แน่นอนว่าอาจารย์อวี้ที่เป็ภูมิแพ้ไม่สามารถดื้อดึงสอนทั้งที่ป่วยอยู่ได้ จึงจำต้องละทิ้งหน้าที่สำคัญไปก่อน แล้วกักตัวเองไว้ในห้องพักผ่อนอย่างเต็มที่ เื่นี้ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วซาบซึ้งกับการกระทำของสวี่ชิวเยวี่ยในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรก็นับว่ารอดพ้นจากแรงกดดันอันใหญ่โตมาได้ครั้งหนึ่ง ในที่สุดบนใบหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็กลับมามีรอยยิ้มอวดดีอย่างเคยอีกครั้ง
ส่วนสวี่ชิวเยวี่ยถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้อาจารย์อวี้และห้องเรียนของเขาอีก ขณะเดียวกันก็ถูกฮูหยินเยี่ยนตำหนิตักเตือนซ้ำอีกครั้ง ให้นางไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนให้ดี สวี่ชิวเยวี่ยที่เผชิญอุปสรรคซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในรู้สึกกระวนกระวาย แต่ก็ไม่กล้าผลีผลามออกไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเองเพราะไม่อยากเจอเื่ซวยอีก ดังนั้นนางจึงได้แต่อยู่อย่างเงียบสงบเพื่อรอโอกาสอันเหมาะสมที่จะเข้าสู่สนามอีกครั้ง
ความสงบสุขอย่างแท้จริงที่ห่างหายไปนานได้หวนกลับมายังจวนเยี่ยนอีกครั้ง เป็่เวลาแห่งความปรองดอง ความสงบสุข ไม่ว่ามองใครก็รื่นหูรื่นตาไปหมด
ความร่วมมือของเยวี่ยเจาหรานกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น ในห้องมีเสียงหัวเราะอยู่บ่อยครั้ง ความรู้สึกของทั้งสองคนต่างดีขึ้นไม่น้อย
ในอีกคืนอันเงียบสงบ ทั้งสองนั่งตากลมอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน ข้ายอมรับเลยว่ามันสงบสุขมากจริงๆ ราวกับ... ราวกับตอนที่อาจารย์อวี้และสวี่ชิวเยวี่ยยังไม่ปรากฏตัวออกมา เยวี่ยเจาหรานกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทั้งสองนั่งแยกกันบนม้านั่งหินตัวหนึ่ง ดื่มสุราเล็กน้อยใต้แสงจันทร์ บรรยากาศยามนี้แฝงไปด้วยความอบอุ่น
“เ้าคิดว่า อาจารย์อวี้ผู้นี้เหตุใดจึงโชคร้ายขนาดนั้น? ขนมจานนั้น เขากินไปแค่คำเดียวก็โดนเสียแล้ว นี่คงเป็การลงโทษที่์ส่งมาให้เขาเป็แน่!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแหงนหน้าดื่มสุราป่ายอวิ๋นเปียน ไม่สนใจความรู้สึกร้อนผ่าวในลำคอ แล้วหัวเราะกว้างจนตาหยีพลางโจมตีผู้ป่วยอย่างไร้ปรานี
ทว่าเมื่อเยวี่ยเจาหรานได้ยินคำพูดนั้น กลับมีเพียงเสียงหัวเราะแฝงด้วยเลศนัย เยวี่ยเจาหรานเล่นกับจอกเหล้าในมือ เขาหรี่ตาแสร้งเอียงศีรษะมองไปยังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างจริงจังราวกับเป็เื่สำคัญ “เ้าคิดจริงๆ หรือว่าเื่ของท่านอาจารย์อวี้เป็เื่บังเอิญ?”
ฟังจากคำพูดนั้น… หรือว่าเขารู้เื้ัอะไร? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วย่อมจับความผิดปกติของเยวี่ยเจาหรานได้อย่างว่องไว ทันใดนั้นก็ตั้งตัวตรง ดวงตาเบิกกว้างแล้วรีบเอ่ยถาม “เ้ารู้อะไร รีบบอกข้ามาเร็วเข้า!”
