จางกุ้ยฮัวยิ้มอย่างมีความสุขมาก และเอ่ยอย่างตามใจว่า “ไปเถิดๆ ถึงอย่างไรเ้าก็อยู่ไม่ติดบ้านอยู่แล้ว ชิวเซียง เ้าเองก็ไปเถิด แม่ถอนหญ้าแปลงนี้เสร็จ เดาว่าน้องสามของพวกเ้าก็น่าจะตื่นพอดี ประเดี๋ยวซักผ้าเสร็จก็น่าจะทำอาหารต่อ”
ความหมายคือในบ้านไม่ได้มีงานมากมายอะไรนัก
“แต่ท่านแม่ แปลงผักบ้านเรายังถางไม่เสร็จ” หลิวชิวเซียงมองดูหญ้าที่เหี่ยวแห้งเต็มแปลงผัก อีกทั้งบนผิวดินยังมีปลายสีเขียวของหญ้างอกขึ้นมาใหม่ไม่น้อย
“นี่ไม่ใช่เื่ใหญ่เลย แม่บอกแล้วว่า ปีนี้เราดูแลแค่ผักที่ครอบครัวเรากิน ไม่ต้องปลูกมากนัก ทำแปลงผักแค่สองสามแปลงเป็พอ ที่เหลือใช้ไฟเผาแล้วปลูกข้าวโพดสักหน่อย!”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าพี่สาวแสนดีช่างน่าทะนุถนอมเหลือเกิน จึงเอ่ยโน้มน้าว “ท่านพี่ ตอนนี้บ้านเรามีที่นาดีแค่สองไร่ รวมกับแปลงผักผืนนี้ งานก็ไม่ได้มากนัก ท่านอย่าห่วงไปเลย มีท่านพ่อช่วยอีกแรงไม่ใช่หรือ?”
หลี่ชุ่ยฮัวและหลิวเต้าเซียงเข้ากันได้มากที่สุด นางจึงช่วยพูดอีกแรง “พี่ชิวเซียง ท่านแม่ข้าบอกว่า ตอนนี้วัยของพวกเราควรจะเรียนเย็บปักมากที่สุด อืม แล้วก็เวลาที่ควรเล่นก็ต้องเล่น”
หลิวเต้าเซียงมั่นใจว่าประโยคสุดท้ายนั้นเพื่อนของนางเสริมขึ้นมาเอง
หลี่ชุ่ยฮัวเหลือบมองอีกด้านหนึ่งของห้อง โชคดีที่มารดาของนางไม่ได้อยู่ที่นั่น
นางพูดแบบนั้นด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ เพราะคำพูดดั้งเดิมของมารดาคือ เ้าต้องปักดอกไม้ ให้อาหารไก่และหาเงิน!
“ท่านพี่ ไปกันเถิดๆ!” หลิวเต้าเซียงไม่อยากเสียเวลากับความลังเล จึงดึงหลิวชิวเซียงให้รีบเดินเข้าไปในบ้าน
หลี่ชุ่ยฮัวเองก็เดินตามต้อยๆ ไปด้วย
ที่หน้าบ้าน หลิวชิวเซียงล้างหน้าล้างตา ส่วนหลิวเต้าเซียงบอกกับนางว่าให้ไปเจอกันที่บ้านท่านปู่หลี่เจิ้ง
นางและหลี่ชุ่ยฮัวจะล่วงหน้าไปก่อนเพื่อตามหาหวงเสี่ยวหู และขอให้เขาช่วยตามเพื่อนพ้องผู้ชายไปช่วยกันเก็บดอกหยางไหว
หลิวชิวเซียงตอบรับและบอกให้ทั้งสองไปกันก่อน อีกเดี๋ยวนางจะแบกตะกร้าตามหลังไป
หลิวเต้าเซียงรู้ดังนั้นจึงดึงหลี่ชุ่ยฮัววิ่งออกไป
ในเมื่อจะเล่นก็ต้องเล่นให้สนุก ให้จิตใจเบิกบานเต็มที่
ทั้งสองไปที่บ้านของหลี่เจิ้ง ทันทีที่พวกนางเดินไปหน้าประตูบ้าน ก็ได้ยินเสียงหลี่เจิ้งกำลังโน้มน้าวหวงเสียวหู่อย่างหวังดี คงกำลังพูดถึงเื่ที่อนาคตหวงเสียวหู่ต้องถกเื่หมั้นหมาย ถึงอย่างไรก็ควรมีสถานะที่เหมาะสม จึงจะสู่ขอคนดีๆ ได้
เขายังกล่าวอีกว่าบิดาของหวงเสียวหู่มีชื่อเสียงคุณงามความดี แต่นั่นก็นับว่าเป็ของบิดา ส่วนตัวหวงเสียวหู่เองนั้นมีเพียงตัวเปล่า
หลิวเต้าเซียงยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นและกำลังจะก้าวเข้าไป แต่ก็เหมือนจะชักกลับ
“น้องเต้าเซียง เ้ามาแล้วหรือ!”
