ณ สำนักิญญาเมฆาในทวีปหลิงอวิ๋น เวลาเก้าโมงเช้าของวันที่สิบเดือนสิบสอง การต่อสู้รอบสิบคนสุดท้ายได้เริ่มต้นขึ้น! ซึ่งเป็เื่น่าเสียดายสำหรับเ้าอ้วนที่ตกรอบยี่สิบคนสุดท้ายไป ไม่สามารถเข้าสู่รอบสิบคนสุดท้ายได้!
ในขณะที่เซียวหลิงอวิ๋น เยี่ยเฟิง จ้าวิเจี้ยน หวังอี้ จางอวิ๋น และหลิวิเฉวียน ต่างก็เข้าสู่รอบสิบคนสุดท้ายตามที่คาดเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีเด็กสาวอีกสองคน คนหนึ่งคือตงฟางไฉ่อวิ๋น และอีกคนคือเด็กสาวชุดสีฟ้าที่อยู่ในกลุ่มเด็กสาวสามคนในร้านฝูอวิ๋นจูคืนนั้น... หยางลู่
และยังมีศิษย์ชายอีกสองคน คนหนึ่งตัวสูงและกำยำชื่อหม่าไข่ และอีกคนที่ตัวผอมชื่อว่าหลิวฉงเฉวียน
ใครก็ตามที่สามารถเข้ารอบสิบคนจากในบรรดาศิษย์นับพันคนได้ สมควรที่จะถูกเรียกว่าเป็ยอดคนแล้ว!
เพียงแต่เซียวหลิงอวิ๋นนั้นน่ากลัวเกินไป เขามีระดับพลังยุทธ์ต่ำที่สุดในบรรดาสิบอันดับแรกและเป็นักยุทธ์ระดับห้าเพียงคนเดียว แต่กลับมีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวและทรงพลัง ทำให้ศิษย์ระดับอัจฉริยะอีกเก้าคนที่เหลือด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด! แม้แต่คนที่โดดเด่นที่สุดอย่างเยี่ยเฟิง ซึ่งเทียบได้กับอัจฉริยะขั้นสูงสุดก็ยังด้อยกว่าเซียวหลิงอวิ๋นในสายตาของทุกคน!
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากเยี่ยเฟิง หยางลู่ และตงฟางไฉ่อวิ๋นซึ่งเป็นักยุทธ์ระดับหกขั้นสูงแล้ว ที่เหลืออีกเจ็ดคนล้วนเป็อัจฉริยะที่เป็นักยุทธ์ระดับหกขั้นสูงสุด ห่างจากการเป็นักยุทธ์ระดับเจ็ดเพียงครึ่งก้าว!
ในขณะที่เซียวหลิงอวิ๋นที่มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าทุกคนคือนักยุทธ์ระดับห้า แต่กลับแซงหน้าอัจฉริยะหลายคน ซ้ำยังทุบสถิติหลายอย่างของสำนัก คว้าอันดับหนึ่งของการทดสอบทั้งสองรอบแรกไป ความสำเร็จนี้ทำให้อดีตดาวเด่นอย่างเยี่ยเฟิง จ้าวิเจี้ยน และอัจฉริยะคนอื่นๆกลายเป็เพียงดวงดาวที่เทียบรัศมีกับดวงอาทิตย์ ไม่อาจเปล่งแสงสู้ได้
การประลองรอบสิบคนสุดท้ายนี้จะต้องน่าระทึกอย่างที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย!
การต่อสู้รอบสิบคนสุดท้ายนี้จะใช้กติกาแบบเผชิญหน้าพร้อมกัน โดยแต่ละคนจะต้องผลัดกันต่อสู้กับอีกเก้าคนที่เหลือ โดยแต่ละคนจะต้องประลองกันเก้าครั้ง รวมทั้งสิ้นสี่สิบห้าครั้ง แล้วจะมาจัดอันดับสิบอันดับแรกโดยอาศัยจากอัตราการแพ้ชนะ!
...
คู่แรกในรอบสิบคนสุดท้ายของศิษย์ระดับกลางในเขตใต้ คือเยี่ยเฟิงพบตงฟางไฉ่อวิ๋น!
ตงฟางไฉ่อวิ๋นอายุสิบหกปี มีส่วนสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเิเ สามารถเอาชนะบรรดาศิษย์ชายเกือบครึ่งมาได้ ซึ่งในบรรดาเด็กสาวด้วยกัน นางเป็คนที่โดดเด่นเป็อย่างมาก เนื่องด้วยความสูงของนาง และไม่ใช่แค่ในเขตใต้เท่านั้น นางเป็หนึ่งในบรรดาศิษย์สาวที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในสำนัก
หากไม่ใช่เพราะหน้าตาของนางด้อยกว่าคนอื่นๆ เพียงเล็กน้อย ด้วยรูปร่างและพร์ของตงฟางไฉ่อวิ๋น นางก็คงได้รับโอกาสอันดีที่จะถูกรับเลือกให้เป็หนึ่งในสิบสตรีอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของสำนักไปแล้ว!
