หลินหลานอี๋คิดไม่ถึงว่า หวานหว่านจะพูดจาเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นนางถึงกับไม่รู้จะโต้ตอบกลับอย่างไร และได้แต่แอบด่าอยู่ในใจ น่าตายนัก อวิ๋นซีและจวินเหยียนต่างก็เป็คนเ้าเล่ห์ มิคาดลูกสาวที่ให้กำเนิดออกมาก็ยังจะไม่ใช่คนดี แม้คนจะอายุยังน้อย แต่ความคิดและจิตใจกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย วันหน้าหากโตขึ้นแล้วจะร้ายกาจเพียงใดกัน
คิดถึงตรงนี้ ในใจนางก็มีจิตสังหารวาบผ่านไป แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นหวานหว่านที่ดูนึกสนุก ในใจนางกลับยิ่งรู้สึกไม่สงบราวกับว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็หญ้าพิษที่พร้อมจะทำลายครอบครัวนางอยู่ตลอดเวลา
อวิ๋นซีมองลูกสาวอย่างโกรธๆ พูดเสียงเบา “อาสะใภ้เ้าเป็ผู้ใหญ่แล้ว แต่ตัวเ้ายังเป็เด็ก หากตบลงไปเช่นนั้น มีแต่เ้าที่จะเจ็บมือน่ะสิ”
หวานหว่านทำทีราวกับเพิ่งรู้แจ้ง อ้อออกมาเสียงหนึ่ง “จริงดังเสด็จแม่กล่าว ดูท่าตัวข้าจะบ้าไปแล้ว ถึงกับไม่เข้าใจว่า ท่านอาสะใภ้ที่เป็ผู้ใหญ่ย่อมต้องหนังเหนียวหน้าหนา ส่วนตัวข้าที่ยังเป็เด็กย่อมต้องหนังอ่อนหน้าบางเป็ธรรมดา ดังนั้น หากข้าไปตบหน้านางก็เท่ากับนำไข่หงส์ไปกระทบหิน”
นางพูดด้วยใบหน้าซื่อๆ ท่าทางไร้เดียงสา ทำให้อวิ๋นซีอดกลอกตาในใจไม่ได้ อีกทั้ง ตอนนี้อวิ๋นซีก็แน่ใจมากว่า ในร่างของลูกสาวจักต้องมีผู้อื่นอาศัยอยู่แน่ มิเช่นนั้นคนจะเ้าเล่ห์เพียงนี้ได้อย่างไร ถึงกระนั้นคนอัจฉริยะก็ใช่ว่าเมื่อก่อนนางจะไม่เคยเจอ เพียงแต่ไม่มีใครเหมือนหวานหว่าน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เมื่อเห็นว่าลูกสาวทำให้ครอบครัวหลินหลานอี๋โกรธเคืองจนเข็ดฟันไปตามๆ กัน ในใจนางก็เบิกบานมาก ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ แต่หวานหว่านก็คือลูกสาวของตน นี่เป็เื่ที่ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
อวิ๋นซีจูงมือบุตรสาว จากนั้นก็อุ้มคนให้นั่งลงบนตักตน นางมองไปยังเจิ้นหนานอ๋อง ยิ้มพูดว่า “ท่านอ๋อง ครั้งนี้ที่มาที่นี่ เปิ่นเฟยเองก็มีเื่ที่อยากจะสอบถามนายท่านหลินสักหน่อย ดังนั้น รอให้เปิ่นเฟยไขข้อข้องใจของตนเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยมาคุยกันเถิดเพคะ”
คำขอนี้ ทำให้เจิ้นหนานอ๋องที่ได้ยินเป็ต้องมองไปยังอวิ๋นซี ในใจเขาเข้าใจแล้วว่า เื่ที่นางคิดจะถามคงเกี่ยวกับหลินหรงเว่ยและจางเหวินเหมย หรือว่า จวินเหยียนจะบอกอวิ๋นซีเื่ที่จางเหวินเหมยและหลินหรงเว่ยส่งคนไปไล่สังหารนาง? หากเป็เช่นนั้นจริง ความปรารถนาที่เขาอยากจะได้รับการให้อภัยจากลูกจากหลานก็ยิ่งเป็ไปไม่ได้แล้ว
คิดถึงตรงนี้ ในใจเขาก็ไม่ยินยอม มองลูกเขยและลูกสาวด้วยสายตาดุดัน ดูท่า เื่บางเื่คงไม่อาจยืดเวลาออกไปได้แล้ว เขาควรตัดสินใจให้ได้ ทั้งยังจะต้องทำให้สำเร็จเท่านั้นด้วย
“ไม่ทราบว่า พระชายาจะมีเื่ใดที่อยากจะตรัสกับกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลินหรงเว่ยถามอย่างไม่ถ่อมตัวและไม่หยิ่งผยอง
