ในวันแต่งงานนางเกือบถูกปลูกแทนต้นไม้และเกือบถูกเฉินเทียนหยูปลิดชีพ ในคืนนั้นเฉินเทียนหยูคลุ้มคลั่งอีกหน สองสามวันต่อมาเฉินเทียนหยูก็กลายเป็คนไม่มั่นคง แต่นางก็สามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ได้ยินมาว่ามันเกี่ยวข้องกับความสุขุมและความเฉลียวฉลาดของนางด้วย ในวันแต่งงานนางอาศัยไหวพริบในการแก้ไขเจตนาฆ่าของเฉินเทียนหยู”
“โอ้? ฟังดูแล้ว นางเป็คนที่น่าสนใจมาก”
มู่หรงฉิงหรือ? ดูเหมือนว่าเ้าใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวาและยอดเยี่ยม เพียงแต่ไม่รู้ว่าเ้าจะมีไหวพริบเหมือนกับข่าวคราวที่ร่ำลือกันหรือไม่? ข้าอยากจะเห็นการแสดงครั้งต่อไปของเ้าจริงๆ
เมื่อเดินผ่านสวนร้อยบุปผาและระเบียงริมน้ำนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็มาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยง
ยามนี้เป็ฤดูของดอกบัวบาน และสถานที่จัดงานเลี้ยงก็ตั้งอยู่เลียบทะเลสาบขนาดใหญ่ทำให้มองเห็นดอกบัวในทะเลสาบกำลังแบ่งบานจำนวนนับไม่ถ้วน ครั้นทอดสายตามองออกไปจะเห็นสีขาวและชมพูตัดกับสีเขียวเข้ม
ริมทะเลสาบมีบรรดาหนุ่มสาวหน้าตาดีมีความสามารถซึ่งเป็ลูกหลานขุนนางและลูกหลานในราชวงศ์จำนวนนับไม่ถ้วนมาชุมนุมกัน บ้างก็แต่งบทกวี บ้างก็กล่าวทักทายปราศรัย ภายใต้ซุ้มดอกไม้ขนาดใหญ่ หน้าตาของบรรดาสตรีล้วนมีสีชมพูเพราะแป้งทาหน้า
เสียงพูดคุยผสมเสียงหัวเราะดังแว่วออกมา
สถานที่แห่งนี้ช่างไม่เข้ากันกับนางเลยจริงๆ
มู่หรงฉิงถอนหายใจเบาๆ ถอนสายตาออกจากซุ้มดอกไม้ที่สวยงามหลอกตา สถานที่แห่งนี้เป็ที่ที่หญิงสาวผู้ซึ่งยังไม่ออกเรือนได้แสดงความเป็ตัวของตัวเอง แต่ตอนนี้นางแต่งงานแล้ว หากนางเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย คงจะแปลกเกินไป
นางลอบถอนหายใจก่อนหันสายตาไปมองูเาหินและน้ำตกจำลอง นางไม่เข้าใจจริงๆ ฮูหยินหลิง้าให้นางมาที่นี่ มันหมายความว่าอย่างไรหรือ?
“ฮูหยินน้อยเชิญท่านนั่งตรงนี้” ชุ่ยเอ๋อร์คอยรับใช้เคียงข้างมู่หรงฉิง ไม่ว่าเด็กสาวจะไปที่ไหนก็ตาม ชุ่ยเอ๋อร์ไม่เคยพูดหรือถามมากราวกับว่านางเป็เงาของมู่หรงฉิงอย่างไรอย่างนั้น
“ทำไมน้องหญิงถึงได้มานั่งที่นี่? ที่นั่นมีของอร่อยไม่ใช่หรือ?” เฉินเทียนหยูมองขนมบนโต๊ะตรงนั้นและกลืนน้ำลาย
“ข้าเหนื่อยเล็กน้อย และอยากจะนั่งพักสักครู่ ท่านและจ้าวจื่อซินไปเดินสำรวจรอบๆ เถอะ แต่จำไว้ว่าอย่าก่อเื่เด็ดขาด” เป็ไปไม่ได้เลยที่จะบังคับให้เขานั่งนิ่งๆ ฉะนั้นนางแค่หวังว่าเฉินเทียนหยูจะสงบนิ่งเล็กน้อย ก่อปัญหาให้น้อยลง ที่นี่เทียบไม่ได้กับจวนของตัวเองที่สามารถทำทุกอย่างที่อยากทำ
“อืม ข้าจะรีบกลับมาพร้อมกับขนมอร่อยๆ ให้น้องหญิง” เขาพูดอย่างจริงจังโดยเฉินเทียนหยูไม่ได้สนใจความจริงที่ว่า มู่หรงฉิงเฝ้าดูจ้าวจื่อซินอย่างเหม่อลอยเมื่อครู่ก่อนอีกต่อไปแล้ว เขาก็รีบดึงจ้าวจื่อซินไปที่กองขนมตรงนั้น
“ระวังให้มาก” จ้าวจื่อซินไม่ลืมที่จะกลับมาตักเตือนมู่หรงฉิง ก่อนที่เขาจากไป
พยักหน้า สายตาของมู่หรงฉิงหันไปมองที่อื่น นางรออย่างเงียบๆ
“บ่าวไปเอาน้ำชาให้ฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยโปรดรอสักครู่” ศาลาแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากจุดวางผลไม้และของว่าง การไปหยิบมาที่นี่คิดว่าใช้เวลาไม่นาน
“เ้าไปเถอะ” หลังจากตอบก็มองไปทางด้านขวา เมื่อคืนเป้ยหนิงไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนของฮูหยินหลิงหรือ? มานานแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นอีกฝ่ายเสียที?
