หลิงจื่อเซวียนลูบหัวของหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความเอ็นดู เส้นผมนั้นทั้งเหลืองทั้งแห้งกร้านราวกับวัชพืช ทิ่มแทงมือเป็อย่างยิ่ง เมื่อมองไปที่แก้มเล็กๆ ของหลิงมู่เอ๋อร์ และรูปร่างที่ผอมแห้งนั้น ในใจของหลิงจื่อเซวียนรู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างยิ่ง
เมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงอายุเท่ากันในหมู่บ้านแล้ว นางดูตัวเล็กเป็อย่างมาก ร่างกายนั้นหากยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวที่เย็นะเื ราวกับว่าจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
ทว่านางมีดวงตาคู่หนึ่งอันแสนงดงาม ดวงตานั้นราวกับดวงดาว ทอแสงเปล่งประกายระยิบระยับ
สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนไปั้แ่ป่วยหนักเมื่อไม่กี่วันก่อน หรือเป็เพราะว่าได้เห็นทั้งความเป็และความตายแล้ว ดังนั้นคนจึงมีอุปนิสัยเปลี่ยนไป?
ทันใดนั้นเขาก็มองน้องสาวตัวน้อยผู้นี้ไม่ทะลุปรุโปร่ง แววตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับเป็อย่างยิ่ง คล้ายกับมีหมู่ดวงดาวเล็กๆ จำนวนมากรวมตัวกัน ทำให้ใบหน้าเล็กๆ ธรรมดานั้นดูพิเศษขึ้นมา
หลิงจื่อเซวียนแช่ตัวในน้ำร้อน ทอดถอนใจยาวอย่างสบายใจ เมื่อครู่นี้มือและเท้าแข็งทื่อ สมองล้วนสูญเสียความสามารถในการไตร่ตรอง หากไม่ใช่เพราะพี่น้องในหมู่บ้านเดียวกันช่วยประคองเขากลับมา เกรงว่าคงจะล้มลงระหว่างทางแล้วลุกขึ้นไม่ได้แล้ว เขารอดชีวิตจากวันที่อับอายนี้ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขาเอง บอกตัวเองมากกว่าหนึ่งครั้งว่าไม่อาจล้มลงไปได้ ไม่สนว่าภายนอกจะถูกดูแคลนและอับอายเพียงใด ขอเพียงแต่นึกถึงความอบอุ่นของที่บ้าน เขาก็สามารถทนต่อไปได้ โชคดี...เขารอดมาได้
ความอบอุ่นในอ่างขจัดความหนาวเย็นของภายนอกออกไป แต่น่าเสียดายที่ความสบายเช่นนี้อยู่ได้ไม่นานนัก เป็เพราะอากาศหนาวเย็น น้ำที่ใช้อาบก็ลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว เขาลุกออกจากอ่างอาบน้ำ ในเวลานี้เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ดังมาจากด้านนอก "พี่ชาย เสื้อผ้าอบเสร็จแล้ว ข้าวางไว้ที่ประตู ท่านอย่าอาบนานเกินไป ระวังจะหนาวนะเ้าคะ"
“ตกลง” หลิงจื่อเซวียนน้ำตาซึม กล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบใจเ้าแล้ว น้องหญิง”
คืนวันนั้น หยางซื่อได้ทำน้ำแกงไก่ให้ทุกคน หลังจากน้ำแกงไก่ร้อนๆ หนึ่งชามลงท้อง ทั้งกินเนื้อไก่อีกชิ้นหนึ่ง ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของวันก็ค่อยๆ หายไป
