“ขาปลอม หากสามารถทำได้ ท่านลุงเมิ่งซานจะเดินได้เหมือนคนทั่ว ไป”อวี๋เจียวอธิบาย
เพียงแต่ขั้นตอนการทำขาเทียมค่อนข้างยุ่งยากโดยเฉพาะวัสดุที่ใช้หุ้มต้นขาเพื่อช่วยในการบังคับอวี๋เจียวไม่รู้ว่าจะหาหนังฟอกที่เหมาะสมได้หรือไม่ โอกาสที่จะทำสำเร็จมีไม่มากนัก
ดวงตาดังดอกท้อของอวี๋ฉี่เจ๋อทอประกายแววตาที่ใช้มองอวี๋เจียวฉายแววลึกซึ้งยิ่งขึ้น“นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของเ้าสอนเช่นกันหรือ?”
อวี๋เจียวหัวเราะ “เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองหลวงข้าเคยเห็นท่านอาจารย์ทำให้ผู้อื่น ดังนั้นคิดจะลองดูสักหน่อยเพียงแต่อาจไม่สำเร็จ เ้าอย่าพึ่งบอกท่านลุงเมิ่งซานกับท่านอาซ่งจะได้ไม่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง”
อวี๋ฉี่เจ๋อพยักหน้า มองอวี๋เจียววาดแม่แบบจนเสร็จอย่างเงียบเชียบในขณะที่อวี๋เจียวนำกระดาษวาดแบบจากไป เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณ”
อวี๋เจียวชะงักกายชั่วครู่ หันหลังกลับมามองอวี๋ฉี่เจ๋อ“หากอยากขอบคุณข้าจริงๆ สอนข้าคัดอักษรเถิด?”
นางไม่มีทางอยู่ในสกุลอวี๋ตลอดไป ภายภาคหน้ายังคงตั้งหลักปักฐานในโลกแห่งนี้ยังต้องพึ่งทักษะการแพทย์ ไม่ช้าก็เร็วต้องเขียนเทียบยาให้ผู้อื่นด้วยตนเองตัวหนังสือของอวี๋ฉี่เจ๋อสวยมากอวี๋เจียวอยากฉวยโอกาสขณะอยู่ในสกุลอวี๋ฝึกคัดอักษรเมื่อเป็เช่นนี้ภายหน้าจะได้ไม่ถึงขั้นเขียนเทียบยาเละเทะจนทำให้ผู้อื่นอ่านไม่ออก
“ได้” อวี๋ฉี่เจ๋อตอบรับ
มุมปากของอวี๋เจียวหยักยิ้ม ใบหน้าเล็กใสสะอาดประดับรอยยิ้มงดงาม“ถ้าเช่นนั้นวันหน้าข้าจะมาให้เ้าสอนคัดอักษรทุกวัน”
รอยยิ้มของอวี๋เจียวเป็ประกายสว่างไสวเกินไป ทำให้อวี๋ฉี่เจ๋อเห็นแล้วมุมปากหยักโค้งโดยไม่รู้ตัวเขาส่งเสียง ‘อืม’ แ่เบา
อวี๋เจียวเอาภาพแม่แบบออกมาข้างนอกนางลอบพิจารณาความยาวของขาอีกข้างและขนาดฝ่าเท้าของอวี๋เมิ่งซานโดยอ้างว่า้าตรวจดูว่าบนกายยังมีอาการบวมหรือไม่หลังจากหลอกถามน้ำหนักของอวี๋เมิ่งซานเรียบร้อยอวี๋เจียวคำนวณน้ำหนักของขาเทียมแล้วแก้แม่แบบอีกครั้งจากนั้นออกไปหาอวี๋เฉียวซานในลานเรือน
หลังจากอวี๋เจียวออกไป อวี๋ฝูหลิงเข้ามาในห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยถามว่า “น้องเล็ก เมื่อครู่นางเข้ามาในห้องของเ้าทำไมกัน?”