หวงเสียวหู่ที่กำลังก้มหน้ารับการสั่งสอนจากหลี่เจิ้ง หางตากวาดมาเห็นเท้าของหลิวเต้าเซียงที่ดูเก้ๆ กังๆ จึงรีบะโเรียกด้วยความดีใจ
ลางสังหรณ์บอกกับหลิวเต้าเซียงว่า ขณะนี้นางกลายเป็ดาวช่วยชีวิตของหวงเสียวหู่แล้ว สายตานั้นสื่อกับนางว่า รีบเข้ามาๆ รีบเข้ามาช่วยเขาที่กำลังตกอยู่ในกองไฟและน้ำลึก
ด้วยความหน่ายใจ นางจดจ้องแววตาของหวงเสียวหู่แล้วดึงหลี่ชุ่ยฮัวเข้าบ้าน จากนั้นกล่าวทักทายท่านปู่หลี่เจิ้งอย่างนอบน้อม
หลี่เจิ้งเห็นว่าหลานชายคนโตของเขาไม่ฟังคำแนะนําจึงเกิดความโมโห แต่เมื่อเห็นหลิวเต้าเซียงกับหลี่ชุ่ยฮัวเดินเข้ามา อีกทั้งดวงตาของหลานชายยังเปล่งประกาย
เมื่อมองไปที่หลิวเต้าเซียงอย่างครุ่นคิดเขาจึงเกิดคำถามในใจ หรือว่าหลานชายของตนนั้นชื่นชอบเด็กสาวตระกูลหลิวผู้นี้?
แต่จะไม่เด็กเกินไปหรือ?
ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร แต่ปากก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มไปก่อน
หากหลิวเต้าเซียงล่วงรู้ความคิดของเขา คงต้องด่าออกมาว่า จิ้งจอกเฒ่า!
“เ้ามาชวนเสียวหู่ไปเล่นหรือ?” หลี่เจิ้งถามนางอย่างพอใจ
หลี่ชุ่ยฮัวชิงตอบ “ท่านปู่หลี่เจิ้ง วัยของพวกเรานอกจากเล่นแล้วจะทำอะไรได้อีกหรือ?”
หลี่เจิ้งสำลักขึ้นมาเล็กน้อย เด็กสาวตระกูลหลี่ช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน!
“อืม ก็ถูก ในเมื่อพวกเ้ามาแล้ว เช่นนั้น...” เขาหันไปเอ่ยกับหวงเสียวหู่ “ในเมื่อพวกนางมาชวนเ้าออกไปเล่น เช่นนั้นก็มีวันหยุดให้เ้าหนึ่งวัน เพียงแต่ว่าวันรุ่งขึ้น...”
“ท่านปู่ว่าอย่างไรก็ตามนั้น!” หวงเสียวหู่วิ่งตรงดิ่งไปทางสองคนนั้น
เมื่อถึงประตูก็เอ่ยกับหลี่เจิ้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านปู่ ข้าไม่ชอบเล่าเรียน แต่ข้าจะเล่าเรียนวิชาของบรรพบุรุษ ซึ่งก็คือบู๊ ว่ากันว่าคนยากจนเรียนบุ๋น ส่วนคนมั่งมีเรียนบู๊ ฮ่าๆ เท่ากับว่าตระกูลหวงของเรานั้นเป็คนมั่งมี ตามนี้นะท่านปู่ อีกเดี๋ยวท่านปู่ช่วยเชิญอาจารย์สอนวิชาต่อสู้มาเถิด!”