ชุ่ยเอ๋อร์จากไป แต่เวลาครึ่งก้านธูป*ผ่านไป นางก็ยังคงไม่กลับมา ทางด้านเฉินเทียนหยูและจ้าวจื่อซินที่บอกว่าจะรีบกลับมา ยิ่งไม่เห็นแม้แต่เงา
(*เวลาครึ่งก้านธูป ก็คือเวลาหนึ่งเค่อ หรือเวลาประมาณสิบห้านาทีในเวลาปัจจุบัน)
เดิมนางนัดเป้ยหนิงว่าจะมาพบกันที่นี่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มาเสียที ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด ซึ่งนั่นทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกไม่สบายใจอยู่หลายส่วน
แผนการของนางนั้นละเอียดมากและเป็ไปไม่ได้ที่จะมีคนรู้ กอปรกับจ้าวจื่อซินลงมือทำด้วยตัวเอง มันเป็ไปไม่ได้ที่ความลับจะรั่วไหล ทว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก?
จังหวะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็เห็นบ่าวในจวนหลิงคนหนึ่ง ก้มศีรษะและยกน้ำชาเข้ามา
“คุณหนูใหญ่ องค์หญิงเป้ยหนิงติดกับดักแล้ว”
มู่หรงฉิงตะลึงเมื่อได้ยินเสียงนั้น นางเห็นปี้เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ ก่อนที่จะพูดว่า “เรือนที่องค์หญิงเป้ยหนิงอาศัยอยู่นั้นถูกควบคุมอย่างลับๆ สามารถเข้าไปข้างในได้ แต่จะออกไปไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? บอกข้าให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้” นางตกตะลึงในใจก่อนลุกขึ้นเดินออกจากศาลาอย่างสงบราวกับกำลังดูทิวทัศน์โดยมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของูเาหิน
ครั้นฟังคำพูดของปี้เอ๋อร์ มู่หรงฉิงถึงได้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกระจ่าง
หลังจากมู่หรงฉิงและผู้ติดตามออกจากจวนเฉิน ปี้เอ๋อร์ก็เข้าไปในเรือนหยางเซิงตามแผน เดินผ่านทางลับออกจากจวนเฉิน จากนั้นก็มีคนที่เป้ยหนิงจัดแจงให้พานางไปที่จวนของฮูหยินหลิง
ปี้เอ๋อร์กำลังจะปรากฏตัวในฐานะสาวใช้คนสนิทของเป้ยหนิง แต่นางไม่คาดคิดเลยว่า เมื่อนางกับสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างเป้ยหนิงเข้าไปในเรือน นางก็รู้สึกว่าบรรยากาศผิดแปลก คล้ายมีรัศมีอันทรงพลังแอบซ่อนอยู่หลายแห่งโดยกำลังเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวในเรือนทุกย่างก้าว
การค้นพบนั้นเป็สาเหตุให้ปี้เอ๋อร์และบ่าวคนนั้นไม่กล้าบุ่มบ่าม พวกนางจึงปรึกษากัน บ่าวคนนั้นกลับไปที่เรือนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ถ้ายังไม่ออกมาภายในเวลาครึ่งก้านธูป ให้ปี้เอ๋อร์กลับไปหามู่หรงฉิงเพื่อคิดหาทาง
ปี้เอ๋อร์ลอบเฝ้าอยู่ในที่มืดเป็เวลาครึ่งก้านธูป แต่หลังจากบ่าวคนนั้นเข้าไปในเรือน อีกฝ่ายกลับไม่ปรากฏตัวอีกเลย ปี้เอ๋อร์จึงสงสัยว่า เป้ยหนิงน่าจะถูกวางกับดัก? หรือไม่ก็ถูกใครบางคนควบคุมไว้?