อวิ๋นซีมองบุรุษตรงหน้าที่วันนี้ราวกับเห็นเื่ที่เกิดขึ้นเป็เื่ของผู้อื่น บทบาทที่เขาแสดงออกว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ของผู้อื่นอย่างเด็ดขาดนี้เรียกได้ว่าสมจริงทีเดียว นางยิ้มน้อยๆ แล้วถามคำ “ไม่ทราบว่า งานมงคลของชิวเสียงกับหลานซินกำหนดไว้เมื่อใดหรือ? ตอนนี้เปิ่นเฟยกลับมาจากเขตโรคระบาดแล้ว หากยังทันร่วมดื่มสุรามงคลของพวกเ้าก็คงจะดีไม่น้อย เปิ่นเฟยจะได้ถือโอกาสชำระความไม่ดีบนร่างไปด้วย”
เมื่อนางพูดออกมาเช่นนี้ คนที่อยู่ในห้องต่างก็พากันอึ้งไป ขณะที่หลินหลานซินแทบอยากจะฉีกผ้าเช็ดหน้าในมือให้ขาดกระจุย นังชั้นต่ำ รู้ทั้งรู้ว่าในเมืองหลวงเกิดเื่ขึ้นมากมาย แต่คนยังจะมาถามเื่การแต่งงานของนางอีก นี่เป็การตั้งใจทำให้นางอับอายหรือไม่? อวิ๋นซี เื่บางเื่วิ่งห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะวิ่งร้อยก้าว [1] รอดูไปเถอะ ตัวเ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไรหรอก
หลินหรงเว่ยพูดขึ้นเรียบๆ “เื่แต่งงานของบุตรสาว...”
“จริงด้วย ดูสิเปิ่นเฟยเลอะเลือนแล้ว งานมงคลนี้เสด็จพ่อพระราชทานด้วยพระองค์เอง อีกทั้ง แม่นางหลานซินก็เป็ถึงทายาทของเจิ้นหนานอ๋องผู้เป็ขุนนางใหญ่ของหนานเย่าเรา แน่นอนว่าวันมงคลจักต้องให้ทางกรมพิธีการเป็ผู้เลือก” อวิ๋นซีมองท่าทีของหลินหรงเว่ยก็รู้แล้วว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ ในเมื่อฮ่องเต้ทำเป็ไม่รู้เห็นสิ่งใด เพราะเห็นแก่เจิ้นหนานอ๋อง นี่ก็แสดงว่า การแต่งงานยังคงมีอยู่ ในเมื่อการแต่งงานยังคงมีอยู่ หลินหลานซินก็จำต้องแต่ง
“เหตุใดสีหน้านายท่านหลินถึงได้ไม่น่ามองเพียงนั้น? เปิ่นเฟยพูดสิ่งใดผิดไปหรือ” พูดจบ จู่ๆ นางก็พูดขึ้นราวกับเพิ่งระลึกได้ “ดูสิ เปิ่นเฟยเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ก็หลงลืมเื่ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ไปเสียได้ ขออภัยจริงๆ ”
อวิ๋นซีพูดจบก็หันมองไปทางหลินหลานซินด้วยสายตาเวทนาสงสารเล็กน้อย “แม่นางหลานซิน เื่ที่เกิดขึ้นนี้ แม้พูดออกไปแล้วจะไม่น่าฟัง แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เ้าก็ต้องทำใจให้กว้างสักหน่อย อย่าได้ทำเื่โง่ๆ เป็เด็ดขาด ไม่ว่าเื่จะใหญ่โตเพียงใด แต่ก็ยังโชคดีที่มีท่านตาเ้าคอยช่วยเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม ชิวเสียงที่เพิ่งจะอายุสามสิบต้นๆ ก็ได้เป็ถึงรองเ้ากรมแล้ว วันหน้าจักต้องมีอนาคตที่สดใสแน่ ถึงแม้พวกเ้าจะทำเื่ผิดไป ขอเพียงแม่นางหลานซินทำใจให้กว้าง มีจวนองค์ชายห้า และจวนเจิ้นหนานอ๋องอยู่ ชิวเสียงย่อมไม่กล้ารังแกเ้าอย่างแน่นอน หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ สามีเ้าผู้นี้เรียกได้ว่าไม่เลวทีเดียว เ้าอย่าได้คิดไม่ตกเป็เด็ดขาด”
จวินเหยียนมองภรรยาที่ยังคงเล่นอย่างสนุกสนาน ชั่วขณะนั้นเขาเองก็ไม่รู้ควรทำเช่นไร แต่ที่แน่ใจได้ การที่วันนี้เจิ้นหนานอ๋องขอพบอวิ๋นซีจักต้องเป็การตัดสินใจที่ผิดอย่างยิ่ง เขาสั่งสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ไม่ไกล ให้นางไปที่ห้องครัวจัดเตรียมของว่างและโจ๊กรังนกมา เพราะยามนี้ลูกสาวของเขากำลังตั้งใจชมละคร แน่นอนว่าต้องมีของว่างรองท้องถึงจะดี