หวงเสียวหู่ตั้งใจพูดเื่นี้อย่างแน่นอน
หลี่ชุ่ยฮัวและหลิวเต้าเซียงฟังแล้วไม่เข้าใจ “บ้านพี่หูจื่อก็มีเงินอยู่แล้วนี่นา การเรียนต่อสู้จะทำให้มั่งมีอีกได้อย่างไร?”
หลิวเต้าเซียงยกมุมปากขึ้นแล้วหันไปบอกกับหลี่ชุ่ยฮัว “ความหมายของพี่หูจื่อคือ หากว่าท่านปู่หลี่เจิ้งให้เขาฝึกการต่อสู้ ก็จะเป็การพิสูจน์ให้คนละแวกนี้ได้เห็นว่า ตระกูลหวงนั้นเป็บ้านที่มั่งมี”
หลี่ชุ่ยฮัวรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่นางถามแต่อย่างใด พูดวกไปวนมา ล้วนแต่เป็การบอกว่าบ้านพี่หวงเสียวหู่มีเงิน?!
ขณะที่หลี่เจิ้งนั้นจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็บอกไม่ถูก
หวงเสียวหู่ไม่สนใจอะไรมาก เขาหันไปยิ้มแล้วเอ่ยกับทั้งสองคน “น้องเต้าเซียง น้องชุ่ยฮัว เราจะไปเล่นกันเหมือนเดิมหรือ? บอกไว้ก่อนว่า หลังเชิงเขาตอนนั้นยังไปไม่ได้ เพราะงูที่เพิ่งออกจากถ้ำมีพิษร้ายกว่าอะไรทั้งนั้น!”
“พี่หูจื่อ เราไม่ได้ไปที่หลังเชิงเขา แต่จะไปเก็บดอกหยางไหวต่างหาก”
หลี่ชุ่ยฮัวเล่าเื่ที่คุยกันไว้ให้เขาฟัง
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เขาได้ยิน ดวงตาก็เปล่งประกายสีเขียวออกมา สายตาที่จ้องมองหลิวเต้าเซียงนั้นทำเอานางรู้สึกว่าตนเองคือกระดูกชิ้นโตที่หอมหวน
“แม่ของเ้าทำเกี๊ยวดอกหยางไหวเป็ด้วยหรือ?”
หลิวเต้าเซียงกลืนน้ำลายอย่างประหม่า “ใช่แล้ว”
“อย่าลืมห่อเยอะๆ หน่อย ข้าจะกินด้วย” หวงเสียวหู่เอ่ยข้อเสนอทันที
หลิวเต้าเซียงแอบมองหลี่เจิ้งที่ยืนฟังอยู่ในลานบ้านอย่างเปิดเผย เกี๊ยวดอกหยางไหวไม่ได้ทำยาก ท่านย่าหวงก็ทำเป็ไม่ใช่หรือ?
“เฮ้อ เ้ามองท่านปู่ข้าทำไมกัน เราไปคุยทางนั้นเถิด”
หวงเสียวหู่เรียกทั้งสองคนออกจากบ้านตระกูลหวงไป เมื่อเดินมาได้ไกลสักระยะ และแน่ใจว่าปู่ตัวดีไม่ได้ตามมาแอบฟัง จึงเอ่ยขึ้น “ปู่ย่าข้าอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าเป็อะไร ทำอาหารรสชาติหนักเค็มเข้าทุกวัน เมื่อวานมีคนนำผักป่ามาให้ ข้าไม่ได้กินผักเขียวที่สดใหม่มานานและหิวโหยยิ่งนัก พวกเ้าเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น ย่าข้าทำอาหารได้เค็มเหลือเกิน แต่ปู่ข้ายังบอกว่าย่าข้าผัดผักได้รสชาติกำลังดีอีกด้วย...”
เ้ามาพูดลับหลังปู่ย่าเช่นนี้ จะดีหรือ?
หลิวเต้าเซียงมองไปที่หวงเสียวหู่อย่างเห็นอกเห็นใจ ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงขอให้บ้านตนเองช่วยห่อเกี๊ยวให้มากหน่อย
“เต้าเซียง ชุ่ยฮัว พี่หูจื่อ?”