จอกเหล้าถูกวางกลับลงบนโต๊ะ เยวี่ยเจาหรานยิ้มอย่างลึกลับ ในใจตรึกตรองว่าควรจะบอกความจริงกับคู่หูของตนดีหรือไม่ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกระแอมเล็กน้อย แล้วยอมเล่าในที่สุด “อาจารย์อวี้เป็ผู้ที่ฮ่องเต้ส่งมา จวนเยี่ยนให้การต้อนรับเขาเป็แขกคนสำคัญ ห้องครัวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาแพ้ถั่วลิสง... ทว่าสวี่ชิวเยวี่ยเปี่ยวเม่ยของเ้าผู้นั้น คงจะไม่ได้รู้เื่นี้จริงๆ”
เมื่อเห็นแววตาที่ลึกล้ำทั้งแฝงความนัยของเยวี่ยเจาหราน ในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็พอจะเดาออกบ้างแล้ว คิดดูแล้วเื่อาการแพ้ของอาจารย์อวี้… จะขาด ‘นักแสดง’ ตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้เลย
“เ้าหมายความว่า... มีใครทำอะไรบางอย่างกับขนมของสวี่ชิวเยวี่ย โดยที่นางไม่รู้ใช่หรือไม่?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็วางจอกลงตามไปด้วย พลางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าว่า คนคนนั้นก็คือเ้าสินะ?”
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เรียบเรียงทุกอย่างได้ โดยเฉพาะในเช้าวันนั้น เยวี่ยเจาหรานตื่นมาแต่เช้าตรู่ แล้วยังวิ่งไปที่ห้องครัว... คงจะเป็ตอนนั้นเอง ที่เขาทำอะไรบางอย่างกับขนมของสวี่ชิวเยวี่ย
ในสายตาของเยวี่ยเจาหราน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นเป็สหายร่วมรบที่สนิทสนมของเขา จึงไม่จำเป็ต้องปิดบังกัน อีกอย่างเื่นี้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็นับว่ามีส่วนได้ส่วนเสีย เยวี่ยเจาหรานนับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เขาไม่เพียงช่วยลดการควบคุมเคี่ยวเข็ญของอาจารย์อวี้ให้นางชั่วคราวเท่านั้น ยังช่วยนางกำจัดการไล่ตามของสวี่ชิวเยวี่ยอีกด้วย
“อืม เ้าเดาถูกแล้ว” เยวี่ยเจาหรานไม่ปิดบังอีก เขาตอบคำถามของเยวี่ยเจาหรานอย่างตรงไปตรงมา
ครั้งนี้ถึงคราวเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตะลึงบ้างแล้ว แต่ความตกตะลึงนี้กินเวลาไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว “ใช้ได้เลยนี่นาเ้าน่ะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำได้สวย!”
ไม่ต่างจากที่คาดไว้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้ต่อต้านหรือรังเกียจเื่นี้จริงๆ ซึ่งก็ทำให้เยวี่ยเจาหรานปลื้มใจอย่างยิ่ง ในน้ำเสียงเจือความภาคภูมิใจอยู่เล็กน้อย “ปกติแล้วคุณหนูสวี่ก็เล่นงานข้าไว้ไม่น้อย คราวนี้ข้าก็แค่ทำกับนางเช่นเดียวกัน จึงจะอยู่ด้วยกันได้!”
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ ...” เสียงหัวเราะของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่มียั้งเลยแม้แต่น้อย มันแทบจะทะลวงผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิดเลยทีเดียว เมื่อมองสีหน้าของนางอีกครั้ง มีเพียงท่าทางที่ราวกับได้เห็นเื่น่าสนุก ทั่วใบหน้าเขียนเอาไว้ว่า ‘พวกเ้าสู้กันเลย ส่วนข้าจะนั่งกินเผือก’
ทว่า่เวลาแห่งความสุขที่ได้เป็ชาวบ้านกินเผือกทำตัวไม่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นก็ไม่ได้ยืดยาวนัก ภายใต้การดูแลรักษาของหมอที่ดีที่สุดในเมืองหลวง อาการแพ้ของอาจารย์อวี้จึงทุเลาลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาอันหวงแหนนั้นก็กลับมาหาเขาอีกครั้ง ผื่นแดงจางลงบวกกับที่อุดอู้อยู่ในห้องไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาสามสี่วัน ถึงกับทำให้ผิวเขาขาวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ปี๊นๆ ชั้นเรียนเล็กของอาจารย์อวี้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว เพื่อนตัวน้อยเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบขึ้นรถเร็วเข้า อย่าเป็คนไปสายกลับก่อนและไม่ยอมทำการบ้านล่ะ! ใบหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ถูกจับไปเรียนอีกครั้งก็ถูกปกคลุมด้วยความมึดมนอีกรอบ เรือนเล็กแห่งจวนเยี่ยนก็ได้หวนกลับสู่ ‘ความไม่สงบ’ อย่างที่ผ่านมาอีกครั้ง
ตอนที่อาจารย์อวี้อยู่ที่เจียงหนาน สถานศึกษาที่เขาสอนคือไป๋เหอถังอันมีชื่อเสียงโด่งดัง ที่นั่น นักเรียนที่ด้อยที่สุดก็ยังมีหัวสมองและพร์อันยอดเยี่ยม กระบวนการในชั้นเรียนคือเ้าถามข้าตอบมีการแลกเปลี่ยนหารือกัน ไม่มีทางที่จะมีสถานการณ์เ็าเช่นส่งไปแล้วไม่มีใครรับแน่นอน แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อาจารย์อวี้รับผิดชอบสอนสั่งในยามนี้ กลับเป็ท่อนไม้ที่ไร้ปัญญาโดยสิ้นเชิง อย่าเพิ่งพูดถึงความสามารถในการท่องหนังสืออะไรเลย เดิมทีเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่ได้มีความสนใจในการท่องหนังสือเลยสักนิดเดียว...