“นี่คือจวนของฮูหยินหลิง ใครจะกล้าวางกับดักเป้ยหนิง? แล้วท่านอาจารย์ล่ะ? ท่านอาจารย์ก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็นกระนั้นหรือ?” วิตกกังวลในใจ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้แปลกเกินไป ใครคิดจะทำไม่ดีต่อเป้ยหนิง? เป้ยหนิงเพิ่งมาถึงจงหยวน นางไม่มีปัญหากับใครเว้นเสียแต่ว่าตัวนางจะส่งผลต่อแผนของใครบางคน จึงขัดขวางไม่ให้เป้ยหนิงเข้าร่วมงานเลี้ยง
เป้ยหนิงเดินทางมาเมืองหลวงเพราะต้องเข้าพิธีวิวาห์กับองค์ชายองค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งนั่นอาจกระทบต่อผลประโยชน์ของผู้ใดหรือไม่?
องค์ชายรัชทายาทก็ยังคงเป็องค์ชายรัชทายาทเสมอ และเป็ไปไม่ได้ที่เป้ยหนิงจะเป็ชายาเอกขององค์ชายรัชทายาท นอกจากองค์ชายรัชทายาทยังมีองค์ชายรองซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ที่ด่านหน้า
องค์ชายรองและองค์ชายรัชทายาทเป็พี่น้องร่วมมารดา กล่าวกันว่า หน้าตาของพวกเขาคล้ายกันและเป็เื่ยากที่จะแยกแยะหน้าตาของทั้งคู่ เมื่อคืนก่อนนางได้ยินจากปากของเป้ยหนิง โดยบอกว่าคนรักของนางได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ มู่หรงฉิงเดาว่า คนรักของนางคือองค์ชายรองใช่หรือไม่?
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่องค์ชายรองผู้ซึ่งอยู่ด้านนอกกำแพงในระยะไกลคนนั้น เพราะเป็ไปไม่ได้ที่เขาจะมาร่วมงานเลี้ยง เนื่องจากเขามาไม่ได้ย่อมไม่จำเป็ต้องกักขังเป้ยหนิง
ตัดองค์ชายรัชทายาทและองค์ชายรองออกไป ความเป็ไปได้เพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้คือองค์ชายสาม
องค์ชายสามหน้าตาค่อนข้างโดดเด่นและยังไม่ได้แต่งตั้งชายาเอก ไม่เพียงแต่ชายาเอกเท่านั้น แม้กระทั่งนางสนมก็ยังไม่มี ถึงจะดูเป็คนเ้าชู้และน่าหลงใหล แต่ได้ยินมาว่าเขาไม่เคยนอนร่วมเตียงกับหญิงใดด้วยซ้ำ
หากเทียบกับความเสเพลขององค์ชายรัชทายาท การอยู่ในดินแดนห่างไกลขององค์ชายรอง ความธรรมดาเรียบง่ายขององค์ชายสี่ และความไม่สนใจด้านการปกครองขององค์ชายห้า องค์ชายสามผู้เป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในใจของหญิงสาวนับไม่ถ้วน
หลังจากความคิดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นในสมองของมู่หรงฉิง ส่งผลให้ฝีเท้าของนางชะงักลงเล็กน้อย "อย่าวิตกกังวล นางจะไม่เป็ไร วันนี้พวกเรามาดูการแสดงดีๆ ของคนอื่นกันเถอะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์กับเป้ยหนิงได้ทำในสิ่งที่มอบหมายให้ทำหรือไม่?"
