ผู้ใหญ่บ้านจ้าวเดินไปหาฉือหาง พูดเบาๆ ว่า "ก่อนหน้านี้คนในหมู่บ้านออกเงินหนึ่งร้อยเฉียนต่อครอบครัว พวกเราเตรียมซื้อของบางอย่างให้พวกเ้า แต่ตอนนี้เมื่อนับแล้ว เหลือเพียงหนึ่งพันสามร้อยเฉียน ส่วนสองร้อยเฉียนที่เหลือครอบครัวของข้าออกให้ พวกเ้าไม่ต้องออกเงิน ”
ไม่มีใครคัดค้านสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านพูด พวกเขาจ่ายเพียงหนึ่งร้อยเฉียนต่อครอบครัว ยาที่พวกเขากินในเวลานั้นก็มีราคาสูง เมื่อเทียบกับหมอคนอื่นแล้ว ราคานี้ถูกกว่ามาก
นอกจากความขอบคุณต่อครอบครัวฉือหางแล้ว พวกเขาไม่รู้สึกอิจฉาเลยแม้แต่น้อย
คนข้างล่างอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียง "ถุย" แล้วก่นด่าว่า "นี่มันอะไรกัน คนเถื่อนทางเหนือนี่ทำกันเกินไปจริงๆ วันๆ เอาแต่รบ พวกเขาไม่ต้องดูแลคนในครอบครัวหรือไง?"
"รีดไถเงินจากพวกเรา เช่นนี้ก็ได้ดูแลครอบครัวของพวกเขาอย่างดีแล้วไม่ใช่หรือ?" ชายร่างผอมคล้ายลิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปบนฟ้าอย่างว่างเปล่า "ชีวิตนี้ไม่รู้จะอยู่ต่อไปอย่างไรแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าทหารในกองทัพจะสามารถปกป้องบ้านเมืองไว้ได้หรือไม่ คาดว่าเงินส่วนใหญ่จะไปตกอยู่ในมือของเ้าหน้าที่รัฐที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงกระมัง”
“เ้าพูดถูก ถ้าเงินทั้งหมดถูกส่งไปที่กองทัพจริงๆ พวกเราจะไม่รู้สึกแย่เลย แต่สิ่งที่เรากลัวนั้นคือเ้าหน้าที่บางคนจะยักยอกเงินที่พวกเราทำงานหามาอย่างยากลำบาก!”
“หลังจากจ่ายเงินเหล่านี้ อีกไม่ช้าพวกเราก็ต้องเสียภาษีที่ดินอีก ถึงตอนนั้นพวกเราจะต้องเสียมากกว่านี้หรือไม่ ชีวิตนี้อยู่ยากขึ้นทุกวันแล้ว” หญิงชราพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ชีวิตนี้ยิ่งอยู่ยากขึ้นทุกวันจริงๆ!”
"ข้าจะไม่จ่ายเงินแล้ว! ข้าจะไปรบที่แนวหน้า ขับไล่คนป่าเถื่อนพวกนั้นออกไปจากแคว้นของเรา!" ชายอายุประมาณสามสิบปีถอดผ้าเช็ดเหงื่อออกจากไหล่ ะโด้วยใบหน้าเ็า
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ชาวบ้านก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ถ้าพวกเขามีเงิน มีใครบ้างที่อยากจะไปที่สนามรบ นั่นเป็การเอาชีวิตเข้าแลกเชียวละ
ไม่ว่าผู้คนจะบ่นอย่างไรในตอนนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ทำได้แค่บ่นด้วยปากเท่านั้น ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือต่อไป
หลินกู๋หยู่อุ้มโต้ซาเป็เวลานาน ไหล่ของนางปวดเมื่อยมาก ดังนั้นนางจึงวางโต้ซาลงและเดิน พวกเขาทั้งสามคนไม่ได้รีบร้อนนัก
หลินกู๋หยู่คิดว่าจะกลับไปเยี่ยมคนที่บ้านสกุลหลินในอีกสักพัก
เงินแปดตำลึงในตอนนั้น แม้ว่าพวกเขาจะใช้จ่ายไปกับค่าเรียนหนังสือไปสองตำลึง แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังมีเงินเพียงพอสำหรับจ่ายภาษีต่อหัว
หลินกู๋หยู่จับมือของโต้ซาเดินเคียงข้างฉือหาง "าต่อเนื่องหลายปีเช่นนี้ เมื่อไรจะจบลงเสียที!"