“ท่านแม่ ท่านอย่าเพียงแต่ดูแลพวกเรา ท่านก็กินด้วยเถิดขอรับ” หลิงจื่อเซวียนใส่เนื้อไก่ลงในชามให้กับหยางซื่อ หยางซื่อไม่้า เขาจงใจพูดด้วยความโกรธ “ท่านแม่ไม่กิน พวกเราก็ไม่กินเช่นกัน หากให้ผู้อื่นรู้ว่าพวกเราไม่กตัญญู เช่นนั้นจะถูกแทงที่กระดูกสันหลังแน่”
หยางซื่อผงะครู่หนึ่ง มองไปที่หลิงจื่อเซวียนอย่างช่วยไม่ได้ นางกินเนื้อไก่ทั้งน้ำตา มองดูเด็กสองคนด้านหน้าด้วยความรักใคร่
“มู่เอ๋อร์ พรุ่งนี้ให้แม่ไปทำความสะอาดถนนเถิด! ” หยางซื่อกล่าว “เ้าอยู่ดูแลน้อง”
“ท่านแม่ ข้ายังเด็ก สามารถทนได้ แต่ถ้าหากท่านล้มป่วย ถ้าเช่นนั้นจะไม่ลำบากหรือเ้าคะ? ” หลิงมู่เอ๋อร์รีบพูด “พวกท่านวางใจ ร่างกายของข้าแข็งแรงยิ่งนัก”
“เ้าเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยหนัก ถ้าหากล้มป่วยลงไปแล้ว แม่จะปวดใจยิ่ง อีกอย่าง เ้าเป็เด็กสาว ไม่สามารถให้รับความหนาวเย็นอย่างที่สุด ไม่เช่นนั้นในภายหลังจากการแต่งงานจะมีปัญหาได้” หยางซื่อทอดถอนหายใจ “หิมะรอบนี้จะตกไปจนถึงมื่อไหร่กัน? ์ยังกลั่นแกล้งเช่นนี้ต่อไป จะใช้ชีวิตต่อไม่ไหวแล้ว”
“ขอเพียงแต่ทำให้ถนนสายนี้สะอาด พวกเราก็สามารถเข้าออกตัวเมืองในอำเภอได้ ชีวิตก็จะดีขึ้นมากเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์วางตะเกียบลง จับมือของหยางซื่อไว้ “ไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะไม่ยอมให้ตนเองเสียเปรียบ ถ้าหากข้ารับมือไม่ไหวก็จะเสแสร้งทำเป็ป่วย พวกเขาไม่อาจทำให้ข้า เด็กสาวหนึ่งคนลำบากใจได้เ้าค่ะ”
“แต่...” หยางซื่ออยากจะพูดอีก หลิงมู่เอ๋อร์คีบเนื้อไก่หนึ่งชิ้นให้กับนาง นางเห็นแล้วจึงรีบร้อนพูด “แม่กินแล้ว เ้าไม่ต้องคีบให้แม่อีก แม่กินเยอะขนาดนั้นไม่ได้ เ้าวิ่งนอกบ้านทั้งวัน อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ ถ้าหากล้มป่วยจะทำอย่างไร? รีบดื่มน้ำแกงไก่ให้มากสักหน่อย ร่างกายของสตรีนั้นเปราะบาง อย่าทำให้แม่กังวลใจเลย”
หลิงมู่เอ๋อร์ขัดจังหวะคำพูดของหยางซื่อได้สำเร็จ หลิงจื่อเซวียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอ่านความคิดของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เมื่อก่อนหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ซับซ้อนและอ่อนแอ เป็เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีความคิดเห็น คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนนี้จะความคิดที่รอบคอบขนาดนี้ เด็กคนนี้เมื่อก่อนเสแสร้งได้เหมือนยิ่งนัก!
