เมืองจูเซียน จูหงอีจากไปพร้อมกองทัพมาร ผู้นำตระกูลผู้ฝึกฌานในเมืองต่างมารวมตัวกัน
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?
เนี่ยเทียนป้าตายแล้ว?”
“หากมันตาย
แล้วเงินที่ติดพวกเราไว้ล่ะ?”
.........
.........
......
.....
...
...
ในกลุ่มคนที่กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก
จางเจิ้งเต้าพลันร่วงหล่นลงมาจากฟ้า
ฝูงชนยังไม่ทันได้ขยับ
ก็เห็นจางเจิ้งเต้าพลันวิ่งไปยังกองเศษอิฐเศษหิน ขุดพลิกขึ้นมาตลบใหญ่
“นั่นมันเซียนดวงธาตุทองคำนี่?
ทำไมถึงกลับมาแล้ว?” มีคนจำได้ขึ้นมา
สาเหตุที่จางเจิ้งเต้าหวนกลับมา
เนื่องเพราะสายตาอันเฉียบคมของมันดันมองเห็นกำไลมิติลงหนึ่งร่วงหล่นลงจากกระเป๋ากางเกงของหวังเค่อก่อนจะกลิ้งเข้าไปยังซอกหลืบเข้าพอดี
“หวังเค่อเ้าไก่ขนเหล็ก
ในที่สุดก็มีวันที่เ้าเสียเงิน ฮ่าฮ่าฮ่า” จางเจิ้งเต้าเก็บกำไลขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
ก่อนจะสำรวจอย่างรวดเร็ว
ทว่า
จางเจิ้งเต้าสีหน้าหม่นทะมึนทันควัน เนื่องเพราะภายในกำไลมีแต่ความว่างเปล่า
ไหนเลยจะมีสิ่งของแม้แต่น้อย?
“ทำไมไม่มีอะไรเลย?” จางเจิ้งเต้าบื้อใบ้
ตอนนี้เอง
เฒ่าแก่เรือนน้ำชากงอี้ก็เดินเข้ามา “ท่านเซียน
ท่านประมุขวานให้ข้ามาบอกกล่าวท่านประโยคหนึ่ง!
ดังนั้นจงใจทิ้งกำไลมิติเอาไว้ที่นี่!”
“ห๊ะ?” จางเจิ้งเต้ามองทางเฒ่าแก่เรือนน้ำชาตาตื่น
ทันใดนั้นมันก็เข้าใจปรุโปร่ง
หวังเค่อมีหรือจงใจทอดทิ้งเงินทอง มันเดาออกว่าข้ากำลังลอบแอบมองมันอยู่ต่างหาก? มันเดาว่าข้าจะต้องมา
ดังนั้นไหว้วานเฒ่าแก่เรือนน้ำชากงอี้เป็คนนำโลงศพมาเพื่อแอบส่งข้อความให้ตนเอง
“ไอ้ไก่ขนเหล็ก!”
จางเจิ้งเต้ากลอกตาตลบหนึ่ง
“ท่านประมุขกล่าวว่าให้ท่านรีบเดินทางไปยังพรรคอีกาทองคำทันที
ขอร้องจางหลี่เอ๋อร์ให้ไปยังวังหลวงชิงจิงโดยด่วน ทั้งหมดมีเท่านี้!”
เถ้าแก่เรือนน้ำชาลอบกระซิบ จากนั้นถอยไปทางด้านข้าง
จางเจิ้งเต้าหน้าแข็งค้าง
ให้มันไปพรรคอีกาทองคำเพื่อขอความช่วยเหลือ? ครั้งก่อนล่วงเกินผู้อื่นไว้อย่างสาหัส
ยังจะกล้าบากหน้าไปได้หรือ?
วันที่สอง จูหงอีกลับมายังวังชิงจิงพร้อมกองทัพมารนับพัน
ค้างคาวนับไม่ถ้วนผสมกลบกลืนเป็กลุ่มเมฆดำ
ประชาชนในเมืองต่างมองกันด้วยความหวาดผวา
หวังเค่อคุมตัวองค์หญิง
ทันทีที่มาถึงชิงจิง มันก็สวมสร้อยลูกปัดคำนึงบนข้อมือขององค์หญิงโยวเยว่ทันที
“รอข้า!”