“ทางด้านอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ได้ยินมาว่าอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทพูดคุยเื่การรักษาสุขภาพกับหมอเทวดาทั้งคืน แน่นอนว่าได้พูดถึงข้อดีและข้อเสียแล้ว” ครั้นเห็นสีหน้าวิตกกังวลของมู่หรงฉิงหายไป ปี้เอ๋อร์จึงเชื่อว่าที่นายหญิงบอกว่าไม่เป็ไรนั้นย่อมหมายความว่าไม่เป็ไรจริงๆ
"เอาล่ะ พวกเราไปพบอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทด้วย 'ความบังเอิญ' ก่อนเถอะ จากนั้นไปดูการแสดงดีๆ ที่คนอื่นเตรียมไว้ให้"
ประกายในดวงตาของมู่หรงฉิงทำให้ปี้เอ๋อร์พยักหน้า "อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทมาแต่เช้าแล้ว กำลังอยู่กับองค์ชายรัชทายาทในสวนด้านหลังของฮูหยินหลิง"
ก่อนจะได้พบกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท มู่หรงฉิงคิดว่าเขาคงจะเป็ชายชราหน้าตาเข้มงวด ทั้งดื้อดึงและไม่มีเหตุผล บางทีเขาอาจจะเป็ชายชราผู้น่ากลัวที่มีเคราสีขาวและใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาคล้ายกับท่านอาจารย์
แม้คำอธิบายข้างต้นจะผิดไปบ้าง แต่ในใจของนางกลับมีเพียงภาพเ่าั้
อย่างไรก็ดีหลังจากมู่หรงฉิงเห็นอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยหน้าตาที่สง่างาม และไม่มีร่องรอยแห่งกาลเวลามากนัก นางรู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ไม่ชัดเจนและอธิบายไม่ได้ในหัวใจ
คิ้วไม่หนาจนเกินไปแต่ดวงตามีความลึกสุขุมเปี่ยมด้วยความมั่นคง ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยทำให้มีเส้นบางๆ ที่มองเห็นไม่ชัดบนริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่า แม้เขาจะดูแลตัวเองอย่างดีแต่เนื่องจากการเม้มปากบ่อยๆ ร่องรอยมากมายจึงถูกเพิ่มที่มุมปากของเขา
ยามทอดมองจากระยะไกลจะเห็นมือจับหมากสีขาว เขาลดสายตาครุ่นคิดให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง อีกความรู้สึกคือความผันผวนของชีวิตแผ่ซ่านออกจากผู้ชายแปลกหน้าผู้สง่างามคนนั้น แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่หลายส่วน
นางแน่ใจว่าไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่ทำไมนางถึงรู้สึกคุ้นเคย เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนล่ะ?
คนทั้งสองหมกมุ่นอยู่กับการเล่นหมากรุก จนดูเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นการปรากฏตัวของนางในฐานะผู้ชม ต่างจากองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาสังเกตเห็นการมาถึงของพวกนางแล้ว แต่เนื่องจากไม่กล้ารบกวนทั้งสองคนที่กำลังเล่นหมากรุก พวกเขาจึงไม่ได้เปล่งเสียงไล่พวกนางออกไปแต่อย่างใด
องครักษ์ผู้นั้นเห็นมู่หรงฉิงกำลังจ้องมองกระดานหมากรุกด้วยท่าทางเหม่อลอย เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ให้ความสนใจทิศทางที่นางยืนอยู่มากขึ้น ถ้าเมื่อใดผิดปกติ เขาจะได้ลงมือจัดการทันทีและจะไม่ออมมือเด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าองครักษ์ไม่ได้ไล่พวกนางออกไป มู่หรงฉิงก็มีความสุข สายตาของนางหันไปมองผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท
ชายหนุ่มสวมชุดสีม่วง สวมมงกุฎทองคำ สีหน้าท่าทางเกียจคร้านแต่เขาจริงจังมาก เขาแค่ชำเลืองมองซึ่งทำให้ยากต่อการละสายตา
ไม่น่าแปลกใจที่องค์ชายรัชทายาทเป็ชายรูปงามอันดับหนึ่ง ครั้นมองดูใบหน้านั้นย่อมอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก ครู่ก่อนยังคิดว่าเขาเป็ดอกโบตั๋นที่สง่างามและสูงส่ง แต่ถ้าเปรียบองค์ชายรัชทายาทเป็ดอกโบตั๋นก็กล่าวได้ว่ายังอธิบายรูปลักษณ์ได้ไม่มากพอ
หากเอ่ยตามความเป็จริง ชายหนุ่มหน้าตาดีสามอันดับแรกคงประกอบด้วย คนแรกคือองค์ชายรัชทายาท หรืออีกนัยหนึ่งคือองค์ชายรัชทายาทกับองค์ชายรอง ใครทำให้พวกเขาหน้าตาคล้ายกันมากถึงเพียงนั้น จนไม่มีใครสามารถแยกแยะพวกเขาได้? คนที่สองย่อมเป็องค์ชายสาม ส่วนคนที่สามคือสามีของนาง เฉินเทียนหยู
-------------------------
[1] กวงลู่ซื่อชิง “กวงลู่ซื่อ” หมายถึง วัดกวงลู่ “ชิง” หมายถึงตำแหน่งที่มีมาั้แ่สมัยราชวงศ์ฮั่น เป็แผนกหนึ่งในวังหลวง ดูแลจัดงานการเซ่นไหว้ พระกระยาหารของฮ่องเต้ และงานเลี้ยง ซึ่งลำดับขั้นแบ่งเป็ ชิง เซ่าชิง เฉิงและจู่ป๋อ ตำแหน่งละคน