“อยู่” นางจางเดินออกมาจากห้องนอน
ผู้มาเยือนรอจนกระทั่งหลี่ซานปรากฏตัว จากนั้นก็ยิ้มจนตาหยีกล่าวเข้าประเด็นทันที “ข้าคือหลิวซานจากเมืองเยี่ยน ได้ยินว่าท่านขายเต้าหู้ ข้าอยากซื้อเต้าหู้จากท่าน”
หลี่ซานยินดียิ่งนัก รีบตอบไปว่า “ที่แท้ก็เป็เถ้าแก่หลิวนี่เอง รีบเข้ามานั่งก่อนเถิด”
หลิวซานกล่าวว่า “ข้าจะซื้อเต้าหู้จากพวกท่านหนึ่งหมื่นชั่ง”
หลี่ซานกล่าวอย่างเนิบช้า “ครอบครัวเราไม่มีเต้าหู้มากเพียงนั้น” เฮ้อ... หากรู้ก่อนว่าเดือนสิบสองจะค้าขายดีเพียงนี้ คงยอมให้หลี่หรูอี้ไปซื้อบ่าวไพร่มาเพิ่มแล้ว
หลิวซานคิดในใจอย่างหดหู่ว่า มีที่ไหนกัน เงินทองมาหาถึงประตูแต่กลับผลักไส?
หลี่หรูอี้พูดขึ้นว่า “กิจการของครอบครัวเราเป็กิจการขนาดเล็ก ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันพวกเราทำเต้าหู้มากขนาดนั้นไม่ได้หรอกเ้าค่ะ”
ในเวลาเพียงครู่เดียวบ้านหลี่ก็ขายเต้าหู้ได้อีกสี่พันชั่ง เต้าหู้แห้งอีกห้าร้อยชั่ง
คนของหลิวซานมารับสินค้าที่บ้านหลี่ได้ในอีกสามวัน จากนั้นก็ไปขายสินค้าที่เมืองเยี่ยนและอำเภอที่อยู่ทางใต้
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “ตอนนี้ห้องทำเต้าหู้ยุ่งมาก ท่านอารอง ท่านไปช่วยที่ห้องทำเต้าหู้เถิด เื่อาหารในบ้านข้าจะเป็คนทำเอง”
หลี่สือย่อมตอบรับเต็มปากเต็มคำ
ครอบครัวหลี่มีคนสิบกว่าคน หนึ่งวันกินอาหารสามมื้อ อาหารที่ต้องทำย่อมมีไม่น้อยเลยทีเดียว
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่กลัวว่าหลี่หรูอี้จะเหนื่อยเกินไป จึงผลัดกันมาช่วยเหลือในห้องครัว
จ้าวซื่อก็อยากช่วย ทว่าหากให้นางจางดูแลเด็กทารกสองคนเองก็คงยุ่งจนทนไม่ไหว จ้าวซื่อจึงต้องเข้าไปช่วย อีกทั้งยังต้องให้นมลูกและคอยต้อนรับญาติมิตรที่มาเยี่ยมบ้านหลี่อีก นางจึงไม่มีเวลาว่างเช่นกัน
หลี่หรูอี้ทำซี่โครงหมูตุ๋นและผัดถั่วงอกเป็อาหารกลางวัน จานหลักเป็หมั่นโถวที่ทำจากแป้งถั่วเขียว
ซี่โครงหมูตุ๋นจะใช้ซี่โครงหมูติดเนื้อไปตุ๋นหนึ่งชั่วยาม ให้สารอาหารในกระดูกค่อยๆ ออกมา จะทำให้น้ำแกงมีรสชาติอร่อย
ส่วนผัดถั่วงอก เมื่อได้กินในฤดูนี้จะให้รสชาติที่ดีทำให้รู้สึกเย็นสบายและไม่เลี่ยน ทางด้านนอกมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถกินถั่วงอกได้ แต่ที่บ้านหลี่อยากกินเท่าใดก็กินได้มากเท่านั้น
หมั่นโถวจากแป้งถั่วเขียวจะใช้แป้งขาวนวดผสมกับแป้งถั่วเขียวเล็กน้อย เมื่อนึ่งออกมาจะมีสีเขียวจางๆ ถั่วเขียวมีฤทธิ์ช่วยล้างพิษ เมื่อกินในฤดูหนาวจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบจากอากาศเย็น
หลี่หรูอี้ทำอาหารสำหรับคนสิบกว่าคน โดยมีพี่ชายคอยช่วยเหลือ จึงทำได้อย่างสบายๆ
ระยะนี้พ่อแม่ลูกอู่อวี๋เหนียนได้นอนเพียงวันละสามชั่วยาม พวกเขาทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อยเกินไป หลี่หรูอี้จึงให้รางวัลพวกเขาด้วยการให้ครอบครัวอู่กินอาหารเช่นเดียวกับครอบครัวหลี่
เมื่อกินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ก็มีบางคนที่ต้องนอนกลางวัน แม้ได้งีบหลับเพียงชั่วครู่ก็ยังดี