หวังเค่อกระซิบใส่ใบหูองค์หญิงโยวเยว่
ตอนนี้คิดช่วยเหลืออย่างดื้อด้านไปก็เปล่าประโยชน์
หวังเค่อต้องคิดหาทางอื่น องค์หญิงโยวเยว่แม้ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
หากยังคงผงกศีรษะรับ
“ท่านเ้าตำหนัก
ตลอดรายทางมาที่นี่
ทุกคนล้วนกล่าวว่างานชุมนุมมารปรโลกวันนี้จะจัดขึ้นภายในวังตอนค่ำ?” หวังเค่อถามจูหงอี
จูหงอีหัวมามองหวังเค่อด้วยความสงสัย
ไม่เข้าใจว่าเ้าเด็กนี่้าอะไร
“องค์หญิงโยวเยว่ถูกพามาถึงชิงจิงแล้ว
ข้าเองก็ไม่ต้องคอยคุมตัวนางอีกต่อไป ขอข้าไปจัดการเื่พิธีศพของพวกพี่ใหญ่
รวมทั้งบรรดาเงินชดเชยทั้งหลายที่ท่านเ้าตำหนักให้ไว้ก่อนได้หรือไม่? ข้าสัญญา ข้าจะกลับมาให้ทันคืนนี้” หวังเค่อตั้งความหวัง
“ท่านเ้าตำหนัก
ไอ้เด็กนี่มันคิดหนี” มารตนหนึ่งทำสายตาไม่ยอมรับ
อย่างไรเสียบนตัวหวังเค่อตอนนี้ก็เต็มไปด้วยทรัพย์สินมหาศาล
“หนีอะไรของเ้า? มันจะไปจัดแจงเื่หลังของผู้ตาย! เ้าเพ้อเจ้ออะไร?” จูหงอีจ้องเขม็ง
“ขอรับ!”
มารร้ายตนนั้นก้มศีรษะต่ำ สีหน้าดำทะมึน
“ไป กลับมาเร็วๆ ล่ะ!”
จูหงอีเอ่ยเสียงหนัก
“ขอรับ
ขอบพระคุณท่านเ้าตำหนัก!” หวังเค่อคารวะ
ชายหนุ่มวางองค์หญิงโยวเยว่ลง
จากนั้นะโลงจากเมฆดำ ปะปนเข้าสู่ถนนหนทางเมืองชิงจิง
บรรดาศิษย์อีกาทองคำบนก้อนเมฆเองก็ล้วนใบหน้าแข็งทื่อ
“ศิษย์พี่ เอาไงดี? หวังเค่อมันหอบเอาเงินพวกเราหนีไปแล้ว?” ศิษย์อีกาทองคำเอ่ยอย่างแตกตื่น
พวกมันยึดกุมความหวังน้อยนิดว่าหวังเค่อจะช่วยเหลือ
ทั้งยังกุมความลับของหวังเค่อไว้ ดังนั้นไม่เกรงหวังเค่อหักหลัง
แต่ตอนนี้หวังเค่อเผ่นแน่บไปแล้ว แล้วความลับที่กุมไว้ยังจะใช้ผายลมอะไรได้?
เปิดโปง? เปิดโปงที่มาของหวังเค่อแล้วตาย
ให้ตายทั้งปลาพังทั้งแห? แต่
ถ้าเกิดหวังเค่อนั่นทำตามสัญญาไปตามคนจากพรรคอีกาทองคำมาช่วยจริง? แต่ให้เบิ่งตาดูหมอนั่นจากไปเฉยๆ ตอนนี้ ยากจะยินยอมพร้อมใจได้
พวกเรามาจัดการหวังเค่อ
ไม่ใช่ให้มันมารูดทรัพย์มหาศาลแล้วเผ่นหนีไปแบบนี้? ทำไม?
“ได้แต่ต้องเชื่อในตัวมันแล้ว!”
จางเสินซวีกัดฟันด้วยใบหน้าหม่นหมอง
“เ้าหมอนั่นยังจะมีตัวอะไรให้เชื่ออีก?”
