จอมเวทแบ่งแยกตามพลังธาตุที่เชี่ยวชาญ เผ่าปีศาจเองก็เช่นกัน เพียงเปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น ทางฝั่งมนุษย์เรียกว่าพลังเวทธาตุไฟ ทางฝั่งเผ่าปีศาจเรียกว่าเวทเพลิง โม่จ้านมองตนเอง ใคร่รู้ว่าเ้าของร่างเดิมจัดอยู่ในประเภทใด
...ร่างกายนี้ไม่ว่าจะด้านใดล้วนแต่มิเลว เพียงแต่หากสติไม่จดจ่อก็จะรู้สึกง่วงได้ง่าย หรือตนจะเป็ปีศาจง่วงนอนตามตำนาน?
โม่จ้านนึกอยากจะหาเสื้อตัวใหญ่สักตัวมาใส่ เพราะรู้สึกว่าทำตนเองหนาว[1]เสียแล้ว
โม่จ้านเปิดอ่านตำราเย็บเล่มไปทีละหน้า หลังอ่านคำแนะนำและเกร็ดความรู้ง่ายๆ ผลคืออ่านเจอโฆษณากินพื้นที่สิบกว่าหน้าตามที่คาดการณ์เอาไว้ สันตะสำนักและจักรวรรดิอันปู้เอ่อร์เข้าโจมตี ยุทธการกวาดล้างเผ่าปีศาจได้รับชัยชนะและถูกร่ายเรียงเป็ลำดับตามเวลา
ถึงแม้ตนจะมิได้รู้สึกเ็ปราวกับเผชิญด้วยตนเอง ทว่าหลังจากกวาดสายตาอ่านไม่กี่คราภายในใจพลันบังเกิดความรังเกียจรุนแรงปะทุขึ้นมาโดยพลัน --- ศีรษะและศพของเผ่าปีศาจถูกเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้าของเหล่าอัศวิน เหล่าบาทหลวงมองเผ่าปีศาจใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเ็ปแล้วเผยรอยยิ้มน่าขนลุกชวนสะพรึง ในหนึ่งหน้ามีภาพประกอบมีสีสันขนาดใหญ่ ทำให้สภาพน่าเวทนาแลดูน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้น
ต่อให้เผ่าปีศาจจะชั่วร้ายมาก กระนั้นก็มิควรนำภาพเช่นนี้มาให้นักเรียนดูมิใช่หรือ? เหตุใดจึงทำราวกับผู้ก่อการร้ายกำลังฆ่าตัวประกันอย่างไรอย่างนั้น
โม่จ้านพลิกผ่านหน้าภาพประกอบพลางอดกลั้นความรู้สึกไม่ดีเอาไว้ ข้ามไปยังหน้าที่มีข้อความจำนวนมากแล้วเริ่มอ่าน ครั้นนิ้วโป้งัักับกระดาษแข็งด้านหลังตำราเย็บเล่มเล่มเล็ก โม่จ้านพอจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุของการเกิดาระหว่างเผ่าปีศาจกับอันปู้เอ่อร์และไหลเต๋อทั้งสองอาณาจักรแล้ว
เผ่าปีศาจเพิ่งปรากฏตัวอย่างกะทันหันเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนภายในเขตจักรวรรดิอันปู้เอ่อร์ อัศวินรักษาการณ์ค้นพบ ‘มนุษย์’ ชนิดนี้ที่มีเขาบนหัวและด้านหลังมีหางจึงรายงานไปยังสันตะสำนัก แรกเริ่มเดิมทีเหล่าผู้คนคิดเพียงว่าค้นพบเผ่าสัตว์กลายร่างที่ยังไม่รู้จักมาก่อนจึงมิได้ใส่ใจมากนัก
ทว่าหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง มีผู้ดูแลพื้นที่ต่างๆ จำนวนมิน้อยเผยว่าถูกโจมตีจาก ‘สัตว์กลายร่าง’ ชนิดนี้อยู่บ่อยครั้ง กระทั่งภายในเขตอาณาจักรไหลเต๋อยังพบร่องรอยของพวกเขาเช่นกัน เพราะการต้านทานครั้งก่อนพ่ายแพ้ติดต่อกัน ดังนั้นทั้งสองแคว้นจึงร่วมมือกันส่งกองอัศวินออกไปปราบปราม
