ไป๋เสียลอยอยู่กลางอากาศเหนือทะเลพลังิญญาพร้อมเกราะป้องกันทุกทิศทาง เขากำลังรอรับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของลู่เต้าอย่างใจจดใจจ่อ
ครั้งหนึ่งปฐมบรรพชนวิถีอสูรผนึกเทพาทั้งเจ็ดด้วยตัวคนเดียว พลังที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้เป็ที่เลื่องลือไปทั่วหล้า บัดนี้พลังที่สืบทอดมาจากปฐมบรรพชนวิถีอสูรกำลังหลับใหลอยู่ในกายของลู่เต้าแล้ว
“พลังของปฐมบรรพชน...” สีหน้าของไป๋เสียพลันหม่นหมอง ก่อนจะเอ่ยว่า “จงให้ข้าได้ประจักษ์กับตา! มาเลยเ้าหนู!”
ลู่เต้าที่อยู่เบื้องล่างค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ไป๋เสียสะดุ้งวาบ ร้องในใจว่า “มาแล้ว!”
เขาเกร็งกล้ามเนื้อทั้งร่างเตรียมรับแรงกระแทก ทันใดนั้นหางตาของไป๋เสียเหลือบไปเห็นลู่เต้า เ้าเด็กนั่นกำลังยิ้มให้เขา!
“อะไรนะ...” ไป๋เสียเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เ้าเด็กนี่ตื่นรู้เคล็ดวิชาสุดยอดอะไรงั้นหรือ”
เขาหลับตาลงอย่างระมัดระวัง พลังิญญาในร่างไหลเวียนทันที เกราะป้องกันรอบๆ ตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายชั้น
ลู่เต้าที่อยู่เบื้องล่างเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดัง ราวกับกำลังรอชมความอับอายขายหน้าของไป๋เสีย
แท้จริงแล้ว...
ถึงแม้ลู่เต้าจะดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจแทบพังทลายlbho
“อาฮ่าๆๆๆ” ลู่เต้ายกมือขึ้นกุมขมับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “จอมมารที่ยิ่งใหญ่ กลับหวาดกลัวเด็กฝึกตนตัวเล็กๆ เช่นนี้!”
ไป๋เสียที่ลอยอยู่กลางอากาศได้ยินเสียงหัวเราะของเขาอย่างชัดเจน เขาคิดว่าลู่เต้ารังเกียจที่เขาอ่อนแอเกินไป จึงขมวดคิ้วตวาด “เ้าหนู อย่าคิดว่าตื่นรู้เคล็ดวิชาแล้วจะทำอะไรตามใจชอบได้! ลองร่ายออกมาดูสิ!”
ว่าจบ เกราะป้องกันรอบข้างก็เพิ่มขึ้นอีกหลายชั้น
‘ฮ่าๆ...ข้าตายแน่...’ ลู่เต้าเห็นว่าเกราะป้องกันรอบตัวไป๋เสียไม่ลดลงเลย แถมกลับเพิ่มขึ้นราวกับคนโง่งม จึงเงยหน้าหัวเราะลั่นอยู่อย่างนั้น
“เ้าดูถูกข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ...” ดวงตาไป๋เสียเปล่งประกายดุดัน โบกมือเบาๆ เกราะป้องกันนับไม่ถ้วนรอบตัวก็พลันกลายเป็แสงสีเขียวจางๆ กลับเข้าไปในร่าง
ลู่เต้าถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าไป๋เสียปลดเกราะป้องกันทั้งหมดออกแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีเกราะป้องกันแสงสีเขียวที่เกิดจากพลังิญญาปรากฏขึ้นมาจนเขาต้องตกตะลึง
ไป๋เสียที่เข้าใจผิดรู้สึกเสียหน้า จึงยื่นมือรวบรวมพลังิญญาทั้งหมดมาไว้เบื้องหน้า แสงสีเขียวบนเกราะป้องกันส่องประกายแข็งแกร่งมั่นคง ถึงแม้จะเป็สายฟ้าฟาดจาก์ ไป๋เสียก็มั่นใจว่าสามารถต้านทานได้
หากเป็ในอดีต การใช้เกราะป้องกันระดับนี้ถือว่าง่ายดายสำหรับไป๋เสีย ทว่าตอนนี้ร่างเนื้อของเขาไม่อยู่ การใช้เกราะป้องกันจำเป็ต้องใช้พลังิญญาจากิญญา เงาสีขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศจึงจางลงไปมาก
ไป๋เสียกัดฟันคำราม “ปล่อยพลังออกมาให้เต็มที่! เ้าหนู!”