ศิษย์อีกาทองคำทั้งหลายั์ตาว่างเปล่า
จางเสินซวี “…!”
------
หวังเค่อหนีไปแล้ว ง่ายดายปานนั้น?
หากมิใช่ว่าเกรงจูหงอีคาดโทษ
เมื่อครู่มันคงกางเล็บคร่ากุมหวังเค่อไว้กลางถนนแล้ว
ดังนั้นตอนนี้ได้แต่ต้องลอบตามหลังไปเงียบๆ
ตาม ตาม ตาม ไม่นาน
ก็ตามมาถึงซอยตันแห่งหนึ่ง
“คนเล่า?” มารที่สะกดรอยเอ่ยปาก
“ไม่ ข้าไม่รู้
เห็นมันเลี้ยวเข้าซอยเมื่อกี้ มันหายไปไหนแล้ว?”
“บัดซบ
รู้มั้ยว่าไอ้เด็กนั่นถือเงินไว้เท่าไหร่? ไปหามา หาให้เจอ
พวกเราจะไม่ต้องกังวลเื่วัตถุดิบฝึกปรืออีกต่อไป!”
“ขอรับ!”
ก๊วนมารที่ตามสะกดรอยหวังเค่อกระจายตัวทั่วไปนครในลักษณะนี้
......
.........
ส่วนหวังเค่อเล่า
มันเดินผ่านอุโมงค์ลับ เคลื่อนย้ายสถานที่มาถึงจวนแม่ทัพแล้ว
“ท่านประมุข
ไฉนถึงกลับมาเร็วนัก?” ลูกผู้พี่ของท่านแม่ทัพมาต้อนรับชายหนุ่มอย่างเหนือความคาดหมาย
“ส่งข่าวออกไป
ประชุมตระกูลภายในครึ่งวัน! สมาชิกตระกูลภายในเมืองชิงจิงให้มารวมกันทั้งหมด!
แล้วก็ส่งนกพิราบไปทุกที่ในอาณาเขตราชวงศ์ต้าชิง
ให้รีบรวบรวมทรัพยากรธัญญาหารทั้งหมด เข้าสู่สภาวะพร้อมรบระดับหนึ่ง!”
หวังเค่อสั่งเสียงขรึม
“ขอรับ!”
ลูกผู้พี่ของท่านแม่ทัพขานรับเสียงหนักแน่น
พร้อมรบระดับหนึ่ง? ตระกูลหวังไม่มีการเตรียมเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว!
นี่คือการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่? หรือว่าจะมีา?
ครึ่งวันผ่านไปราวประกายแสง! ณ
ห้องโถงใหญ่จวนแม่ทัพ
โต๊ะยาวตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องเต็มไปด้วยกลุ่มคนร่วมยี่สิบคนนั่งไว้
ทั้งบุรุษสตรีในรูปโฉมต่างๆ หากทั้งหมดล้วนมองไปยังหวังเค่อที่สุดปลายโต๊ะด้วยสายตาเคารพเทิดทูน
หวังเค่อหันหลังให้ทุกผู้คน
สายตาทอดมองยังแผนที่ของอาณาจักรต้าชิง
“ทุกท่าน
ข้าเป็ประมุขของตระกูลมานานปี แม้ข้าจะใช้วิธีการอันรุนแรงในตอนแรกก่อตั้ง
แต่หลายปีที่ผ่าน ยังถือว่าข้าคู่ควรอยู่หรือไม่?” หวังเค่อเอ่ยถาม
แผ่นหลังประจันกับทุกผู้คน
“ท่านประมุข ท่านพูดอะไร?
ก่อนที่ท่านจะปกครองตระกูลหวัง
พวกเราล้วนเพียงเป็กองทรายกระจัดกระจาย เป็เพียงโจรกระจอกปล้นสุสาน!