ในเวลานี้ พร้อมด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปากของนาง สาวงามร่างสูงก็ทำมือคารวะให้เยี่ยเฟิง โดยที่ยังถือดาบเอาไว้ในมือ และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "ขอศิษย์พี่ได้โปรดชี้แนะด้วย!"
เมื่อเผชิญหน้ากับสาวสวยร่างสูงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเยี่ยเฟิงยังคงสงบราบเรียบเอาไว้ได้ "เ้าไม่ใช่คู่มือของข้า จะยอมแพ้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย!"
ยอมแพ้? ในที่สุดนางก็สามารถไต่ขึ้นมาสู่สิบอันดับแรกได้ แต่กลับบอกให้นางยอมแพ้โดยไม่สู้อย่างนั้นหรือ?
จริงอยู่ที่เยี่ยเฟิงแข็งแกร่ง แต่ข้าตงฟางไฉ่อวิ๋นก็ไม่ใช่คนอ่อนแอเช่นกัน!
ใบหน้าที่งดงามของตงฟางไฉ่อวิ๋นมืดดำลงเล็กน้อยเมื่อคำพูดที่นอบน้อมของนางถูกตอกกลับ จึงพูดกลับไปอย่างเ็า: "จริงอยู่ที่ดาบในมือของข้ามันไม่ทรงพลังเท่ากับดาบของศิษย์พี่ แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะให้ข้ายอมแพ้โดยไม่สู้ เชิญศิษย์พี่ลงมือเถิด” !”
“เ้าแน่ใจหรือ?” ดวงตาของเยี่ยเฟิงฉายแววดุร้ายออกมา!
"อื้ม!"
ทันทีที่ตงฟางไฉ่อวิ๋นพยักหน้าตอบรับ ใบหน้าที่งดงามของนางก็เปลี่ยนไปทันที ร่างกายที่ดูบอบบางของนางเหาะเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว!
“เ้าแพ้แล้ว!” เสียงของเยี่ยเฟิงดังขึ้น พร้อมกับแสงจากดาบที่เปล่งออกมาในอากาศ!
ชั่วขณะต่อมา ร่างที่กำลังเหาะของตงฟางไฉ่อวิ๋นก็ร่วงลงมาที่พื้น ปรากฏเป็รอยดาบลากจากไหล่ขวาลากมาจนถึงรักแร้! ตามด้วยเสียงดังแกร๊ง ดาบที่ยาวเกือบห้าฉื่อในมือของนางร่วงตกลงมากองที่พื้น!
เมื่อเห็นกระบวนดาบนี้แล้ว ใบหน้าของจ้าวิเจี้ยน หวังอี้ และจางอวิ๋นก็เปลี่ยนไปทันที แม้แต่ดวงตาของเซียวหลิงอวิ๋นยังสว่างขึ้นเล็กน้อย ทั้งความเร็ว จังหวะ และพลังทั้งหมดแทบจะสมบูรณ์แบบ!
ดูเหมือนว่าการประลองรอบสิบคนที่ตอนแรกเขาคิดว่าคงจะน่าเบื่อ ดูเหมือนจะมีคู่ต่อสู้สักหนึ่งถึงสองคนที่คู่ควรให้เขาเอาจริงเอาจัวขึ้นมาบ้างแล้ว!
เซียวหลิงอวิ๋นที่อยู่ในอารมณ์ผ่อนคลายและไม่กังวลอะไรในตอนแรกของการประลองรอบสิบคน เริ่มตื่นตัวขึ้นมาบ้างแล้วในเวลานี้ เขาไม่ควรที่จะดูถูกคู่ต่อสู้ของเขา ในชาติที่แล้วตัวเขาต้องตกจากบัลลังก์ราชันเทพ ก็เป็ผลมาจากการที่เขาประมาทคู่ต่อสู้!
เซียวหลิงอวิ๋นผู้ตื่นระวังเริ่มเอาจริงเอาจังขึ้นมาบ้างแล้ว!
เริ่มรู้สึกว่าการประลองรอบสิบคนนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง!
...