หลังจากนั้นสถานการณ์ของาจึงขยายขอบเขตกว้างขึ้น เหล่าอัศวินได้ค้นพบสิ่งที่น่าสะพรึงอย่างแท้จริงของเผ่าพันธุ์นี้ นอกจากพลังเวทธาตุทั่วไป หนึ่งในนั้นยังสามารถใช้พลังเวทธาตุมืด การกัดกร่อนและคำสาปได้อย่างต่อเนื่องมิขาดสาย ทำเอากองอัศวินเ็ปทรมานเกินจะบรรยาย จักรวรรดิอันปู้เอ่อร์ต้องใช้เหล่าจอมเวทสูงสุดจึงจะสามารถฝืนประคองระดับความสูสีเอาไว้ได้ ดังนั้นด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาและความชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัว ทำให้ผู้คนนึกถึงปีศาจในตำนานเื่เล่า คำเรียกขานว่า ‘เผ่าปีศาจ’ จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
ขณะต้องวิ่งเต้นทำงานหนักเอาเป็เอาตาย ผู้ติดตามนายทหารนามว่าโท่วน่าค้นพบเื่หน้าประหลาดเื่หนึ่ง เนื่องจากเกิดการลอบโจมตีอย่างกะทันหัน จอมเวทธาตุแสงผู้เป็เ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลถูกสถานการณ์บีบบังคับจนพลัดหลงจากกลุ่มคน นายทหารสั่งให้โท่วน่ากลับไปตามหาคน โท่วน่าพบจอมเวทธาตุแสงหมดสติอยู่ข้างทาง ขณะกำลังจะพาเขากลับไปกลับถูกเผ่าปีศาจที่พลัดหลงเช่นกันพบเข้า คนทั้งสองจึงเริ่มต่อสู้กัน
โท่วน่าพยายามอย่างสุดกำลัง กระนั้นกลับทำได้เพียงใช้ดาบแทงปีศาจจนาเ็เท่านั้น จนในที่สุดก็ถูกปีศาจกดลงกับพื้น ใน่เวลาคับขัน จอมเวทธาตุแสงได้สติและใช้เวทเยียวยากับโท่วน่า ด้วยความบังเอิญพลังเวทแผ่ปกคลุมเผ่าปีศาจด้วยเช่นกัน ภาพที่ทำให้โท่วน่าถึงกับเบิกตาอ้าปากค้างได้บังเกิดขึ้นแล้ว --- ธาตุแสงที่หลั่งไหลออกไปได้ซึมเข้าสู่ร่างกายของเผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจที่ร่างกายสูงใหญ่พลันล้มลงกับพื้น ตามด้วยกุมหน้าท้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเ็ป
ทันทีที่พลังเวทธาตุแสงัักับเืของเผ่าปีศาจ จะทำให้ร่างกายของเผ่าปีศาจเกิดการโจมตีในรูปแบบของการทำลาย
นับแต่นั้นเป็ต้นมา พลังเวทธาตุแสงจึงมีอำนาจน่าเกรงขามอย่างมากในสนามรบ สันตะสำนักที่เชี่ยวชาญในด้านนี้เป็ทุนเดิมยิ่งทุ่มเทสุดกำลัง กระทั่งสมเด็จพระสันตะปาปายัง ‘ยกทัพลงสนามรบด้วยตนเอง’ ตลอดทางร้องเพลงสดุดีชัยชนะ แทบจะกวาดล้างเผ่าปีศาจได้สิ้นซาก เนื่องในโอกาสกระชับสัมพันธไมตรีของสองอาณาจักร โท่วน่าที่ถือเป็ผู้มีความชอบครั้งใหญ่พลันได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากจักรพรรดิอันปู้เอ่อร์เช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น หลังสิ้นากับเผ่าปีศาจ ผู้คนทั้งสันตะสำนักต่างมีประสบการณ์ในการรบและค้นคว้าการโจมตีด้วยเวทธาตุแสงที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เวทธาตุแสงที่มิต่างอันใดกับคำว่า ‘รักษา’ ในสายตาผู้คนกลับกลายเป็หนึ่งในจอมเวทสังหารเผ่าปีศาจ สันตะสำนักสร้างชื่อเสียงได้มิน้อยทีเดียว อีกทั้งยังมีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
