เฟิ่งสือจิ่นนั่งอยู่หลังม่าน นางท่องคำว่า ‘มารยาทและห้ามใจ’ ในหัวซ้ำๆ เพื่อสั่งไม่ให้ตัวเองมองไปทางนั้น แต่หางตาก็ยังเห็นภาพที่เกิดขึ้นอยู่ดี นางจับจมูกตัวเองแก้เขิน ให้ตายเถอะ คิดไม่ถึงเลยว่าเื้ัของความจริง จะมีฉากที่ร้อนแรงเช่นนี้ซ่อนอยู่
ควรไปหรืออยู่ต่อดี?
ถ้าเดินออกไปตอนนี้ก็ถูกจับได้กันพอดี เห็นความลับของคนอื่นแบบเต็มตาเช่นนี้ จะถูกฆ่าปิดปากหรือไม่? หลังครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเฟิ่งสือจิ่นก็สงบสติอารมณ์ลง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ดูให้จบก่อนแล้วค่อยไปก็แล้วกัน
หลังคิดกลุ้มอยู่เพียงไม่นาน เฟิ่งสือจิ่นก็เลิกลังเล ตอนนี้ ต่อให้จะออกไปห้าม ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว สองคนนั้นทำผิดไปไกลเกินกว่าจะหยุดยั้ง อีกอย่าง นี่เป็เื่ของพวกเขาสองคน ไม่เกี่ยวกับนางเสียหน่อย นางมีหน้าที่รักษาโรคของพระสนมอวี๋ ไม่ได้มาเพื่อดึงเขาควายออกจากหัวของฮ่องเต้เฒ่าเสียหน่อย
เฟิ่งสือจิ่นดึงม่านมาบังภาพตรงหน้าจนมิดเพื่อปิดกั้นสายตาของตนเอาไว้อย่างรู้มารยาท นี่ขนาดเพิ่งเริ่ม เืกำเดาของนางก็ไหลออกมามากขนาดนี้แล้ว หากยังดูต่อไป เมื่อถึงฉากที่ดุเดือดเืพล่านในตอนท้าย นางต้องเืไหลหมดตัวแน่
อารมณ์เข้าครอบงำ ทำให้ทั้งสองกอดรัดกันอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ยังดีที่ซวงเอ๋อร์เกรงว่าคนรับใช้คนอื่นๆ จะรู้ความลับระหว่างตนกับพระสนมอวี๋ จึงมักจะไล่ให้คนใช้คนอื่นๆ ออกไปจากตำหนักในเวลากลางคืน ในยามนี้ ไม่มีใครได้ยินเสียง หรือมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้แน่ แน่นอน พวกเขาลืมไปแล้วเช่นกันว่าเฟิ่งสือจิ่นยังนอนอยู่ในห้องข้างๆ และคงไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าขณะนี้ เฟิ่งสือจิ่นกำลังซ่อนตัวอยู่ภายในตำหนักของพระสนม
เตียงใหญ่สั่นะเือย่างรุนแรงเกือบทั้งคืน คล้ายกับว่ามันใกล้จะพังเต็มทีแล้ว
ฟังอยู่นาน ในที่สุดเฟิ่งสือจิ่นก็ด้านชาไปเสียแล้ว สิ่งเดียวที่นาง้าในตอนนี้ คือให้คู่รักตรงหน้ารีบๆ เสร็จกิจกรรมเสียที ขอให้ทั้งสองคนเหนื่อยจนหมดสติไปเลยยิ่งดี นางจะได้แอบย่องออกไปจากตำหนัก ไม่เช่นนั้น หากรอจนฟ้าสว่าง นางต้องลำบากแน่
กระทั่งท้องฟ้าใกล้จะสว่าง คนบนเตียงถึงหยุดกิจกรรมลงอย่างช้าๆ
น้ำมันในตะเกียงถูกจุดจนใกล้จะหมดเต็มที แสงในห้องกลายเป็สีเหลืองอ่อนที่ทั้งอ่อนโยนและสบายตา เฟิ่งสือจิ่นเห็นข้างนอกเงียบลง จึงเปิดม่านตรงหน้าออกช้าๆ พบว่าคนทั้งสองหยุดลงแล้ว และกำลังนอนกอดกันอยู่บนเตียงอย่างสงบ