ลู่เต้ามองท่าทางเกินเหตุของไป๋เสีย ก่อนจะเอ่ยด้วยความสิ้นหวัง “แค่ทดสอบเคล็ดวิชา เ้าไม่ต้องทำเกินเหตุขนาดนี้ก็ได้ ไม่เห็นจำเป็เลย!!!”
***
ครู่ต่อมา
“อะไรนะ?!” ไป๋เสียตกตะลึงจนคางแทบหลุด “เ้าไม่รู้ว่าตัวเองตื่นรู้เคล็ดวิชาอะไรงั้นหรือ”
ถึงแม้ลู่เต้าจะพยายามยิ้มอย่างสุภาพ แต่ไม่ว่าจะยิ้มเช่นไรก็ดูเคอะเขินอยู่ดี
ไป๋เสียที่ดูอายุยังน้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พลันแก่ขึ้นหลายสิบปี คางสั่นเทาพลางกล่าว “จะ...เ้าทำให้ข้าต้องเสียพลังิญญาไปโดยเปล่าประโยชน์!”
“เ้าเอาแต่เข้าใจผิดแบบนี้ ข้าจะทำอย่างไรได้ ข้าก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน!” ลู่เต้าบ่น
ตอนแรกลู่เต้าคิดว่าไป๋เสียจะต้องเถียงกับเขาอย่างแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้ไป๋เสียกลับเงียบงันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ไป๋เสียถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ช่างเถอะ”
ลู่เต้าคิดว่าตนเองได้ยินผิด จึงเบิกตากว้างถามว่า “หืม? ช่างเถอะ?”
“อืม ใช่ เ้าได้ยินไม่ผิด” ไป๋เสียจงใจเน้นย้ำ “ช่าง เถอะ ได้ยินชัดหรือยัง”
ลู่เต้ายืนนิ่งเป็หุ่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกตัว “ทำไมเล่า ไม่สมกับเป็ตัวเ้าเลย!”
“ฮึม…” ไป๋เสียเบือนหน้าหนี “ที่ข้าเอาแต่คิดว่าเ้าตื่นรู้เคล็ดวิชาโจมตี เป็ความผิดของข้าเองที่ไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนลงมือ นี่เป็ความประมาทของข้า”
“ดังนั้น ข้าสมควรได้รับบทเรียนนี้” ไป๋เสียเหลือบมองลู่เต้า “ข้าน่ะเป็คนใจกว้าง”
ไม่ว่าไป๋เสียจะพูดอะไร ลู่เต้าที่รอดพ้นจากความตายพยักหน้าหงึกๆ
ภายในถ้ำลับ ลู่เต้านอนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ เหม่อมองเพดานหินก่อนจะยื่นมือออกไป “ไป๋เสีย ตกลงข้าตื่นรู้เคล็ดวิชาอะไรกันแน่”
“ขึ้นอยู่กับว่าความรู้สึกแรกตอนที่เ้ากินผลไม้นั้นคืออะไร”
“เย็นะเื…เหมือนน้ำ” ลู่เต้าหลับตา พยายามนึกถึงความรู้สึกในตอนนั้น
“เคล็ดวิชาสายน้ำงั้นหรือ” ไป๋เสียพึมพำ “ข้าหวังว่าจะเป็เคล็ดวิชาหายาก”
ลู่เต้าทำตามคำแนะนำของไป๋เสีย นั่งขัดสมาธิ เขาพยายามจินตนาการว่าพลังิญญาในร่างกายคือน้ำ จากนั้นจึงค่อยๆ นำพลังิญญาออกจากร่างกาย ถึงแม้ลู่เต้าจะควบคุมพลังิญญาได้อย่างดีเยี่ยมแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเช่นไร พลังิญญาก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงการนำออกจากร่างเลยด้วยซ้ำ!