เื่ราวจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้ ส่วนเื่การปะาาาปีศาจ คาดว่าคงยังมิทันได้ตีพิมพ์ออกมา
สายตาของโม่จ้านหยุดลงบนไม้กางเขนสีทองอร่ามในหน้าสุดท้าย เขาขมวดคิ้วก่อนพลิกอ่านด้านในหนังสือเย็บเล่มอย่างละเอียดอีกครา
หากเด็กมัธยมต้นจะให้ความสนใจในภาพวาดสนามรบว่าวาดได้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใดนั้นนับได้ว่าเป็เื่ปกติอย่างมาก เพียงแต่โม่จ้านล่วงเลยวัยนั้นมานานมากแล้ว คิดเพียงอยากจะหาข้อมูลที่ตน้าเท่านั้น ทว่าตนพลิกอ่านอยู่หลายต่อหลายหนกลับยังมิพบเนื้อหาที่อธิบายเกี่ยวกับ ‘รัง’ ของเผ่าปีศาจ
คดีก่ออาชญากรรมมักจะมีสถานที่ก่อเหตุแห่งที่สอง ค้นพบในจักรวรรดิอันปู้เอ่อร์ เพียงแต่ต้นกำเนิดอาจจะมิได้อยู่ที่จักรวรรดิอันปู้เอ่อร์เสมอไป หนึ่งาข้ามอาณาจักรครั้งใหญ่ นึกมิถึงว่าจะตระหนี่จนถึงขั้นมิยอมบอกผู้คนภายนอกว่ารังของศัตรูอยู่ที่ใด? ที่นั่นยังจะเป็นรกจริงๆ หรืออย่างไร?
กลัวก็แต่ที่แห่งนั้นคงมีของดีจึงได้แอบเก็บเป็ความลับ โม่จ้านแค่นหัวเราะเสียงเย็น
ถึงแม้จะคันในหัวใจยุบยิบ ทว่าข้อมูลเกี่ยวกับรังเก่าของตนที่ใกล้เคียงกับ ‘เอกสารลับสุดยอด’ เช่นนี้ ตนมิกล้าปริปากเอ่ยถามฉิวอินแม้แต่น้อย ทำได้เพียงปล่อยวางไปก่อน
คำอธิบายเกี่ยวกับความสามารถของเผ่าปีศาจในตำราเย็บเล่มนี้มีอยู่เพียงไม่กี่คำตามคาด มิได้แตกต่างจากที่เก๋อจือกล่าวเอาไว้สักเท่าใด ล้วนแต่กล่าวว่าพลังเวทของเผ่าปีศาจมาจากเขา เพียงแต่ผู้เขียนใช้คำว่า ‘แทบจะทั้งหมด’ ทั้งยังเขียนหมายเหตุไว้ด้านล่างว่า ‘ยังไม่มีข้อสรุป’ และมิได้ยืนยันแน่ชัด เห็นทีเอกสารของทางการยังค่อนข้างรอบคอบอยู่บ้าง เพราะตนก็คือตัวอย่างตัวเป็ๆ มิใช่หรืออย่างไร
โม่จ้านยกยิ้มเจื่อนพลางเกาหัว เคล็ดลับเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและพลังเวทอันเต็มเปี่ยมของเผ่าปีศาจ มีผู้ใดบ้างมินึกอิจฉา? กระทั่งผู้เป็าาเช่นตนได้ฟังยังรู้สึกหวั่นไหว
...ประเดี๋ยวก่อน คล้ายจะมีบางสิ่งมิชอบมาพากล
ทั้งๆ ที่ตนไม่มีเขา กระนั้นฉิวอินกับปาอินกลับมิเคยนึกสงสัย หรือพวกเขาคิดว่าตนถูกบีบให้ตัดเขา ดังนั้นจึงได้สูญเสียพลังเวท? มิเอาน่า เขาของตนยังรอเตรียมพร้อมอยู่ในถุงข้างเอว แม้จะนำติดกลับไปมิได้ กระนั้นก็ต้องไม่มีทางฟื้นฟูได้สิ!