เฟิ่งสือจิ่นรอต่ออีกครู่หนึ่ง กระทั่งเสียงหายใจของคนทั้งสองเริ่มสม่ำเสมอ ดูเหมือนพวกเขาจะหลับลงแล้ว นางถึงยกชายกระโปรงขึ้น แล้วแอบย่องออกไปจากหลังม่านอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ประตูทางออกต่อทันที
อาจเพราะราตรีนี้เงียบสงัดมากเหลือเกิน เสียงเสียดสีเบาๆ จากเสื้อผ้าของเฟิ่งสือจิ่นจึงเด่นชัดเป็อย่างมาก ในตอนที่นางใกล้จะเดินไปถึงประตู จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง เสียงนั้นร้องถามอย่างระแวง “นั่นใครน่ะ?” เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งใ รีบวิ่งตรงไปที่ประตูอย่างไม่คิดชีวิต
ทว่าซวงเอ๋อร์รวดเร็วกว่ามาก เสียงฝีเท้าเบาหวิวดังขึ้นที่เื้ั เพียงพริบตาเดียว แขนหนึ่งก็จับไหล่ของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้แน่น แล้วออกแรงดึงอย่างกะทันหัน เฟิ่งสือจิ่นไม่ทันได้ตั้งตัว นางรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวไหล่ ก่อนร่างจะถูกดึงจนหันกลับไป และถูกดันให้ถอยจนหลังชนประตู ไม่เพียงเท่านั้น ยังถูกใครบางคนบีบคอเอาไว้อีก
ซวงเอ๋อร์มองคนตรงหน้าชัดๆ เมื่อเห็นรอยเืที่ใต้จมูกกับชายเสื้อของเฟิ่งสือจิ่น เขาก็ชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะมีสีหน้าเย็นะเืยิ่งกว่าเดิม “เ้าเองหรือ”
พระสนมอวี๋สะดุ้งตื่นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น นางลุกขึ้นนั่ง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างกายเอาไว้ ท่าทางของนางในตอนนี้ดูอ่อนแรง แถมยังน่าหลงใหลเป็อย่างมาก ภายใต้ความบอบบาง กลับแฝงไปด้วยความดึงดูดและยั่วยวนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเห็นเฟิ่งสือจิ่นชัดๆ พระสนมอวี๋ก็ร้องอุทานขึ้นด้วยความใ “แม่นางสือจิ่น?” สีหน้าของนางแฝงไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายและซับซ้อน นางรู้ดีว่าเฟิ่งสือจิ่นรู้ความลับของตนกับซวงเอ๋อร์แล้ว จึงทั้งเขินอาย โมโห และละอายใจจนยากจะอธิบาย
ซวงเอ๋อร์สวมกางเกงชั้นในกับเสื้อบางๆ คลุมร่างกาย แต่ถึงกระนั้น เฟิ่งสือจิ่นก็ยังเห็นถึงความแตกต่างของร่างกายนี้กับซวงเอ๋อร์ในตอนกลางวันได้อย่างชัดเจน เฟิ่งสือจิ่นยิ้มแห้งๆ “เดิมที ข้าอยากจะแสร้งทำเป็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนตอนนี้จะทำไม่ได้เสียแล้ว”
ซวงเอ๋อร์ออกแรงบีบมากยิ่งขึ้น แววตาคู่นั้นแฝงไปด้วยรังสีสังหารที่มีแค่เฟิ่งสือจิ่นเท่านั้นที่รับรู้ได้ เขาพูดขึ้นในท่ายืนหันหลังให้พระสนมอวี๋ “ก่อนหน้านี้ เ้านึกเมตตานาง ไม่ยอมให้ข้าฆ่านาง แต่ตอนนี้นางรู้ความลับของเราแล้ว หากยังปล่อยไว้ พวกเราต้องเดือดร้อนแน่”
พระสนมอวี๋ยังคงลังเล ดูก็รู้ว่านางเป็คนใจอ่อนและขี้สงสาร “แต่นาง... ไม่เคยทำร้ายเรามาก่อน...”