อวี๋ฉี่เจ๋อพึ่งจะกางกระดาษใยปอเพื่อเตรียมแบบฝึกคัดอักษรให้อวี๋เจียวคัดตามเมื่อได้ยินอวี๋ฝูหลิงเอ่ยถามเช่นนี้ เขาตอบกลับพลางคัดอักษร“ยืมกระดาษและหมึกขอรับ”
อวี๋ฝูหลิงเดินเข้ามาใกล้ กำชับน้องเล็กของตนเสียงเบาว่า“นังเด็กผู้หญิงคนนั้นจงใจหาข้ออ้างเพื่อเข้าใกล้เ้า ทำเื่ไร้ยางอายเช่นนั้นหากนางมีจิตใจรู้จักละอายอยู่บ้างก็ควรจะไปผูกคอตายแล้ว ท่านปู่เราก็ช่างกระไรยังจะเก็บนางไว้ในจวน ภายภาคหน้าเ้าใส่ใจนางให้น้อยสักหน่อยจะมีภรรยาเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
เบื้องหน้าของอวี๋ฉี่เจ๋อปรากฏภาพดวงตากลมโตดำขลับและรอยยิ้มเปล่งประกายของอวี๋เจียวทันใดนั้นถึงกับสมาธิแตกกระเจิง ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา
“พี่กำลังพูดกับเ้า ได้ยินหรือไม่?” อวี๋ฝูหลิงผลักเขาข้อศอกของอวี๋ฉี่เจ๋อสั่นไหวจนทำให้จรดพู่กันบนกระดาษใยปอพลาดไปหนึ่งเส้นขีด
เขาวางพู่กันขนสุนัขจิ้งจอกในมือลง ถอนหายใจหนึ่งเฮือกอย่างแ่เบา“ท่านพี่ นางไม่ได้เลวร้ายถึงเพียงนั้น ท่านอย่าได้อคติต่อนางถึงขนาดนั้น”
อวี๋ฝูหลิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “หากนางไม่ทำเื่น่าขยะแขยงเช่นนั้นข้าจะอคติต่อนางมากถึงเพียงนี้หรือ? น้องเล็ก เหตุใดเ้าถึงได้แก้ต่างแทนนางขึ้นมา? เ้าคงไม่ได้ถูกนังเด็กนั่นยั่วยวนจนหลงใหลไปแล้วกระมัง? นังเด็กนั่นจะเทียบกับเฉินโหรวได้อย่างไร? ภายหน้าเ้าออกห่างจากเมิ่งอวี๋เจียวให้ไกลสักหน่อยรอกระทั่งร่างกายหายดีแล้วค่อยให้ท่านพ่อไปขอหมั้นหมายที่สกุลเฉินข้ายังรอให้เฉินโหรวมาเป็น้องสะใภ้อยู่!”
“ท่านพี่” คิ้วกระบี่ของอวี๋ฉี่เจ๋อขมวดเข้าหากันใบหน้าใสสะอาดฉายแววเคร่งขรึม “พวกเรากับสกุลเฉินไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรต่อกัน ต่อไปอย่าเอ่ยถึงเฉินโหรวอีกหากผู้อื่นได้ยินเข้าจะไม่เป็ผลดีต่อชื่อเสียงของนาง”
“ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย ไม่มีทางเอ่ยชื่อของนางต่อหน้าคนนอกอย่างแน่นอนข้ารู้ว่าภายในใจของเ้ามีนาง ในตอนแรกหากไม่ใช่เพราะบิดามารดาของนางไร้เหตุผลเื่หมั้นหมายของพวกเ้าสองคนคงถูกกำหนดไปตั้งนานแล้วยังต้องวุ่นวายจนมีนังเด็กเมิ่งอวี๋เจียวที่น่ารำคาญใจผู้นั้นโผล่ออกมาหรือ!”ครั้นอวี๋ฝูหลิงได้ยินอวี๋ฉี่เจ๋อปกป้องชื่อเสียงของเฉินโหรวทั้งแสดงออกอย่างโจ้งแจ้งและไม่แสดงออกอันใดเลยนางยังคิดไปเองว่าน้องชายของตนยังคงคะนึงหาเฉินโหรวอย่างแน่นอน