สายตาของหลิงจื่อเซวียนร้อนแรงเกินไป ราวกับว่า 'เ้าถูกข้ามองออกแล้ว' แบบนั้น หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งทำเป็มองไม่เห็นสายตาของเขา ดื่มน้ำแกงในชามจนหมดอย่างสง่างาม
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงจากด้านนอก จึงพลิกตัวลุกขึ้นทันที
นี่เป็สัญชาตญาณอีกอย่างหนึ่ง นางปรับตัวเข้ากับร่างกายนี้ได้แล้ว ตอนนี้จึงสามารถตอบสนองได้อย่างปราดเปรียว
ชาติก่อนได้รับการฝึกฝนจากตระกูลมามากกว่าสิบปี นอกจากความรู้ทางการแพทย์ในทุกด้านแล้ว ทักษะคล้ายเสือดาวยังเป็วิชาบังคับอีกด้วย ตอนนี้ิญญาได้รวมเข้ากับร่างกายใหม่แล้ว ทันทีที่ได้ยินเสียงจากภายนอก นางลุกขึ้นและเงี่ยหูเพื่อฟังเสียงภายนอกทันที จากเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิง นางสามารถแน่ใจได้เลยว่าคนผู้นี้เป็เพียงคนธรรมดาเท่านั้น
“เซวียนจื่อ…” เสียงบุรุษวัยกลางคนดังมาจากด้านนอกประตู "เซวียนจื่อ ไปกันได้แล้ว"
หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าชาวบ้านในหมู่บ้านมาหาหลิงจื่อเซวียนก่อนไปทำความสะอาดถนน นางเปิดประตูและเดินออกไป พูดกับคนที่อยู่ในความมืดว่า "พี่ชายป่วยเ้าค่ะ วันนี้ข้าจะไปทำความสะอาดถนนเอง"
ชายผู้นั้นได้ยินเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ พูดด้วยความประหลาดใจ "แม่นางมู่? เ้าเป็สตรีจะทำงานหนักอย่างนี้ได้อย่างไร? "
“พี่ชายของข้าป่วย ท่านพ่อไม่อยู่ น้องชายข้าเป็ไข้ยังไม่ตื่น ที่บ้านจะขาดท่านแม่ไม่ได้ วันนี้ต้องเป็ข้าที่ไปแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์พูดเบาๆ “พวกท่านวางใจได้ ข้าจะไม่เกียจคร้าน ด้านหน้าได้โปรดนำทางด้วยเถิดเ้าค่ะ! ”
“นางหนูผู้นี้ช่างดื้อรั้นจริงๆ ” คนผู้นั้นถอนหายใจพร้อมกล่าว “สถานการณ์ของบ้านของเ้าพิเศษ แต่ทุกครอบครัวต้องมีคนช่วยออกแรง ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากเ้าแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ตามบุรุษผู้นั้นไปยังปากทางูเาที่ถูกปิดกั้น บุรุษผู้นั้นเป็บุรุษจากหมู่บ้าน ชื่อว่าหลิงไฉเสิน ว่ากันว่าเกิดวันเดียวกับไฉเสิน [1] จึงเรียกว่าหลิงไฉเสิน
คนผู้นี้และท่านพ่อของหลิงมู่เอ๋อร์เป็เพื่อนที่เติบใหญ่มาด้วยกันั้แ่อายุยังน้อย ความสัมพันธ์ไม่เลว แม้ว่าสถานการณ์บ้านของเขาเองก็ไม่ดีนัก แต่ยามใดที่สามารถช่วยได้ ครอบครัวของพวกเขาได้ก็จะยื่นมือช่วย ซึ่งดีกว่าญาติที่ไร้น้ำใจไร้คุณธรรมตระกูลหลิงเ่าั้มาก หลิงมู่เอ๋อร์มีบุรุษผู้นี้อยู่ในความทรงจำของนาง ดังนั้นนางจึงสุภาพต่อเขา
เมื่อพวกเขามาถึงปากทางูเา ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว พวกชาวบ้านทยอยกันมาที่นี่อย่างต่อเนื่อง ตอนที่ได้เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ละคนล้วนแสดงท่าทางแปลกประหลาด
หลี่เจิ้งมาเป็คนสุดท้าย นั่นคือบุรุษอายุห้าสิบปี มีรูปร่างหัวอ้วนและหูใหญ่ ดูจากลักษณะน่าจะได้รับผลประโยชน์อย่างเพียงพอ