“หากไม่ใช่เพราะนางกับอาจารย์ของนาง เื่ก็คงไม่เป็แบบนี้” ซวงเอ๋อร์บอก
เฟิ่งสือจิ่นอยากเปล่งเสียง แต่ซวงเอ๋อร์กลับออกแรงบีบแน่นยิ่งขึ้น ทว่าเฟิ่งสือจิ่นก็ยังฝืนพูดออกมาจนได้ “หากไม่ใช่เพราะข้ากับท่านอาจารย์ ถ้าเ้าปล่อยให้นางกินยาห้าสหายต่อ นางก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่แน่ ฝ่าาอาจสั่งให้หมอหลวงคนอื่นมาตรวจรักษาแทนก็ได้ ถ้าเป็แบบนั้น ไม่ช้าก็เร็ว สักวันพวกเขาก็ต้องรู้อยู่ดี... ข้าแค่คิดไม่ถึงว่าเ้าที่เป็ผู้ชายจะปลอมตัวมาอยู่ข้างกายพระสนมอวี๋อย่างไม่เกรงกลัวสายตาผู้ใดเช่นนี้ หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป พวกเ้าต้องไม่รอดแน่”
“ในเมื่อเป็แบบนี้ คิดว่าข้ายังจะปล่อยให้เ้ารอดชีวิตต่อไปหรือ?” ซวงเอ๋อร์พูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ
“ซวงเอ๋อร์...” พระสนมอวี๋ส่ายหน้าเบาๆ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา “อย่านะ...”
ซวงเอ๋อร์แข็งแรงมาก มือที่บีบคอค่อยๆ ยกร่างของเฟิ่งสือจิ่นขึ้นไปในอากาศ เท้าทั้งสองข้างของเฟิ่งสือจิ่นลอยขึ้นเหนือพื้น นางพยายามถีบขาขัดขืน มือก็ทั้งจิกทั้งข่วนแขนของซวงเอ๋อร์อย่างบ้าคลั่ง เพราะหายใจไม่ออก ใบหน้าจึงแดงก่ำ นางเค้นเสียงลอดไรฟัน “ถ้าข้าตาย พระสนมอวี๋ก็ไม่รอดเหมือนกัน!”
ซวงเอ๋อร์คลายมือลงเล็กน้อยเพื่อเปิดโอกาสให้เฟิ่งสือจิ่นได้หายใจ
เฟิ่งสือจิ่นไอระคนหายใจหอบอย่างแรง นางมองไปยังซวงเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม สีหน้าไร้ซึ่งความหวาดกลัว “ดูเหมือนเราทุกคนจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือต่างก็ไม่อยากตาย... วันนี้เ้ากับพระสนมอวี๋มีความสัมพันธ์กัน วันหน้า หากพระสนมอวี๋ไปปรนนิบัติฝ่าาแล้วถูกจับได้ว่านางไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์ เ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น? เ้าปลอมตัวเป็หญิงรับใช้ อาจจะปลอดภัยและใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่คงไม่ใช่กับนาง เมื่อวันนั้นมาถึง เ้าต้องทนเห็นนางตายไปต่อหน้าต่อตา นี่น่ะหรือ ความเป็สุภาพบุรุษ ความเป็ลูกผู้ชายของเ้า ก่อนหน้านี้ เ้ายังบอกว่าไม่อยากให้นางตายอยู่เลยไม่ใช่หรืออย่างไร...”