ดูไปกินไป คิดดูสิว่าจะสุขสบายเพียงใด
หวานหว่านได้ยินพอดี เด็กน้อยมองบิดาตาแป๋ว ปากน้อยๆ พูดโดยไร้เสียง “ขอบพระทัยเสด็จพ่อมากเพคะ”
สำหรับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างสองพ่อลูก อวิ๋นซีก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้โดยไม่พูดอะไร ถึงกระนั้นสายตานางยังคงจับจ้องอยู่ที่สตรีที่โดนพิษกู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ฟัง คนยังมีใจคิดปรารถนาในตัวสามีนาง “ทำไมหรือ หรือว่าเปิ่นเฟยพูดผิดไปอีกแล้ว นี่พวกเ้า มีความคิดจะยกเลิกการแต่งงานหรือ? ”
งานมงคลที่ฝ่าาตรัสเองเชียวนะ หากพวกเ้าคิดอยากจะยกเลิก ก็ยกเลิกได้หรือ เพ้อฝันเสียจริง...
ทุกๆ ถ้อยคำของอวิ๋นซีที่เปล่งออกมา ยิ่งทำให้ในสายตาของหลินหรงเว่ยปรากฏเป็ความแค้นล้ำลึกไร้จุดสิ้นสุด สตรีนางนี้ชอบทำเขาเสียเื่ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่เหล่านักฆ่าที่ส่งไปลอบสังหารนางก็ยังถูกฆ่าทิ้งอย่างง่ายดาย กระทั่งเื่ที่เขาคิดอยากจะแย่งตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋องมา แท้จริงแล้วคนที่เปรียบเป็ดังหินขวางทางไม่ให้เขาเข้าควบคุมกองทหารตระกูลจางมิใช่จางเฉินปิน แต่เป็ลูกสาวอย่างอวิ๋นซีต่างหาก เมื่อคิดถึงว่าตนต้องพ่ายแพ้อยู่ในกำมือสตรีนางนี้หลายครั้ง เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ยินยอมเป็อย่างมาก
งานมงคลนี้ ฮ่องเต้เป็ผู้กำหนดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจล้มเลิกได้ ซึ่งตัวเขาเองยังคงวนเวียนอยู่ในจุดตายนี้มานานมากแล้ว เพราะหลานซินเป็ลูกสาวที่เขาฝากความหวังเอาไว้สูง จะมาถูกทำลายไปเช่นนี้มิได้
“พระชายาตรัสให้ขำแล้ว งานแต่งนั้นเป็ฝ่าาที่พระราชทานด้วยพระองค์เอง นับเป็วาสนาของรองเ้ากรมอาญาชิวและลูกสาวคนที่สามของกระหม่อม ถึงแม้กระหม่อมจะไม่มียศเป็ขุนนาง แต่ก็เข้าใจในเหตุผลเหล่านี้อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นซีอ้อไปเสียงหนึ่ง จากนั้นก็เบิกตากลมโตมองไปยังหลินหรงเว่ย “ในเมื่อเ้าเข้าใจดีทุกอย่าง แต่เหตุใดจึงยังคิดอยากจะให้สามีข้าแต่งลูกสาวคนที่สามของเ้าหลินหลานซินเข้าจวนหนิงอ๋อง ทั้งยังต้องแต่งเข้าไปในตำแหน่งผิงเฟยอีกด้วย” พูดถึงตรงนี้ ในสายตาของนางก็มีแววกระหายเือยู่หลายส่วน “ไม่ว่าจวนหนิงอ๋องของข้าและจวนเจิ้นหนานอ๋องจะมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่นายท่านหลิน ในฐานะผู้ใหญ่ถึงกับไปหาสามีข้าถึงที่ มิหนำซ้ำยังบังคับข่มขู่ให้เขาแต่งลูกสาวเ้าเข้ามา เื่นี้นับว่าขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] วิ่งห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะวิ่งร้อยก้าว(五十步笑百步)หมายถึง ผู้ที่มีความผิดหรือข้อบกพร่องเช่นเดียวกับผู้อื่น แม้ว่าจะเบากว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะหรือประณามผู้อื่น เพราะถึงอย่างไรตนเองก็มีข้อบกพร่องเช่นเดียวกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้