ครอบครัวหลี่มองครอบครัวอู่เป็เพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกัน เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่ และการเดินทางของครอบครัวอู่ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ทั้งยังได้เรียนตัวอักษรด้วย ครอบครัวอู่พึงพอใจกับชีวิตในปัจจุบันเป็อย่างยิ่ง
พ่อลูกตระกูลอู่นอนกลางวันไปเพียงครู่เดียว ก็ลุกขึ้นมาทำงานที่ห้องทำเต้าหู้ บ้านเ้านายค้าขายดี หาเงินได้มาก ตระกูลรุ่งเรือง ครอบครัวอู่ก็จะรุ่งเรืองตามไปด้วย ชีวิตก็จะมั่นคง
นายบ่าวรวมใจเป็หนึ่ง ทำงานอย่างสมัครสมานสามัคคี เมื่อทำงานกันด้วยบรรยากาศเช่นนี้จึงไม่เกิดความวุ่นวาย
ในขณะที่ทำงานจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว ไม่ทันไรก็จะผ่านไปหนึ่งวันแล้ว
ใกล้ถึงเวลาพลบค่ำ สวี่เจิ้งและพี่น้องเอ้อร์โก่วจื่อก็กลับมาจากเมืองเยี่ยนแล้ว แต่ละคนมีสีหน้าเบิกบาน ยิ้มไปทั้งใบหน้า
“คนเมืองเยี่ยนมีเงินมากจริงๆ เห็นพวกเราขายเต้าหู้ก็มีคนขอซื้อสิบกว่าชั่งโดยไม่ถามราคาด้วยซ้ำ”
“หากมีเต้าหู้หลายพันชั่งก็คงขายหมด วันนี้พวกเรานำเต้าหู้ไปขายน้อยเกินไป”
“สนับเข่าก็ขายหมด มีคนสั่งจองกับพวกเราด้วย”
“หากมีร้านค้าอยู่ที่เมืองเยี่ยนก็คงดี จะได้ขายเต้าหู้ทุกวัน”
“เมืองเยี่ยนมีคนมากจริงๆ มากกว่าที่อำเภอฉางผิงหลายเท่า ทั้งยังมีขุนนางและทหารอยู่มากด้วย”
สองพ่อลูกสวี่เจิ้งมาแจ้งเื่น่ายินดีนี้ถึงบ้านหลี่
สวี่เจิ้งกล่าวเป็นัยว่า พรุ่งนี้้าให้บ้านหลี่ขายเต้าหู้เพิ่มให้พวกเขาอีก
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่งว่า “พรุ่งนี้จะขายให้พวกท่านเพิ่มอีกสองร้อยชั่ง มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เกวียนล่อของพวกท่านขนไม่ไหวแน่”
ซื่อโก่วจื่อกำลังถูมือทั้งสองของตนที่ถูกความเย็นจากด้านนอกกัดจนแดง เขามองสวี่เจิ้งแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ หากครอบครัวเรามีล่อสองตัวก็คงดี”
อู่โก่วจื่อกล่าวว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปซื้อล่อที่อำเภอดีหรือไม่”
เอ้อร์โก่วจื่ออิจฉาที่บ้านหลี่มีลามาโดยตลอด จึงกล่าวไปว่า “ท่านพ่อ คราวนี้ไม่ซื้อล่อแล้ว ซื้อลาเถิด ลายังให้กำเนิดลูกหลานได้”
“ซื้อลาก็ซื้อลา” สวี่เจิ้งหาเงินได้วันละหลายตำลึงแล้ว ดังนั้นคำพูดคำจาจึงแฝงไปด้วยความมั่นใจ
หลี่ซานอดถามไม่ได้ว่า “เ้าไม่อยากซื้อที่ดินหรือ”
“ข้ากับเอ้อร์โก่วจื่อต้องไปขายเต้าหู้ทั้งวัน ไม่มีเวลาไปทำการเกษตรในที่ดินมากเพียงนั้นหรอก เอาเช่นนี้ไปก่อนเถิด” สวี่เจิ้งไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับที่ดินขนาดนั้น เมื่อปีนั้นตอนที่หนีภัยโรคระบาดมา ที่นาของบ้านเกิดขนาดกว้างไกลสุดลูกหูลูกตายังกลายเป็พื้นที่รกร้างไปทั้งหมด และหากในมือไม่มีเงินจะซื้ออะไรก็ไม่ได้
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “ครอบครัวลุงสวี่มีที่ดินสิบกว่าไร่ก็พอแล้วเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อพูดขึ้นว่า “ซานโก่วจื่อของพวกเ้าควรกลับบ้านได้แล้วกระมัง”
สวี่เจิ้งตอบรับไปว่า “สมควรกลับได้แล้ว” เขามีลูกมากเกินไป หลายวันมานี้ก็ยุ่งมากจึงลืมเื่บุตรีคนโตไปเสียสิ้น
อู่โก่วจื่อรีบถือโอกาสนี้ถามขึ้นทันที “ท่านพ่อ พรุ่งนี้ให้ข้าไปรับท่านพี่กลับบ้านดีหรือไม่เ้าคะ”