หากมิใช่เพราะท่าน ตระกูลหวังมีหรือจะเติบโตรวดเร็วถึงเพียงนี้!” พี่ใหญ่เอ่ย
หวังเค่อขมวดคิ้ว
หวนนึกถึงภาพตอนที่ตนเองเพิ่งมาถึงโลกใบนี้ ครานั้นกระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสุญของมันพาตนเองโบยบินข้ามห้วงอวกาศดาราจักรมาถึงที่แห่งนี้
ไม่ทราบเพราะเหตุใด การเดินทางกลับทำให้เกิดการย้อนเวลา ตนเองคล้ายเดินทางย้อนวัย
ยามเมื่อลงถึงพื้นดิน กลับกลายเป็ทารกอายุสองสามขวบผู้หนึ่ง
หากมิใช่ว่าได้บิดามารดาอุปการะมันไว้คงได้กลายเป็อาหารสุนัขป่าไปแล้ว
และเพราะเหตุนี้
หวังเค่อจึงผูกพันแน่นแฟ้นกับตระกูลของบิดามารดาเลี้ยงของมันยิ่ง
“ท่านพ่อท่านแม่อุปการะข้าเมื่อครั้งนั้น
ให้ข้าได้ััรักแท้ของบุพการี แม้ตระกูลหวังจะโกลาหลวุ่นวาย
หากก็ยังเป็มิตรต่อข้านัก ให้ข้าได้ใช้ชีวิตวัยเด็กอันอบอุ่น
เมื่อครั้งที่ท่านพ่อท่านแม่ไปขุดสุสานครั้งสุดท้ายเมื่อปีนั้น
ให้ข้ารั้งอยู่ในตระกูลเพื่อสร้างความผูกพันน้ำใจแก่พวกเ้า เฮ้อ
และเพราะอุบัติเหตุระหว่างขุดเจาะ ท่านพ่อท่านแม่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับมา!
ต้องขอบคุณลุงป้าน้าอาทั้งหลายที่ไม่มีโอกาสได้มานั่งตรงนี้ที่ช่วยดูแลข้า
ช่วยเหลือบิดามารดาข้าในการสะสางเื่หลัง! ตอนนั้นข้าเองก็คิดไว้ว่า
วิถีดำรงชีพเช่นนั้นของตระกูลหวังไม่อาจสืบต่อยาวนานได้
ดังนั้นใช้ทั้งเหล็กกล้าและโลหิตรวบรวมตระกูลหวังเข้าด้วยกัน!
เข้ายึดครองตระกูลสาขาอื่นด้วยกำลัง
ใช้ทุกวิถีทางชักนำทุกท่านเข้าสู่หนทางเที่ยงธรรม!” หวังเค่อสูดลมหายใจ
“ก่อนหน้านั้นข้าเองไม่เชื่อถือท่านประมุข
ทั้งยังประมือกับท่านหลายครั้ง มาถึงตอนนี้ล้วนเป็เื่น่าขัน!”
พี่ใหญ่หัวเราะใส่ตัวเอง
“ตระกูลหวังตอนนี้มิใช่ตระกูลหวังเมื่อกาลก่อน
พวกเ้าล้วนมีชีวิตและแนวทางของตนเอง ข้าเองก็เข้าร่วมสำนักเซียน!!
ข้าให้โอกาสพวกเ้าเลือก! พวกเ้าสามารถวางมือจากตระกูลหวังั้แ่ตอนนี้
และใช้ชีวิตสงบสุขสำราญไปจนชั่วลูกชั่วหลาน! อีกทางหนึ่ง
คือร่วมก้าวทะยานไปกับข้าอีกก้าว ข้ามสู่โลกแห่งการฝึกเซียน แต่นี่อันตรายยิ่ง!
วิถีแห่งผู้บำเพ็ญเซียนมิได้เรียบสงบเช่นที่พวกเ้าจินตนาการ
หากแต่เต็มไปด้วยาระหว่างธรรมะและอธรรม โลหิตพร่างพรมดุจห่าฝน ไม่อยู่ก็ตาย!