ทันใดนั้นโม่จ้านพลันรู้สึกเย็นเยียบบนหน้าผาก ทั้งๆ ที่สองพี่น้องรู้ว่าเขาของตนหัก กลับยังมั่นอกมั่นใจว่าตนจะฟื้นฟูได้ นั่นมิเท่ากับพิสูจน์ว่า...
โม่จ้านที่เผยสีหน้าแปลกประหลาดหยัดกายลุกขึ้น ยกมือขึ้นแตะหน้าผาก แผ่นกระดาษที่แปะเอาไว้อย่างแ่าถูกถูไถจนหลุดไปแล้ว อีกทั้งยังคลำจนพบัันูนประมาณสองมิลลิเมตรอีกสองจุด
...ที่แท้เขางอกออกมาได้?! นี่มันตัดผักกุยช่ายหรืออย่างไร?!
นับพันนับหมื่นคำยังยากจะอธิบายความรู้สึกในยามนี้ของโม่จ้าน คงมิใช่ว่าตัดครั้งเดียวไม่จบไม่สิ้น หนีครั้งแรกได้ หากแต่มิอาจหนีไปตลอดชีวิต เห็นได้ชัดว่าปีศาจแฝงฝันทั้งสองตนรู้ว่าเขาของตนกำลังเริ่มงอกครั้งที่สองแล้ว ภายหน้าจะปิดบังก็คงมิได้
ปาอินถือถาดอาหารเดินเข้ามา เห็นโม่จ้านยืนกดหัวคิ้วทำหน้าเคร่งขรึมมิเอ่ยสิ่งใด
ครั้นปาอินเห็นรอยนูนไม่เด่นชัดนักบนหน้าผากของโม่จ้าน ดวงตาทั้งสองข้างพลังเปล่งประกาย “ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์เริ่มฟื้นฟูแล้ว ช่างน่าอิจฉาเหลือเกินเ้าค่ะ!”
ดวงตาทั้งสองข้างของโม่จ้านจ้องมองเพดานอย่างไร้ิญญา ตนฉีกแผ่นกระดาษปิดแผลแผ่นใหม่ออกมาแปะหน้าผาก หากตนสามารถมีชีวิตรอดจนถึงยามสุขสงบ มิแน่อาจจะขายเขาจนได้เป็เศรษฐี?
“ปีศาจชั้นสูงจึงจะมีพลังการฟื้นฟูเช่นนี้ แท้จริงแล้วหากเผ่าปีศาจตนอื่นถูกตัดเขาคงมีเพียงแต่ต้องรอความตายเท่านั้น” ปาอินวิ่งมาตรงหน้าโม่จ้าน จ้องมองมือที่กำลังกุมหัวของโม่จ้านด้วยความสงสัย “น่าแปลก ทั้งๆ ที่หลังนายท่านคนอื่นๆ เขาหักและอยู่ในระยะอ่อนแอจะเ็ปถึงเพียงนั้น ทว่าเหตุใดท่านโม่เจ๋อเอ่อร์ดูคล้ายจะมิได้รับผลกระทบ?”
“เอ่อ อาจเป็เพราะชินแล้วกระมัง” โม่จ้านแสร้งทำเป็ทอดถอนหายใจ “แต่ไหนแต่ไรมาก็ตัวคนเดียว ต่อให้อยู่ในระยะอ่อนแอก็ต้องหนีเอาตัวรอด”
แววตาของปาอินมืดสลัวลง “ท่านเจี๋ยหลัวที่อยู่ในระยะอ่อนแอเองก็ดึงดันจะไปช่วยท่านาาปีศาจเช่นกัน ท้ายที่สุดถูกกองอัศวินทำร้ายจนาเ็สาหัส จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราว...”
โม่จ้านลูบศีรษะปาอินเพื่อปลอบโยน
เจี๋ยหลัวผู้นี้ รวมถึงคนทรยศปู้ไหลเต๋อกับภูตแห่งความมืดอามู่ คงจะเป็สามผู้บัญชาการกองพลของาาปีศาจ ทว่ายังเหลืออีกตนหนึ่ง จะเป็ผู้ใดกัน?
เชิงอรรถ
[1] ทำตัวเองหนาว 被自己冷到 หมายถึง ถูกคำพูดหรือการกระทำของตนเองทำให้รู้สึกหมดคำจะพูดหรือนิ่งอึ้ง