หลิงมู่เอ๋อร์เดิมทีก็ไม่ชอบคนผู้นี้อยู่แล้ว ตอนนี้นางเห็นคนผู้นี้แล้ว รู้สึกเกลียดชังมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า นางไม่แสดงอารมณ์ออกมา
ในสายตาของทุกคน นางเป็เพียงสาวน้อยร่างบอบบางนุ่มนวลคนหนึ่ง คนที่มาในวันนี้ล้วนเป็บุรุษวัยกลางคนทั้งหมด อายุระหว่างสิบห้าปีถึงห้าสิบปี นางซึ่งเป็สาวน้อยคนเดียวยืนอยู่ในนั้น ดูแปลกมากเป็พิเศษ
"ดาวไม้กวาด [2] ผู้นี้มาได้อย่างไร? " ท่ามกลางกลุ่มคน ชายหนุ่มเช็ดขี้ตาพลางกล่าว "มีเ้าอยู่ที่นี่ วันนี้พวกเราจะยังราบรื่นอยู่หรือ? เหตุใดพี่ชายพิการของเ้าถึงไม่มาเล่า? ให้เ้ามา นี่เป็การถ่วงแข้งถ่วงขาพวกเราอยู่ใช่หรือไม่? ”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่คนผู้นั้น คนผู้นั้นมีใบหน้าที่ดูเยาะเย้ยดูแคลน เหมือนกับท่านแม่ผู้นั้นของเขา เขาเป็ท่านอาเล็กของร่างนี้ นั่นก็คือหลิงหลินลูกชายคนโปรดของหวังซื่อ
หลิงหลินผู้นี้เอาแต่กินแล้วก็นอนอย่างไม่ต้องพูดถึง ทั้งวันเอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในหมู่บ้าน ยังได้คบค้าสมาคมกับหญิงม่ายเ่าั้ด้วย ภรรยาผู้นั้นของเขาแต่เดิมเป็สตรีจากครอบครัวที่ดี ครอบครัวยังถือว่ามีฐานะ เป็ผลให้ถูกบุรุษผู้นี้พึงพอใจครั้นออกไปตลาดก็ถูกฉุดเข้าไปในป่าทำให้ด่างพร้อย จนกระทั่งตั้งท้องมีบุตรขึ้นมา
คนโบราณมักซื่อสัตย์ เมื่อเผชิญกับเื่เช่นนี้ ครอบครัวนั้นถึงทุกข์ใจเพียงใดก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ จึงได้แต่งลูกสาวเข้ามา ด้วยเหตุนี้ตระกูลหลิงจึงมีคนที่ได้รับความทุกข์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
“ท่านอาเล็กพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่างานวันนี้จะขึ้นอยู่กับท่านเป็หลัก ท่านน่าจะไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาทุกคนใช่หรือไม่? ” หลิงมู่เอ๋อร์มองบุรุษผู้โเี้ที่อยู่ตรงข้ามด้วยสายตาเ็า “ทุกคนรู้สถานการณ์ในครอบครัวของพวกเราดี ขาของพี่ชายข้าาเ็สาหัส หลังจากกลับไปเมื่อวานก็ลุกจากเตียงไม่ได้ น้องชายข้าป่วยหนัก ทั้งยังอายุยังน้อย คงจะไม่ลากเขามาทำงานใช่หรือไม่? ท่านแม่ข้าต้องคอยดูแลน้องชาย ในเมื่อทุกครอบครัวต้องออกแรง จึงมีเพียงข้าที่มาแล้ว ขอให้ท่านอาท่านลุงพี่ชายทุกท่านได้โปรดให้อภัยด้วยเ้าค่ะ "
หลิงมู่เอ๋อร์จะไม่พูดกับพวกเขาว่า ‘ข้าจะทำงานให้ดีอย่างแน่นอน พิสูจน์ให้พวกท่านเห็นว่าความแข็งแรงของข้าก็ไม่ได้ด้อยกว่าพวกท่าน’ ถ้าพูดอย่างนั้น นางก็เป็คนโง่เขลาน่ะสิ?
งานประเภทนี้เดิมทีสมควรเป็งานของบุรุษ นางเป็เด็กผู้หญิง เต็มใจจะช่วยเหลือก็นับว่าไม่เลวแล้ว นอกจากนี้ วันนี้มีชาวบ้านมากันห้าสิบคน ในจำนวนนั้นยี่สิบคนล้วนเป็ประเภทเก่งแต่กิน ทว่าเกียจคร้านในการทำงาน ที่เหลืออีกสามสิบคนเต็มใจที่จะทำงาน แต่ทั้งหมดล้วนเป็มีอายุมากหรือมีร่างกายที่ป่วย จะมีสักกี่คนที่สามารถทำงานได้อย่างแท้จริง?