หนึ่งคือวางมือและอยู่อย่างสงบ อีกหนึ่งคือเสี่ยงชีวิตก้าวสู่โลกแห่งะชน
นับแต่วันนี้ไป ไม่อาจถอนตัว ไม่อาจหยุดยั้ง” หวังเต่อพลันหันหน้ามาสบตาทุกผู้คน
“ท่านประมุข
พวกเราเชื่อในตัวท่าน ขอติดตามท่าน!” กลุ่มคนทั้งหมดลั่นวาจา
“เชื่อข้า?” หวังเค่อมองดูหน้าของแต่ละคน
หวังเค่อไม่ทราบว่าการกระทำของมันที่ผ่านมานานหลายปีได้สร้างความเชื่อมั่นงมงายราวกับคนตาบอดแก่พวกมันไปแล้ว
“พวกเ้าก็รู้ ข้ากำหนดกฎเกณฑ์ของตระกูลไว้มากมาย!”
หวังเค่อเอ่ยเสียงหนัก
“ท่านประมุขโปรดวางใจ
หากมีใครกล้าแหกกฎของท่าน ข้าจะหักขามันทิ้งซะ! หากใครกล้าทลายตรวน!
ทั้งตระกูลของพวกเราจะไม่ให้มันได้อยู่ดีมีสุข! หากใครกล้าทรยศหักหลัง
พวกเราจะจัดการ!” ผู้เฒ่าท่านหนึ่งลั่นวาจา
“ท่านตาสาม
ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้!” หวังเค่อยิ้ม
“ไม่ ไม่มีท่านตาสามที่ไหน
มีเพียงท่าน ท่านประมุข! ประมุขไม่จำเป็ต้องแสดงความอ่อนน้อมต่อข้า! เราผู้เฒ่าสำนึกตนตลอดมา
ตระกูลหวังเคยเป็เพียงฝูงมุสิกที่ผู้คนเหยียดหยาม ยามนี้มีท่านประมุข
พวกเราสามารถครองโลก ฟ้าดินนี้ ใครกล้าไม่เคารพท่าน
เราผู้เฒ่าแม้ต้องตายก็จะกำจัดมันให้ได้!” ท่านตาสามลั่นวาจาอย่างดุดัน
“พวกเรานับถือเพียงท่านประมุข!
พวกเราขอติดตามท่าน ! ใครกล้าไม่คารวะท่าน ทั้งตระกูลจะจัดการมัน!”
ทั้งหมดลั่นวาจาเป็เสียงเดียว
“ดี หากเป็เช่นนั้น
ข้าก็จะไม่พูดมากอีก! ท่านตาสาม ท่านรับผิดชอบก่อตั้งหอผู้คุมกฎของตระกูล!
ต่อจากนี้ไปพวกเราจะยิ่งทวีความเสี่ยง ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ได้
หากมีใครไม่ฟังคำสั่ง อาจนำพาหายนะมาสู่ทั้งตระกูลเรา
ก่อนหน้านี้มีแต่พึ่งพาสำนึกของแต่ละคน แต่จากนี้ไป ต้องมีการพิพากษา!”
หวังเค่อเอ่ยเคร่งขรึม
“ขอรับ! ท่านประมุข! ”
ผู้เฒ่ารับปากอย่างนอบน้อม
“อีกประเดี๋ยวจงกระจายวาจาเมื่อครู่ของข้าแก่ทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้
ให้พวกมันเลือก! ท่านตาสาม ท่านรับผิดชอบเื่นี้!” หวังเค่อสั่งท่านตาสาม
“ขอรับ!” ท่านตาสามรับคำ
“ท่านประมุข
หรือว่ากำลังจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่เกิดขึ้น?” พี่ใหญ่ถามด้วยความสงสัย
หวังเค่อผงกศีรษะ
“ตระกูลจูทำลายล้างตนเอง ราชวงศ์ต้าชิงสิ้นสุดแล้ว!”
“หา?” ทุกผู้คนแตกตื่น
หลังความตื่นตระหนก
สายตาทุกคนกลายเป็สาดประกายตื่นเต้น
“ท่านประมุข? ท่าน ท่านจะครองแผ่นดิน? ท่านจะสร้างแผ่นดินตระกูลหวัง?”
พี่ใหญ่ถาม
ทุกผู้คนกลืนน้ำลาย
มองดูหวังเค่อด้วยสายตาคาดหวัง
หวังเค่อสั่นศีรษะ “สร้างแผ่นดิน? เปล่า
ข้าไม่สร้างแผ่นดินเพื่อตัวเอง! ข้าจะคัดสรรศิษย์ตระกูลหวังเรา
ให้พวกมันขึ้นครองแผ่นดิน!”