สวี่เจิ้งตอบว่า “เ้ายังต้องทำการค้าขายอีก อย่าไปเลย เอ้อร์โก่วจื่อ พรุ่งนี้เ้าก็ไปรับซานโก่วจื่อกลับบ้านเถิด”
อู่โก่วจื่อกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านรับปากพวกเราพี่น้องแล้วว่า ปีหน้าพี่สาวข้าไม่ต้องไปเป็บ่าวไพร่แล้ว ท่านอย่าได้ผิดคำพูดเล่า”
สวี่เจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน “ลูกคนนี้นี่ คำที่ข้าเคยพูดไปแล้วย่อมต้องทำตามแน่นอน”
จ้าวซื่อกล่าวขึ้นว่า “ซานโก่วจื่อกลับมาแล้วก็ช่วยพี่เฟิงทำงานบ้านและดูแลน้องๆ ได้ ทั้งยังช่วยอู่โก่วจื่อขายของได้อีกด้วย”
“ใช่แล้ว” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สวี่เจิ้งก็รู้สึกคิดถึงบุตรีคนโตขึ้นมาบ้างแล้ว แต่คิดไปคิดมาก็ลืมไปแล้วว่า บุตรีคนโตมีรูปโฉมหน้าตาเช่นไร จำได้เพียงว่านางมีนิสัยอ่อนโยนและเป็เด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ เฮ้อ... ก่อนหน้านี้ที่บ้านยากจนเกินไป อีกทั้งยังมีลูกมากมาย เพียงบุตรชายก็ดูแลไม่ไหวแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาไปดูแลบุตรสาว
หลังจากครอบครัวสวี่กลับไปแล้ว จ้าวซื่อก็พูดขึ้นว่า “หรูอี้ พวกเราขายเต้าหู้ให้พ่อค้าจากเมืองเยี่ยนไปแล้ว บ้านสวี่ก็จะไปขายเต้าหู้ที่เมืองเยี่ยนด้วย จะขายได้หรือไม่”
หลี่หรูอี้อธิบายว่า “ท่านแม่ เมืองเยี่ยนมีคนเกือบแสน รอบๆ ก็มีอำเภอและตำบลอีกมากมาย ที่นั่นมีความ้าซื้อเต้าหู้สูงมาก ครอบครัวเราขายเต้าหู้ให้หลิวซานและบ้านสวี่รวมกันแล้วยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นชั่งด้วยซ้ำ ยังไม่พอขายเลยเ้าค่ะ ท่านวางใจเถิด เต้าหู้ของบ้านสวี่จะต้องขายได้แน่นอน”
เดิมทีหลี่หรูอี้ยังคิดจะผลักดันสินค้าจากถั่วเหลืองชนิดใหม่ เพียงแต่เมื่อมองดูแล้ว ความ้าสินค้าสูงเกินไป ห้องทำเต้าหู้ก็ยุ่งจนทำแทบไม่ไหว จึงได้แต่เก็บความคิดนี้กลับไป
ตอนนี้บ้านหลี่เพียงทำสินค้าตามที่ลูกค้าสั่งจองให้เสร็จโดยไม่ผิดสัญญาก็พอแล้ว
แม้ว่าครอบครัวจะยุ่งเพียงนี้ แต่ก็ไม่อาจเบียดเบียนเวลาเรียนหนังสือของเด็กชายทั้งสี่ของบ้านได้ จ้าวซื่อและหลี่หรูอี้บอกให้พวกเขาไปขอความรู้จากเจียงชิงอวิ๋นที่จวนเจียงให้มากสักหน่อย
วันนี้เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่มาที่จวนเจียง นำสนับเข่าที่จ้าวซื่อทำเองกับมือมาให้สองคู่ รวมไปถึงอาหารชนิดใหม่ที่หลี่หรูอี้เจียดเวลามาทำให้ด้วย
สนับเข่าทำจากผ้าไหมสีดำ ้าปักลายไผ่และสน ดูมีความสง่างาม ส่วนอาหารชนิดใหม่คือ เค้กข้าวผัด กลิ่นหอมนุ่มน่าอร่อย กินได้ทุกเพศทุกวัย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจียงชิงอวิ๋นได้รับของขวัญจากบ้านหลี่ แม้อาจไม่ใช่สิ่งที่มีค่ามีราคา แต่เป็ความแปลกใหม่และความจริงใจ ทำให้เขาได้ััถึงความอบอุ่น คราวนี้ถึงกับสวมสนับเข่าต่อหน้าเด็กชายทั้งสี่จากนั้นก็กินเค้กข้าวผัดลงไป ขยับยิ้มที่มุมปากแล้วพูดว่า “ขอบคุณ”
ลุงฝูเห็นเจียงชิงอวิ๋นยิ้มอีกครั้งก็รู้สึกยินดียิ่ง อยากให้เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่มาทุกวันเสียจริง
ลุงโจวที่มีสีหน้าแดงระเรื่อสุขภาพดีพูดขึ้นว่า “หมอเทวดาน้อยสบายดีหรือไม่”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้