ในอีกสองรอบต่อมา จ้าวิเจี้ยนและหลิวิเฉวียนต่างก็สามารถเอาชนะหม่าไข่และหลิวฉงเฉวียน ซึ่งเป็ศิษย์ที่ผ่านเข้ามาในรอบสิบคนแต่มีชื่อเสียงน้อยกว่าคนอื่นๆ ได้สำเร็จ! หลังจากนั้นเซียวหลิงอวิ๋นได้พบกับคู่ต่อสู้คนแรกของเขาในรอบสิบคน นั่นก็คือหวังอี้!
เมื่อเห็นเซียวหลิงอวิ๋นก้าวขึ้นมาบนเวที หวังอี้ที่ตัวสูงใหญ่ก็สูดหายใจเข้าพร้อมกับเดินออกมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: "แต่เดิมผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรา จะให้ความเคารพกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า และในแง่ของความแข็งแกร่งแล้ว ข้าจะต้องเรียกเ้าว่าศิษย์พี่ แต่ที่นี่ข้าแก่กว่าเ้าอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งปี ทั้งยังเข้ามาร่ำเรียนที่สำนักเร็วกว่าเ้าหนึ่งปี ดังนั้นข้าจึงยังอยากที่จะเรียกเ้าว่า ‘ศิษย์น้อง’ มากกว่า รู้สึกกังวลว่าหากข้าไม่เรียกเ้าเสียตอนนี้ ในอนาคตก็คงไม่มีโอกาสได้เรียนเ้าว่าศิษย์น้องอีกต่อไป ฮ่าๆ!”
“ฮ่าๆ ศิษย์พี่คิดมากเกินไปแล้ว!” เซียวหลิงอวิ๋นเองก็หัวเราะเช่นกัน หวังอี้เป็คนที่มีชื่อเสียงในทางดีในหมู่ศิษย์เขตใต้ เขาเป็คนที่เที่ยงตรงและใจกว้าง แม้ว่าจะไม่ได้เป็สหายสนิทกัน แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำอะไรที่ชั่วร้ายอย่างการวางแผนลับหลังแน่ เซียวหลิงอวิ๋นจึงย่อมรู้สึกยินดีที่เห็นอีกฝ่ายมีไมตรีจิตต่อเขาช่นนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หวังอี้หัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเซียวหลิงอวิ๋นเรียกเขาว่าศิษย์พี่ จากนั้นเขาก็หยุดหัวเราะ แล้วมองไปที่เซียวหลิงอวิ๋นและพูดอย่างจริงจัง "ขอบคุณศิษย์น้องที่เห็นแก่หน้าข้า เดิมทีศิษย์น้องสามารถผ่านชั้นที่เก้าของหอคอยิญญาเมฆา์เก้าชั้นได้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเ้าต้องมีความแข็งแกร่งในระดับที่พวกเราไม่อาจเทียบ แต่ตอนที่ข้าได้เห็นศิษย์น้องสู้กับศิษย์น้องอิ่งอู่เมื่อวานนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกประทับใจมาก! ดังนั้นในวันนี้ แม้ข้าจะรู้ตัวว่าอาจพ่ายให้กับศิษย์น้องแน่ แต่ข้าก็ยังอยากแสดงฝีมือของข้าให้ศิษย์น้องได้เห็น หวังว่าศิษย์น้องจะลองรับสามดาบของข้าดู!
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาแล้ว การช่วยให้อีกฝ่ายสมความตั้งใจเป็อะไรที่ดีกว่าการบดขยี้อย่างรุนแรง! เซียวหลิงอวิ๋นจึงยิ้มและตอบกลับ "ได้ขอรับศิษย์พี่ เชิญตามที่ท่าน้าได้เลย!"
เมื่อได้ยินคำตอบของเซียวหลิงอวิ๋น หวังอี้ก็เคร่งขรึมขึ้นและกล่าวอย่างจริงใจ "ขอบคุณ!"
บนเวทีประลองที่กว้างขวาง ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ห่างกันสิบห้าเมตร หลังจากที่หวังอี้พูดคำว่า "ขอบคุณ" แล้ว พลังปราณในกายของเขาก็เริ่มไหลเวียน พลังอันทรงพลังที่สั่งสมมาเป็เวลานานปะทุออกมาในเวลานี้ ดูเหมือนจะััได้รางๆ ถึงพลังอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา รวมถึงจิตสังหารที่รุนแรง
ในขณะที่เซียวหลิงอวิ๋นยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น ตัวของเขายืนตระหง่านราวกับหอกที่ยื่นออกมาจากประตู แม้จะซ่อนอยู่ในประตูแต่ก็ยังเผยซึ่งความแหลมคมให้เห็น หากประตูไม่เปิดก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าหากประตูเปิดออกเมื่อไร ฟ้าดินจะต้องสั่นะเื!