“ศิษย์ตระกูลหวัง? ราชวงศ์? ตั้งกลุ่ม?” ทุกคนเอ่ยอย่างเหนือคาดหมาย
“ใช่
โลกมนุษย์เป็สถานที่อันประเสริฐ ไฉนสำนักเซียนจึงเลือกศิษย์จากโลกมนุษย์? เนื่องเพราะมนุษย์ให้กำเนิดอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะตลอดมา แล้วทำไมต้องปล่อยให้อัจฉริยะเหล่านี้เข้าสู่สำนักเซียน?
ทำไมราชวงศ์ของข้าจะมีบ้างไม่ได้? ก่อร่างตั้งประเทศ
รวบรวมยอดคนจากทั่วทุกสารทิศ เมื่อนั้นเราจึงสามารถกระทำการใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆ
โลกมนุษย์คือสถานที่บ่มเพาะยอดคนของพวกเรา ในอดีต พวกเรากระทำการอย่างลับๆ แต่ต่อจากนี้
พวกเราจะทำมันอย่างเปิดเผย!” หวังเค่ออธิบาย
“ขอรับ!”
“สถานที่บ่มเพาะยอดคนนี้
แห่งเดียว? ไม่เลย พวกเราจะสร้างออกมามากมาย! าาคนแรก
ให้พี่ใหญ่เป็คนรับผิดชอบ!” หวังเค่อมอบหมาย
“ข้ารึ?” พี่ใหญ่สีหน้าตกตะลึง
“ใช่
เ้าคือแม่ทัพใหญ่ของต้าชิง มีทั้งยศศักดิ์และความสามารถ!
ทันทีที่ราชวงศ์เกิดความวุ่นวาย
เ้าสามารถเรียกระดมสรรพกำลังและการสนับสนุนจากตระกูลหวังเรา
หากไม่มีสำนักเซียนใดเข้าแทรกแซง เ้าต้องได้เป็แน่นอน
ส่วนการสนับสนุนจากสำนักเซียน ตอนนี้ก็คือข้า!” หวังเค่อเอ่ยเสียงขรึม
“ข้าจะทำได้หรือ?” พี่ใหญ่วิตก
มันมีความทะยานอยากและความสามารถอันโดดเด่น
แต่มันไม่มั่นใจในการเป็จักพรรดิ
“พี่ใหญ่
เ้ายังขาดบางสิ่งอยู่ ขาดความกล้าหาญเช่นชนชั้นจักรพรรดิพึงมี
ความกล้าที่จะปกครองสรรพสิ่ง!” หวังเค่อส่ายหน้า
“งั้นข้าควรทำยังไง?” พี่ใหญ่ถาม
“ไม่มีวิธี
เื่บางเื่ต้องอาศัยพร์แต่กำเนิด วิธีเดียวที่ทำได้
ก็คือสะกดจิตตัวเอง!” หวังเค่อแนะ
“เอ๋? สะกดจิตตัวเอง?
ทำยังไง?” พี่ใหญ่งงเป็ไก่ตาแตก
“ข้าจะบอกเคล็ดให้
เ้าทุกวันท่องใส่ตัวเองหนึ่งร้อยเที่ยว ทำไปเรื่อยๆ ยังไงก็ต้องได้ผลแน่!
ต่อให้เพิ่มไอคิวไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มความกล้าได้!
ไม่ใช่แค่โดนคนด่าก็อ่อนปวกเปียกอย่างนี้!” หวังเค่ออธิบาย
“ท่องว่าอะไร?” ทุกคนถามเป็เสียงเดียว
“ข้ายอมผิดต่อคนทั้งโลก
ไม่ยินยอมให้คนทั้งโลกผิดต่อข้า!”
“ฟ้าใหญ่ดินใหญ่ข้าใหญ่กว่า!”
“ชีวิตข้าฟ้าไม่อาจบงการ!”
“เฮ้อ เอาเถอะ สามประโยคนี้แหละ ท่องวันละร้อยจบ!” หวังเค่อสั่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้