อวี๋ฉี่เจ๋อค่อนข้างจนปัญญา ไม่อยากอธิบายให้มากความจนเกินไปเขาหยิบตำราที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาหนึ่งเล่มแสร้งทำทีเป็อ่านตำราแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ท่านพี่อย่าเอ่ยถึงเื่ในอดีตอีกเลย”
อวี๋ฝูหลิงทำได้เพียงออกไปจากห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อครั้นกลับห้องก็หยิบตะกร้าเย็บปักถักร้อยขึ้นมาเย็บชุดมงคลของตนเองยามออกเรือนในภายหน้าเมื่อมองลอดหน้าต่างออกไปเห็นอวี๋เจียวในลานเรือนกำลังพูดคุยพลางยกยิ้มกับอวี๋เฉียวซานนางถึงกับอดกระตุกมุมปากไม่ได้
ภายในลานเรือน อวี๋เฉียวซานดูภาพที่อวี๋เจียวเอามาเอ่ยถามด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มว่า “นี่คืออะไร?”
อวี๋เจียวอธิบาย “ขาเทียมเ้าค่ะ รับแรงกดทับเท่านี้ท่านทำได้หรือไม่เ้าคะ?”
อวี๋เฉียวซานพึ่งเคยได้ยินคำว่ารับแรงกดทับเป็ครั้งแรกเพียงแต่ยังเข้าใจความหมายของอวี๋เจียวว่าคงหมายถึงแรงรับน้ำหนักเวลาที่คนต้องสวมใส่เข้าไปชายหนุ่มเอ่ยพลางบีบภาพแม่แบบว่า “บนเขามีต้นไหว [1] เก่าแข็งแรง น่าจะสามารถทำได้ ขาเทียมนี้ทำให้เมิ่งซานงั้นหรือ? เขาจะใช้ได้หรือไม่?”
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการใส่ขาปลอมให้ผู้อื่น อวี๋เฉียวซานลอบพึมพำในใจเคยได้ยินว่าลวี่ต้งปิน [2] เคยทำขาเทียมให้สุนัขแต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการใส่ขาเทียมให้คนนอกจากนั้นลวี่ต้งปินยังเป็เทพเซียนที่มีวิชาเซียนส่วนลึกภายในใจของอวี๋เฉียวซานไม่เชื่อว่าขาเทียมแปลกประหลาดของอวี๋เจียวจะทำให้อวี๋เมิ่งซานเดินได้
ครั้นใกล้เที่ยงวันอวี๋เจียวและสตรีแซ่ซ่งไปทำกับข้าวในห้องครัวด้วยกันหมั่นโถวในเรือนถูกกินจนหมดแล้ว สตรีแซ่ซ่งอยากจะนวดแป้งทำเส้นบะหมี่อวี๋เจียวเคยทำงานฝีมือมาบ้าง นางจึงคลึงแป้งทำบะหมี่บนเขียงอย่างคล่องแคล่วว่องไว
สตรีแซ่ซ่งอยากไปเก็บผักในสวนผัก อวี๋เจียวตามไปด้วยนึกไม่ถึงว่าสวนผักของสกุลอวี๋จะมีมะเขือเทศและกุยช่ายสตรีแซ่ซ่งเก็บดอกตั้งโอ๋จำนวนหนึ่งอวี๋เจียวเก็บมะเขือเทศสุกสามลูกแล้วกลับไปห้องครัวเพื่อหั่นกุยช่าย