สามดาบที่หวังอี้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้า ก็คือส่วนหนึ่งของวิชาดาบที่เขาเลือกร่ำเรียนมาจากหอวรยุทธ์ของสำนักิญญาเมฆา ‘วิชาดาบจ้าวทะเลมารเขาโลหิต’ ที่มีเพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น แต่ถึงจะมีแค่สามกระบวนท่า แท้จริงแล้วมีสองกระบวนท่าแรกเท่านั้นที่เขาสามารถใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนกระบวนท่าที่สามนั้นมีโอกาสทำได้สำเร็จไม่ถึงหนึ่งส่วนด้วยซ้ำ เป็วิชาดาบที่มีความยากไม่น้อยเลย!
‘วิชาดาบจ้าวทะเลมารเขาโลหิต’ นี้ไม่เพียงแต่จะมุ่งเน้นไปที่การฆ่าฟันเท่านั้น แต่ยังสามารถฟันให้ตายในดาบเดียวได้ด้วย ให้ความรู้สึกดั่งอยู่ท่ามกลางูเาซากศพและทะเลเื อีกทั้งยังมีพลังรุนแรงเหนือใต้หล้า!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เขาได้เห็นการต่อสู้เมื่อวานนี้ ศิษย์น้องอิ่งอู่ได้รับการชี้นำจากเซียวหลิงอวิ๋นจนวิชาดาบของนางก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ ทำให้หวังอี้บังเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา!
“ชิ้ง!” ดาบยาวถูกชักออกจากฝัก พลังมารสีแดงจางๆ ห้อมล้อมรอบตัวของหวังอี้เอาไว้ ในขณะเดียวกันพลังก็เพิ่มสูงขึ้นจนไปถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง!
“ดี จะชักดาบล่ะนะ!”
ทันทีที่อีกฝ่ายพูดเช่นนี้ เซียวหลิงอวิ๋นก็พลิกข้อมือของตัวเอง ชักดาบใหญ่เหล็กดำที่เพิ่งซ่อมแซมมาไว้ข้างหน้าเขา อยู่ในท่าป้องกัน แล้วในชั่วขณะต่อมา พลังทั้งหมดของเขาก็เปลี่ยนจากหอกที่ซ่อนอยู่ในประตู กลายเป็ูเาที่ตั้งตระหง่านซึ่งไม่มีอะไรมาทำลายได้
"ตูม!"
ด้วยพลังที่พุ่งสูงขึ้นจนถึงจุดสูงสุด พลังมารสีแดงเืที่ห้อมล้อมตัวหวังอี้เอาไว้ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับได้รับคำสั่ง
พลังมารพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อกวนก้อนเมฆที่อยู่สูงเหนือพื้นหลายร้อยจั้งในเวลานี้ให้พากันกระจัดกระจายหนีไป ราวกับฝูงปลาที่ถูกก่อกวน
“กระบวนดาบนี้ มีพลังมารที่ทรงพลังยิ่ง!” บนอัฒจันทร์ ผู้าุโคนหนึ่งกล่าวออกเสียงแ่!
“ดูจากพลังที่ศิษย์คนนี้แสดงออกมา น่าจะเป็วิชาดาบจ้าวทะเลมารเขาโลหิตของสำนักมารโลหิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ดูจากแรงกดดันที่แผ่ออกมา คาดว่าคงจะฝึกฝนมาได้สักระยะหนึ่ง หากตัดสินจากพลังที่แผ่ออกมานี้ คิดว่าน่าจะฝึกไปได้ถึงครึ่งทาง!” ผู้าุโเมิ่งที่ดูแลหอวรยุทธ์กล่าว!
"วิชาดาบจ้าวทะเลมารเขาโลหิต ไม่ใช่ว่าเป็วิชาดาบที่ลือกันว่าเป็ยอดวิชาในระดับลี้ลับไม่ใช่หรือ? ศิษย์ในสำนักสามารถใช้วิชานี้ได้อย่างไร?"
“วิชาดาบจ้าวทะเลมารเขาโลหิตของสำนักมารโลหิตนั้นค่อนข้างพิเศษนัก สามารถใช้ฝึกได้ั้แ่ระดับนักยุทธ์ไปจนถึงระดับผู้ใช้พลังิญญา ว่ากันว่ามีทั้งหมดสิบสามกระบวนดาบ จึงมีอีกชื่อเรียกว่าวิชามารโลหิตสิบสามดาบ โดยสามกระบวนดาบแรกนักยุทธ์สามารถใช้ฝึกได้ ในขณะที่สิบกระบวนดาบสุดท้ายต้องเป็ผู้ใช้พลังิญญาถึงจะฝึกได้ ศิษย์คนนี้คงจะฝึกมาได้ส่วนหนึ่ง หรือก็คือสามกระบวนดาบแรก!” เสียงของชายชราร่างผอมที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันดังเข้าหูเหล่าผู้าุโที่อยู่บนอัฒจันทร์อย่างชัดเจน!