น้ำเสียงอ่อนโยนทว่าดวงตาเศร้าหมอง ฉือหางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เอื้อมมือไปจับมือของหลินกู๋หยู่
"เ้า"
ฝ่ามือร้อนและอุณหภูมิที่ร้อนแรงไหลผ่านร่างกายไปตามฝ่ามือ
นิ้วมือกับนิ้วมือัักันแแ่
ด้านนอกมีคนจำนวนมาก ใบหน้าของหลินกู๋หยู่เปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ นางพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงมือของตนเองออก แต่ไม่คิดเลยว่าฉือหางจะจับมือของนางไว้แน่นมาก
“ปล่อยมือ ที่นี่คนเยอะ!” หลินกู๋หยู่กระซิบ ไม่กล้ามองคนรอบข้าง นางไม่กล้าพูดดังมากเพราะกลัวคนพวกนั้นจะมองมาทางนี้
"มันจะไม่รุกรานมาถึงพวกเราทางนี้" ฉือหางกล่าว มองไปที่มือของพวกเขาสองคนอย่างลังเล สายตาปรากฏความเหงาหงอยเล็กน้อย ลังเลที่จะปล่อยมือของนาง
"ข้าเข้าใจแล้ว" หลินกู๋หยู่พยักหน้า หันศีรษะและมองไปที่โต้ซาที่อยู่ข้างๆ "ไม่รู้ว่าจะมีกี่คนที่ต้องสูญเสียคนในบ้าน"
บ้าน
บ้านเคยเป็สถานที่ที่อบอุ่น ทว่าั้แ่แม่จากไป นางก็ไม่มีคำว่าบ้านอีกต่อไป
“และแม้ว่าจะรุกรานมาถึงที่นี่ ข้าก็จะปกป้องเ้า” ฉือหางเงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่ ดวงตาเผยความจริงใจ
"ข้ารู้แล้ว" หลินกู๋หยู่ไม่กล้ามองฉือหางแม้แต่เศษเสี้ยว นางไม่กลัวาหรืออะไรทั้งนั้น ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ก็แค่ซ่อนตัวให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางเป็เพียงสามัญชนธรรมดาทั่วไป ไม่มีค่าควรแก่การเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
"อีกสักพักไปถามไถ่ที่บ้านท่านแม่ยายดีหรือไม่?" ฉือหางหันศีรษะไปมองที่หลินกู๋หยู่ พูดเบาๆ ว่า "ถ้าทางบ้านแม่ยายไม่มีเงิน พวกเราก็ส่งไปให้?"
หลินกู๋หยู่หันศีรษะไปมองฉือหางด้วยความงุนงง
ฉือหางมองหลินกู๋หยู่ที่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างงงงวย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย "เป็อะไรหรือ?"
หลินกู๋หยู่ส่ายศีรษะเบาๆ รู้สึกถึงความรู้สึกที่แตกต่างในใจของนาง
เขานึกถึงคนอื่นเช่นนี้ทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยนึกที่จะปกป้องตัวเอง?
เมื่อมองเขาที่เป็เช่นนี้ นางรู้สึกเป็ทุกข์อยู่หลายส่วนโดยไม่มีเหตุผล
“เ้าสาม!” จู่ๆ เสียงของโจวซื่อก็ดังมาจากด้านหลัง
“ท่านแม่” ฉือหางรีบร้องเรียกด้วยความเคารพ
“ท่านแม่” หลินกู๋หยู่ลดศีรษะลง
“ท่านย่า” โต้ซาอุทานอย่างตื่นเต้น
โจวซื่อแตะที่ศีรษะของโต้ซาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพูดอย่างลังเลว่า "ข้าไม่รู้ว่าพวกเ้ายังมีเงินอยู่หรือไม่ เ้าก็รู้ด้วยว่าในครอบครัวของพวกเรามีสมาชิกจำนวนมาก พวกเราอาจจะไม่มีเงินมากมายถึงเพียงนั้น"
พูดพล่ามอะไรกัน
หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองโจวซื่อโดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึกปราดหนึ่ง จากนั้นลดสายตาของนางลงเพื่อซ่อนความไม่พอใจ กัดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ
เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อสองสามวันก่อนโจวซื่อเอาเงินจากพวกนางไปสิบตำลึง สำหรับสกุลโจวแล้ว พวกเขาย่อมมีเงินจ่ายภาษีรายบุคคล
“ท่านแม่” ฉือหางชำเลืองมองหลินกู๋หยู่ปราดหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ครอบครัวของท่าน ไม่ใช่ว่า...”
“เงินเ่าั้เก็บไว้ให้น้องสี่ของเ้าเรียนหนังสือ” โจวซื่อรีบขัดจังหวะคำพูดของฉือหางด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “เ้ามองภรรยาของเ้าทำไมหรือ เ้าเป็หัวหน้าครอบครัว เงินในครอบครัว ไม่ใช่ว่าเ้าเป็คนดูแลหรอกหรือ?”