“ไม่ได้…” ลู่เต้ายอมแพ้เลิกนั่งขัดสมาธิ “ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนี้”
“บนโคมไฟิญญามีเปลวไฟ เ้าลองพลังอัคคีดูหรือไม่”
จากนั้นทั้งสองก็ได้ลองทุกวิถีทาง แต่ก็ล้มเหลวทั้งหมด ไร้วี่แววใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อคนส่วนใหญ่ตื่นรู้ ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่าตนเองตื่นรู้เคล็ดวิชาอะไร กรณีพิเศษเช่นลู่เต้าเพิ่งเคยพบเป็ครั้งแรก
ลู่เต้าเอ่ยอย่างท้อแท้ “ไม่ใช่ว่าข้าคงไม่รู้ว่าตัวเองตื่นรู้เคล็ดวิชาอะไรไปตลอดชีวิตหรอกนะ”
“ไม่หรอก” ไป๋เสียตอบอย่างไม่ใส่ใจ “การตื่นรู้เคล็ดวิชาก็เหมือนกับการเรียนว่ายน้ำ เมื่อเรียนรู้แล้วก็ไม่มีวันลืม ต่างกันตรงที่ชำนาญมากน้อยแค่ไหน”
ลู่เต้าคลายกังวลเมื่อได้ยินไป๋เสียพูดเช่นนั้น ไป๋เสียไม่ได้โกรธที่ลู่เต้าไม่รู้ว่าตนตื่นรู้เคล็ดวิชาอะไร
ในทางกลับกัน ยิ่งเป็เช่นนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกคาดหวังกับเคล็ดวิชาของลู่เต้า
ไป๋เสียรู้สึกได้ว่าพลังิญญาในร่างของลู่เต้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย “อืม ต้นไม้สืบทอดพลังยังอยู่ในทะเลพลังิญญาของเ้าอีกหรือ”
“ใช่! แปลก...” ลู่เต้าเองก็ไม่เข้าใจ “ตอนนี้มันดูดซับพลังิญญาน้อยลง”
“เป็่พักฟื้นงั้นหรือ” ไป๋เสียกล่าว “ไม่รู้ว่าต้นไม้นี้จะออกผลอีกหรือไม่”
ทั้งสองคนหาคำตอบในตอนนี้ไม่ได้ ในขณะนั้นลู่เต้าที่ตัวเปียกโชกก็ทนไม่ไหว คันจมูกจนจามออกมา เมื่อเห็นเช่นนั้น ไป๋เสียจึงสั่งให้เขาไปหาเสื้อผ้าที่เขาเคยทิ้งไว้ในหีบไม้
ครั้งหนึ่ง เขาเคยอาศัยอยู่ใกล้ๆ เมืองเพื่อตามหาหอคัมภีร์ต้องห้าม ส่วนถ้ำลับแห่งนี้ก็เป็หนึ่งในสถานที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่ ที่นี่จึงยังหลงเหลือร่องรอยการใช้ชีวิตของเขา
ลู่เต้าค้นหาเสื้อผ้าที่ไป๋เสียเคยสวมใส่จากหีบไม้ เห็นเขากำลังขมวดคิ้วหยิบเสื้อขึ้นมาดูทีละตัวก่อนจะโยนทิ้งไป ทำให้ไป๋เสียไม่พอใจเป็อย่างมาก “นี่ๆ เ้ากำลังทำอะไร”
ว่าจบ ลู่เต้าก็โยนชุดคลุมแบบลัทธิเต๋าสีฟ้าขาวสองชุดออกจากหีบ ค้นไปค้นมาก็เจอแต่เสื้อผ้าสีขาว เขาจึงบ่นอย่างอดไม่ได้ “ทำไมมีแต่สีขาว สีขาวสกปรกง่าย ซักยาก”
“เ้าอย่าให้เืศัตรูเปื้อนเสื้อผ้าก็ไม่สกปรกแล้ว” ไป๋เสียเอ่ยไม่สบอารมณ์
ลู่เต้าไม่สนใจเขา ในที่สุดก็พบชุดฝึกตนสีดำแดงอยู่ก้นหีบ เขาจึงหยิบขึ้นมาลองสวมใส่ดู อืม ขนาดพอดีตัวเลย
“เื่เคล็ดวิชาค่อยๆ ศึกษาไปเถอะ ตอนนี้ควรออกไปตามหาเ้าหมาโง่นั่นกลับมาก่อน” ไป๋เสียสั่งให้ลู่เต้านำรวงผึ้งดาราที่วางอยู่ในชั้นมาบางส่วน เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
ขณะที่กำลังรวบรวมสิ่งของที่เป็ประโยชน์ในถ้ำลับ ลู่เต้าก็เหลือบไปเห็นหนังสือโบราณบนชั้นหนังสือ เขาหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาปัดฝุ่นออกเบาๆ แล้วถามว่า “ไป๋เสีย หนังสือพวกนี้เ้าอยากเอาไปด้วยหรือไม่”
“ไม่ต้อง” ไป๋เสียใช้นิ้วชี้แตะขมับเบาๆ “พวกมันอยู่ในนี้แล้ว”
ทันใดนั้น ค้างคาวตัวน้อยก็บินเข้ามาในถ้ำลับอย่างเงียบเชียบ ห้อยตัวอยู่บนเพดานหิน คอยสังเกตการกระทำของลู่เต้า
อีกด้านหนึ่ง จู้หลงฉีกยิ้มเหี้ยม “โอ๊ะ พบร่องรอยเ้าเด็กนั่นแล้ว”