ไม่เพียงเท่านั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังเอาแต่ดื้อรั้นดูแคลนพวกบัณฑิตปัญญาชนทุกวิถีทาง คิดว่าพวกเขาเป็พวกคร่ำครึล้าสมัยไม่เหมาะกับตำแหน่งหน้าที่ ถือเอาวิชาเตะต่อยเป็สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจดั่งของล้ำค่า ภายใต้สถานการณ์ขิงก็ราข่าก็แรงไม่มีใครเห็นหัวใครของทั้งสอง ชั้นเรียนของอาจารย์อวี้จึงยิ่งตึงเครียดห่างไกลความสงบสุขขึ้นไปอีก
ทุกครั้งที่อาจารย์อวี้มอบหมายการบ้านหลังเลิกเรียน ย่อมไม่มีทางที่จะได้ความเคารพที่พึงมีของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับมา ตรงกันข้ามกลับปฏิเสธที่จะทำการบ้านส่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้อาจารย์อวี้โมโหจนถลึงตาพ่นลม แทบจะความดันขึ้น
วันหนึ่งในชั้นเรียน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเริ่มทำตัวเป็ลิงหลอกเ้ายั่วโมโหอาจารย์อวี้ ตอนแรกอาจารย์อวี้ยังไม่ได้สนใจ เพียงแค่สอนตำราของตนต่อ ปล่อยให้อีกคนเล่นไป แต่เมื่ออาจารย์อวี้มอบหมายการบ้านให้ และได้รับวาจาว่าร้ายและการโจมตีของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับมา สุดท้ายอาจารย์อวี้ก็ไม่อาจนิ่งเฉยอีก
“เยี่ยนอวิ๋นเฟย หากเ้ายังทำเช่นนี้ต่อไปอีก ข้าจะไม่สอนเ้าอีกแล้ว เ้าเข้าใจหรือไม่? พฤติกรรมของเ้าเป็การไม่เคารพต่อตำราความรู้ของปราชญ์!” อาจารย์อวี้โมโหจนหน้ามืด โยนตำราในมือออกไป แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ร่างกายยืดหยุ่นว่องไวย่อมหลบหลีกไปได้
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วย่นคิ้ว หลังจากหลบตำราที่พุ่งเข้าใส่ได้ก็ไหวไหล่ เอ่ยอย่างเก้อเขิน “ท่านอาจารย์อวี้ นั่นเพราะท่านไม่รู้ บทประพันธ์นี้หากถูกข้าอ่านแล้วมันจะเสื่อมเสียมีมลทินเอานะ ท่านประหยัดแรงเอาไว้เถอะน่า!”
“ไม้ผุไม่อาจสลัก! [1]” อาจารย์อวี้กลอกตา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ไม่คิดจะอยู่ต่อแม้ชั่วครู่ สถานการณ์หลุดการควบคุมไปชั่วขณะ แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับวางท่าเป็ผู้ชนะ แทบอยากจะยกขาเหยียบเก้าอี้หัวเราะเยาะอาจารย์อวี้ที่วิ่งหนีไปแล้วครึ่งทาง ทว่านางไม่ได้เอ่ยอะไร ก่อนจะเดินฮัมเพลงกลับเรือนไป
เชิงอรรถ
[1] ไม้ที่ผุแล้วไม่สามารถแกะสลักได้ (朽木不可雕) หมายถึงคนที่เกินเยียวยา ไม่สามารถขัดเกลาสอนสั่งได้