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง ผู้าุโของสำนักหลายคนที่ไม่ทราบเื่นี้ต่างก็โค้งคำนับและคารวะชายชราที่อยู่ตรงกลางทีละคน “ขอบคุณท่านผู้าุโที่ช่วยขจัดความสงสัย!”
“วิชามารโลหิตสิบสามดาบ ยิ่งดาบหลังๆ ยิ่งน่ากลัว แม้ว่าจะเป็สามกระบวนดาบแรกในระดับนักยุทธ์ก็ตามที แต่หากสามารถฝึกจนเข้าถึงแก่นวิชาได้ การที่ผู้ใช้พลังิญญาจะถูกสังหารในดาบเดียวก็ไม่ใช่เื่แปลกเลย หากเด็กหนุ่มคนนี้สามารถใช้พลังสามกระบวนดาบแรกได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นแสดงว่าความสามารถของเขาในด้านวิถีดาบนั้นน่าประทับใจไม่น้อยเลย นับเป็อัจฉริยะที่น่าคาดหวังอีกคนหนึ่ง!”
การที่ผู้าุโสูงสุดของสำนักหลักชื่นชมว่าเขามีความสามารถมาก และเป็อัจฉริยะที่น่าคาดหวัง เมื่อเส้นลมปราณถูกเปิดออกสำเร็จและไม่ล้มตายกลางคัน อย่างน้อยๆ เขาก็จะกลายเป็ยอดฝีมือที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับปรมาจารย์ิญญาอย่างแน่นอน
ซึ่งสิ่งนี้ก็เคยได้รับการพิสูจน์มาแล้วจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมายใน่หลายร้อยปีที่ผ่านมา!
เหล่าผู้าุโต่างก็พากันมองไปยังหวังอี้ที่อยู่บนเวที ดวงตาของพวกเขาล้วนเป็ประกาย! เขตใต้นี้เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดจริงๆ!
ในขณะที่เหล่าผู้าุโกำลังตั้งใจดู ก็ได้ยินเสียงคำรามดังมาจากด้านล่าง
"วิชาดาบจ้าวทะเลมารเขาโลหิตกระบวนที่หนึ่ง ‘เชิดศพคลื่นโลหิต’"
หวังอี้ะโเสียงดัง และแล้วพลังมารโลหิตในดาบยาวในมือของเขาก็ทรงพลังขึ้นกว่าเก่า ทันใดนั้นพลังมารโลหิตก็ะเิออก ในชั่วขณะนี้เองที่ราวกับมีคลื่นละอองเืจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งอยู่ในอากาศ
หวังอี้ชักดาบของตัวเองออกมา ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว พื้นที่โดยรอบหลายสิบเมตรก็ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นละอองเื และภายในคลื่นละอองเืที่แผ่ออกมานี้ ก็มีควันสีฟ้าอ่อนลอยขึ้นมาก่อนจะกลายเป็หุ่นเชิดศพสีฟ้าอ่อนที่ในมือถือหอกแดงยาวแปดจั้ง เลื่อนไหลไปตามคลื่นโลหิตนี้ พุ่งเข้าไปหาเซียวหลิงอวิ๋น!
เมื่อเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดศพที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับพลังที่รุนแรง ดวงตาของเซียวหลิงอวิ๋นก็สว่างวาบขึ้น!
กระบวนดาบของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาจริงๆ! และไม่เคยใช้ในการประลองรอบก่อนๆ เลย นี่จะต้องเป็ไพ่ตายของหวังอี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
กระบวนดาบสังหารอันทรงพลังของนักยุทธ์ระดับหกขั้นสูงสุดนั้นไม่ได้อ่อนแอเลย!
พลังปราณบริสุทธิ์ในกายพลันไหลเวียน ถ่ายเทลงไปที่ดาบใหญ่เหล็กดำในมือของเขา พร้อมด้วยการกวัดแกว่งมือ ดาบใหญ่เหล็กดำก็วาดเป็วงกลม ปล่อยคลื่นดาบออกไปเป็ระลอก เพื่อเผชิญหน้าดาบมารโลหิตที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับหุ่นเชิดศพซึ่งเลื่อนไหลมาตามคลื่นโลหิต