เสียงนุ่มนวลของหลิวชิวเซียงล่องลอยมาตามสายลม
“น้องชิวเซียง เ้าก็มาหรือ พอดีเลย เรากำลังจะหาคนเพิ่มเพื่อไปช่วยกันเก็บดอกหยางไหว พวกเ้าวางใจเถิด ข้าจะไปตามหาคน พวกเ้ารออยู่ที่นี่ก่อน อีกเดี๋ยวช่วยส่งตะกร้าก็พอ”
หวงเสียวหู่ทักทายหลิวชิวเซียงอย่างมีความสุขและขอให้ทั้งสามคนรอที่ต้นหยางไหว ส่วนเขาก็วิ่งไปตามเพื่อนฝูง
หลี่ชุ่ยฮัวรอให้เขาออกไปก่อน นางก็ยกนิ้วให้หลิวเต้าเซียงและยกย่องว่า “ความคิดของเต้าเซียงดีที่สุด”
หลิวเต้าเซียงยิ้มจนตาโค้ง อืม ที่จริงนางก็แค่อยากแอบอู้งาน!
นอกจากนี้ หวงเสียวหู่ก็คงหวังอยากให้มีเื่แบบนี้ให้ทำ
เขาว่องไวมาก ไม่นานก็เรียกเพื่อนเด็กหนุ่มที่แข็งแรงมาอีกหลายคน คนเหล่านี้โตพอๆ กับเขา คนหนึ่งคือตงจื่อ ส่วนอีกสองคนคือ ซวนจื่อกับเถี่ยหนิว
“มา ส่งตะกร้าให้พวกข้า”
หวงเสียวหู่โบกมือให้เด็กสาวทั้งสามคน
หลิวชิวเซียงหยิบตะกร้าหิ้วสองใบออกมาและพูดว่า “บ้านข้ามีเพียงสองใบเท่านั้น”
“ฮ่า ข้าจะกลับไปเอาอีกอัน พวกเ้าใช้ตะกร้าใหญ่ใส่ก่อนหนึ่งอัน”
หลังจากที่หลี่ชุ่ยฮัวพูดจบก็วิ่งหนีไป
ดอกหยางไหวนั้นมีกลิ่นหอมสดชื่น ห้อยระย้าเป็พวงอยู่บนต้นไม้ ช่างสวยงามยิ่งนัก
หลิวเต้าเซียงแหงนศีรษะขึ้นมองแล้วกลืนน้ำลาย
เพียงแค่ได้กลิ่นหอมสดชื่น เกี๊ยวดอกหยางไหวต้องอร่อยมากแน่นอน
ปีที่แล้วที่นางข้ามมิติมา ไม่ทันได้เจอ่ฤดูนี้ หลังจากที่รู้ก็ได้แต่นึกทอดถอนใจ
หวงเสียวหู่มองมาที่นางและขำขันกับท่าทีหิวโหย “เต้าเซียง คงอยากกินล่ะสิ ได้ยินว่าน้ากุ้ยฮัวเป็ผู้ที่ทำเกี๊ยวดอกหยางไหวได้ดีที่สุดในหมู่บ้าน”
เถี่ยหนิวพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าได้ยินมาจากแม่ข้าว่า ท่านย่าของเต้าเซียง้าทำเกี๊ยวดอกหยางไหวให้ดียิ่งขึ้น จึงตั้งใจเขียนจดหมายไปหาท่านลุงของเต้าเซียง ได้ยินว่าสูตรนั้นได้รับการเผยแพร่มาจากจวนตระกูลหวง”
จริงหรือ?
เช่นนั้นก็เป็บุญปากของนางแล้วสิ?