“ท่านแม่” ฉือหางมองโจวซื่อด้วยความลำบากใจ แม้ว่าเงินสามหรือสี่ตำลึงนั้นจะไม่มากนัก แต่ถ้าเขาต้องให้เงินกับฝ่ายนั้นทุกครั้งที่ต้องใช้จ่าย ไม่ว่าเขาจะทำงานได้เงินมามากแค่ไหนก็เป็ไปไม่ได้ที่เขาสามารถเก็บหอมรอมริบได้
ฉือหางลดสายตาลงเล็กน้อย ชำเลืองมองที่โต้ซาข้างๆ เขา แล้วถอนหายใจเบาๆ “ท่านแม่ ครอบครัวของเราก็ไม่มีเงินมากมายนัก”
“เป็ไปได้อย่างไร” ฟางซื่อเดินไปที่ด้านข้างของโจวซื่อ ใบหน้ายิ้มและจับแขนของโจวซื่อ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ท่านแม่ ที่จริงพวกเราควรจะเห็นใจน้องชายสาม เขาเชื่อฟังคำพูดของภรรยา เขาจะให้เงินกับพวกเราได้อย่างไร?”
สีหน้าของโจวซื่ออัปลักษณ์กว่าเดิม เมื่อนึกถึง่เวลานี้ นางยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น “เ้าสามของข้า ข้าแค่อยากรู้ว่าเ้ายังยอมรับข้าในฐานะแม่ของเ้าหรือไม่?!”
ข้อหาใหญ่โตถูกสวมลงบนศีรษะของฉือหาง?
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วแน่น นางเงยหน้าขึ้นมองฉือหางปราดหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของฉือหางแดงก่ำ เขาลังเลคล้ายอยากจะพูด แต่กระนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“ท่านแม่” ดวงตาของหลินกู๋หยู่ตกลงบนใบหน้าของโจวซื่ออย่างสงบ แม้แต่น้ำเสียงก็ยังราบเรียบ “สิ่งที่ท่านพูดเหล่านี้นั้นไม่ถูกต้อง ในตอนแรกที่ท่านบอกว่าจะแยกครอบครัว พวกเราก็น้อมรับแต่โดยดีและไม่ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ท่านกลับ้าให้พี่ฉือหางจ่ายภาษีรายบุคคลให้คนในครอบครัวของท่านจำนวนมากถึงเพียงนั้นหรือ?”
หลินกู๋หยู่ไม่ได้จงใจลดเสียงลง คนรอบข้างจึงได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเช่นกัน
แต่ละครอบครัวต่างก็มีเื่ราวและปัญหาให้ต้องลำบากใจกันทั้งนั้น
ตอนนี้ทุกคนกำลังกังวลเกี่ยวกับภาษีรายบุคคล พวกเขาต่างก็ยุ่งกับการกลับบ้านของตนเอง
"ทำไมหรือ หลังจากที่เราแยกครอบครัวกันแล้ว ฉือหางก็ไม่ใช่ลูกชายของข้าแล้วงั้นหรือ?" โจวซื่อหน้าแดงด้วยความอับอาย นางชี้ไปที่ปลายจมูกของหลินกู๋หยู่ พูดด้วยโกรธเคืองว่า "เ้าเป็ตัวอะไรหรือ ข้ากำลังคุยกับลูกชายของข้า เ้าเกี่ยวอะไรด้วย!"
หลินกู๋หยู่จับมือของโต้ซาเดินถอยหลัง
กตัญญูรู้คุณคือคุณธรรมอันดับแรก ในร้อยความดี ความกตัญญูมาเป็ที่หนึ่ง
แต่นี่เป็ครั้งแรกที่หลินกู๋หยู่ได้พบเห็นคนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้
"ข้าเป็ภรรยาของเขา" หลินกู๋หยู่หรี่ตาเล็กน้อย มองไปที่โจวซื่อด้วยใบหน้าที่จริงจัง น้ำเสียงของนางจริงจังกว่าเดิม "ท่านมีลูกชายสี่คน สามีของข้าถูกท่านแยกครอบครัวออกมาแล้ว ท่านยังมีลูกชายอีกสามคน ทำไมไม่ให้พวกเขาจ่าย เขามีมือมีเท้า ไม่ได้พิกลพิการอะไร!"
สามี
เพียงสองคำธรรมดา แต่ฉือหางพลันตัวเบาหวิว เมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ อุ่นขึ้น
ั้แ่เขาเริ่มล่าสัตว์เป็ เมื่อครอบครัวไม่มีเงิน เขามักจะถูกสั่งให้ไปล่าสัตว์บนูเาเพื่อหาเงิน หลังจากทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเป็เวลานาน เขาก็เคยชินกับชีวิตเช่นนี้
ไม่มีใครสนใจว่าเขาาเ็หรือไม่ สิ่งที่พวกเขา้าคือเงินเท่านั้น
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลินกู๋หยู่ โจวซื่อก็พูดไม่ออก
“หรือท่านคิดว่าสามีของข้ารังแกง่าย?” หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงของนางเหงาหงอยเสียใจเล็กน้อย “ถึงท่านจะไม่รักไม่เห็นใจลูกชายของท่าน แต่ข้าในฐานะภรรยาจะเห็นใจสามีของข้าไม่ได้เลยงั้นหรือ?”