ไม่น่าแปลกเลยที่เมื่อวานหลิงจื่อเซวียนจะกลับไปแล้วเหนื่อยมากอย่างนั้น เกรงว่าเมื่อวานเขาคงทำงานอย่างหนัก
“เหอะ! เมื่อวานข้ากลับไปก็ลุกออกจากเตียงไม่ได้! ” อีกหนึ่งคนแสดงความไม่พอใจ
เมื่อเห็นคนผู้นั้น ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเย็นเฉียบเป็อย่างยิ่ง
คนอื่นๆ ในหมู่บ้านยังไม่ได้พูด คนแรกที่จงใจหาเื่นางคือญาติผู้สูงส่งเหล่านี้
ในกลุ่มคนไม่เพียงแต่มีหลิงหลินคนสารเลวผู้นั้น ยังมีลูกชายของท่านลุงรองหลิงจื่อชิ่ง เมื่อสักครู่ที่พูดก็คือหลิงจื่อชิ่งนั่นเอง
นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ยังมีท่านลุงใหญ่หลิงต้าเจียงด้วย
ท่านลุงใหญ่หลิงต้าเจียงอายุไม่น้อยแล้ว แต่เนื่องจากในครอบครัวไม่มีบุตรชาย เขาจึงต้องมาช่วยออกแรง
“พอแล้ว พอแล้ว” หลี่เจิ้งเห็นว่ามีปัญหาได้พอสมควรแล้ว จึงออกหน้าไกล่เกลี่ย เขายิ้มตาหยีให้หลิงมู่เอ๋อร์พร้อมเอ่ยกล่าว “แม่นางมู่ เ้าเป็เด็กผู้หญิง งานขนย้ายหินเ่าั้ไม่ต้องใช้เ้าแล้ว เ้าเพียงแค่ขุดหินเ่าั้ออก ทำความสะอาดถนนก็พอ”
หลิงมู่เอ๋อร์ฟังคำพูดของหลี่เจิ้งแล้ว พูดเบาๆ "ท่านหลี่เจิ้ง งานขนย้ายก้อนหินย่อมเหนื่อยอย่างแท้จริง แต่ว่าข้ายังเด็กอยู่ งานหนักเหล่านี้ให้เป็หน้าที่ของข้าเถิดเ้าค่ะ! ข้าไม่อยากถูกผู้อื่นพูดว่าคนของครอบครัวพวกเราไม่เต็มใจช่วยออกแรง ดังนั้นจึงส่งเด็กผู้หญิงที่ไม่สามารถทำอะไรได้มา ท่านไม่ต้องดูแลข้าเป็พิเศษก็ได้เ้าค่ะ”
เหอะ! จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ อะไรที่เรียกว่างานขนย้ายก้อนหินไม่ต้องใช้นาง? การทำความสะอาดถนนด้วยจอบใช่เื่ง่ายหรือ? เมื่อตอนที่ขนย้ายก้อนหินนางสามารถเลือกขนย้ายได้ ขุดถนนด้วยจอบไม่ใช่เื่ง่ายขนาดนั้น นางต้องรักษาความแข็งแกร่งนั้นไว้ตลอดเวลา ทำงานไม่หยุดเป็เวลาหลายชั่วยาม นางยังไม่ได้กินข้าวเช้า ตอนนี้หิวเป็อย่างยิ่ง แน่นอนว่า คนในยุคนี้ไม่คุ้นชินกับการกินอาหารเช้าเช่นกัน ระยะนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีเสบียงอาหารแล้ว แต่ละวันมากสุดสองมื้อ ทั้งยังมีน้ำเป็ส่วนมาก อาหารมีส่วนน้อย
หลี่เจิ้งฟังคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ดวงตาฉายแววประกายไม่พอใจ เขาคุ้นชินกับการถูกประจบสอพอ ไม่มีผู้ใดไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา นางเด็กผู้นี้ต้องโดนถลกหนังแล้วจริงๆ ตอนนี้ปล่อยให้นางปากแข็งไป อีกสักครู่นางจะต้องร้องไห้ทีหลังแน่
เชิงอรรถ
[1] ไฉเสิน หมายถึง เทพเ้าแห่งความมั่งคั่ง
[2] ดาวไม้กวาด หมายถึง ตัวซวย