ในยุคปัจจุบัน เกี๊ยวดอกหยางไหวนี้กําลังจะกลายเป็ตํานาน คนส่วนมากอย่าว่าแต่ได้กินเลย บางคนอาจจะไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นหลิวชิวเซียงก็นึกอะไรบางอย่างได้ “เมื่อครู่ตอนที่ข้าช่วยท่านแม่ไปเอาข้องปลาขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไร ด้านในมีปลาซ่งตัวใหญ่สามตัวมุดเข้าไป ตัวหนึ่งคงจะหนักราวสามชั่งเศษ ท่านแม่บอกให้พวกข้าเก็บไปเยอะหน่อย ตอนค่ำจะใช้ทำคู่กับปลาด้วย”
“ดีๆ ข้าก็อยากกิน” หวงเสียวหู่เป็เด็กผู้ชาย หน้าหนาด้วย จึงเอ่ยปากขอทันที
หลิวชิวเซียงนิสัยอ่อนโยน จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านแม่ข้าบอกว่า วันนี้ท่านพ่อน่าจะกลับมากินอาหารค่ำ แน่นอนว่าต้องเชิญท่านปู่หลี่เจิ้งกับท่านย่าหวงมากินด้วย เ้าว่า หากเ้าไม่ไป ก็กลายเป็ว่าต้องก่อไฟทำอาหารเองหรือ? ข้ากลัวเ้าจะหุงข้าวไม่สุก แล้วทำให้หน้าตนเองกลายเป็หน้าแมวลายแทน”
คำพูดของนางทำให้เกิดเสียงหัวเราะจากทุกคน หวงเสียวหู่เอื้อมมือไปลูบท้ายทอย แล้วหันหลังไปเอ็ดกับคนทั้งสามที่เหลือ “ยังไม่รีบขึ้นต้นไม้อีก อีกเดี๋ยวแดดแรง คงร้อนน่าดู แล้วก็ถ้าพวกเ้าเด็ดได้ไม่เต็มตะกร้า อย่าคิดว่าจะได้กลับบ้านแม้แต่คนเดียว”
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงเปล่งประกายเป็แสงสีทองวาบ พี่หูจื่อเกรียงไกรยิ่งนัก!
ด้วยคำพูดของเขา พวกตงจื่อก็รีบปีนขึ้นต้นไม้ราวกับลิง
พวกเขาไม่สนใจว่าจะได้ดอกหยางไหวกลับบ้านหรือไม่ แต่สนใจเพียงว่าการปีนต้นหยางไหวเป็เื่น่าสนุก
คนจำนวนเยอะก็มีพลังมากกว่า!
ทั้งตอนเช้า ที่ดงต้นหยางไหวเต็มไปด้วยเสียงสนุกสนานล่องลอยออกมา
จางกุ้ยฮัวกับป้าหลี่กำลังล้างผักอยู่ที่ลำธาร ได้ยินเสียงหัวเราะ “วันนี้อาหารค่ำบ้านเ้าคงต้องเตรียมตะเกียบเพิ่มแล้วล่ะ สามีกับลูกชายไม่อยู่บ้าน พวกข้าสองแม่ลูกคงต้องมากินข้าวบ้านเ้า ใครใช้ให้เ้าจะทำปลาต้มดอกหยางไหวเล่า”
จางกุ้ยฮัวตอบด้วยรอยยิ้ม “มาได้เลย ก็แค่เพิ่มตะเกียบ เ้าอย่าได้เกรงใจ มากินด้วยกันเถิด ลูกสาวเ้ามา แล้วเ้าจะไม่มาได้หรือ ข้าเดาว่าชุ่ยฮัวนั่งกินที่นี่คนเดียวก็คงไม่ค่อยเป็ตัวเองเท่าใด”
“นี่ ข้าว่ากุ้ยฮัว สามีข้าเห็นสามีเ้าไปที่บ้านอาจารย์กัวในตำบลหลายครั้งหลายหนแล้ว ไปทีก็ไปทั้ง่เช้า ข้าเห็นว่าเ้าพูดจาท่าทางแตกต่างไปจากเมื่อก่อน หรือว่า...”
“เ้ารู้ก็ดีแล้ว ตอนนั้นที่ปิดบังเพราะกลัวท่านแม่โวยวาย เ้าคงไม่รู้ สามีข้าเล่าเรียน เอ่อ...จะบอกอย่างไรดี อาจารย์ชมว่าเขาเรียนใช้ได้ ข้าเองก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใด เพียงแต่ให้เขาเล่าเรียนจะได้สอนลูกสาวข้าด้วย ต่อไปจะได้ไม่โง่เขลา”
จางกุ้ยฮัวไม่ได้พูดถึงเื่ที่หลิวซานกุ้ยกําลังจะสอบถงเซิง ใช่ว่านางไม่เชื่อใจป้าหลี่ แต่รู้สึกว่าเื่นี้ยังไม่เป็รูปเป็ร่าง รอให้สอบผ่านก่อนแล้วจึงบอกก็คงไม่สายไป
-----