"เขาเป็คน ไม่ใช่เครื่องจักรทำเงิน เงินที่ได้มาก็แลกมาด้วยชีวิตของเขา" เมื่อหลินกู๋หยู่คิดถึงอาการาเ็บนร่างกายของฉือหาง นึกถึงครั้งแรกที่นางเห็นดวงตาสิ้นหวังต่อการมีชีวิตของเขา นางก็รู้สึกเ็ป เม้มริมฝีปากเบาๆ “ก่อนจะแยกครอบครัว เขาต้องให้เงินท่านทั้งหมดที่มีอย่างแน่นอน”
“ท่านจะบังคับให้เขาขึ้นไปบนูเา ฆ่าหมาป่าและเสือทั้งหมดเพื่อจ่ายภาษีให้พวกท่านงั้นหรือ?” เสียงของหลินกู๋หยู่ค่อยๆ หนักขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะะโด้วยความโกรธว่า “ท่าน้าที่จะบีบบังคับลูกของตัวเองให้ตายจริงๆ หรืออย่างไร?”
ใบหน้าของโจวซื่อซีดขาว ดวงตาของนางสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ นางชี้นิ้วมือไปที่ใบหน้าของหลินกู๋หยู่อย่างสั่นเทิ้ม
“โธ่ๆ” ฟางซื่อเดินบิดเอวไปด้านหน้าแสร้งทำเป็พยุงแขนของโจวซื่อ มองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างประชดประชัน “น้องสะใภ้สาม ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเ้ามีคารมคมคายที่ดีถึงเพียงนี้ ทำไมหรือ ผู้ชายของเ้าไม่ใช้สกุลฉือหรือ?”
“พี่สะใภ้รอง” หลินกู๋หยู่มองไปที่ฟางซื่ออย่างเฉยเมย นางยังจำสิ่งที่ฟางซื่อเคยทำไว้ก่อนหน้านี้อย่างแจ่มแจ้ง คนเช่นนี้มักจะฉวยโอกาสของคนอื่นทุกวัน มองชีวิตของคนอื่นเสมือนของเล่น “สามีของข้าสกุลฉือแล้วจะต้องทำงานเลี้ยงเ้าหรือ เ้าทำงานให้ครอบครัวของข้าหรือทำอะไรให้หรือ?"
“เ้า!” ดวงตาของฟางซื่อเบิกกว้าง มองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยความไม่เชื่อ “เ้ากำลังพูดพล่ามอะไร!”
“ข้าพูดอะไรผิดหรือ?” สายตาของหลินกู๋หยู่เฉยเมย มอดที่เกาะคนอื่นกินไปตลอดชีวิตเช่นนี้ จะมีเหตุผลอะไรได้?
ฉือหางยื่นมือออกไปดึงแขนของหลินกู๋หยู่พลางส่ายศีรษะ
หลินกู๋หยู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยืนอยู่ข้างหลังฉือหางกับโต้ซา
“น้องสะใภ้สาม” ฉือซู่เดินไปด้านหน้า มองไปที่ฉือหางอย่างอึดอัด เขาถอนหายใจเบาๆ “เ้าพูดถูก พวกเราควรจ่ายเงินเอง”
ฉือหางมองฉือซู่ด้วยความลำบากใจ เรียกโจวซื่อที่อยู่ข้างๆ ว่า "ท่านแม่"
โจวซื่อยกมือขึ้นด้วยความโกรธ กำลังจะตบหน้าฉือหาง
ทว่าหลินกู๋หยู่รีบดึงฉือหางออกไปด้านข้าง นางเดินไปข้างหน้าช้าๆ “ท่านแม่ ถ้าท่านไม่พอใจ ท่านตบตีข้าเถอะ ท่านไม่รักลูกของท่าน แต่ข้ายังรักผู้ชายของข้า”
โจวซื่อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ยกมือขึ้นกลางอากาศ จ้องมองที่หลินกู๋หยู่อย่างตะลึงงัน
หลินกู๋หยู่มองที่โจวซื่ออย่างใจเย็น "ข้าผิดเองที่ต่อล้อต่อเถียงกับท่าน ถ้าท่าน้าจะตบตีหรือก่นด่า ท่านมาลงที่ข้าได้"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้