เพราะอวี๋เมิ่งซานอยากเข้าห้องน้ำจึงเรียกสตรีแซ่ซ่งไปคอยช่วยเหลืออวี๋เจียวค้นตู้กับข้าวจนพบเข่งใส่ไข่ไก่ นางรู้สึกยินดีอย่างอดไม่ได้หยิบไข่ไก่ออกมาประมาณหกถึงเจ็ดฟอง กะเทาะไข่ไก่จนเกิดเสียงใสกังวานอวี๋เจียวยกมือขึ้น ไข่พลันร่วงลงตาม นางคว้าตะเกียบเจียวไข่อย่างว่องไว
หลังจากจุดไฟในท้องเตา อวี๋เจียวเติมฟืนเข้าไปไม่กี่ท่อนผัดมะเขือเทศผัดไข่อย่างคล่องแคล่ว นอกจากนั้นยังทำกุยช่ายผัดไข่หลังจากเอาเส้นบะหมี่ลงหม้อจึงเทน้ำออก ตามด้วยราดมะเขือเทศผัดไข่ลงไปล้างดอกตั้งโอ๋จนสะอาด หลังลวกน้ำร้อนถึงนำมาคลุกเป็ตั้งโอ๋คลุกเกลือ
หลังจากสตรีแซ่ซ่งปรนนิบัติอวี๋เมิ่งซานเสร็จเรียบร้อยยังเช็ดตัวให้เขาอีกหนึ่งรอบเมื่อกลับมายังห้องครัวพบว่าอวี๋เจียวทำกับข้าวเสร็จแล้ว นางถึงกับตะลึงจนตาค้างโดยเฉพาะยามได้เห็นไข่ไก่ในถ้วย
“แม่หนูเมิ่ง เ้าไปเอาไข่ไก่มาจากที่ใดกัน?” สตรีแซ่ซ่งเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
อวี๋เจียวเอ่ย “ชั้นล่างในตู้กับข้าวเ้าค่ะข้าเห็นว่ามีไข่ไก่อยู่ไม่น้อยเลยเอาออกมาทำกับข้าวไม่กี่ฟอง”
สตรีแซ่ซ่งรีบเปิดตู้กับข้าวออกเมื่อเห็นว่าไข่ไก่ข้างในพร่องลงอย่างถนัดตา นางเอ่ยอย่างกังวลใจว่า“เ้าเอามากี่ฟอง?”
“น่าจะหกเจ็ดฟองเ้าค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าของสตรีแซ่ซ่งไม่สู้ดีนักอวี๋เจียวเอ่ยถามขึ้นว่า “เป็อะไรไปเ้าคะ? ไข่ไก่พวกนี้กินไม่ได้หรือ?”
สตรีแซ่ซ่งเผยสีหน้าลำบากใจ “ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้แต่ไข่ไก่ในจวนล้วนถูกนับจำนวนเอาไว้ เก็บไว้ให้หลานรองและหลานสี่กิน พวกเขาร่ำเรียนอยู่ในสำนักศึกษาอย่างเหนื่อยยากพวกเรา...เอาออกมากินเช่นนี้คงไม่ดีนัก ท่านย่าของเ้าจะไม่พอใจ”
ฮูหยินเฒ่าลำเอียงรักครอบครัวสาม โดยเฉพาะเื่อาหารการกินหากมีของดีภายในจวน ฮูหยินเฒ่าจะหักใจเก็บไว้ให้อวี๋จิ่นซูและอวี๋จิ่นเหยียนของครอบครัวสามกินเท่านั้นยามนี้อวี๋เจียวใช้ไข่ไก่ไปหกเจ็ดฟอง เกรงว่าฮูหยินเฒ่าจะต้องเกิดโทสะเป็แน่
...............
เชิงอรรถ
[1] ต้นไหวคือต้นไม้จีนที่มีดอกสีเหลือง เป็ยาสมุนไพรชนิด
[2] ลวี่ต้งปินจัดเป็เซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดเป็ที่รู้จักของชาวบ้านมากที่สุด เป็เซียนที่มีบุคลิกสำอางและกรุ้มกริ่มตลอดจนยังมีความองอาจห้าวหาญจนเป็ที่เลื่องชื่อในยามปกติมักสะพายกระเป๋าไว้ข้างหลังและท่องเที่ยวไปทุกแคว้น