การพุ่งเข้ามาติดต่อกันสามครั้งของสิงโตดาบทองถูกเย่เทียนเซี่ยหลบหลีกได้หมดอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นเขาก็ย่นระยะห่างเข้ามาอย่างรวดเร็วจนระยะห่างที่ประชิดเข้ามาอยู่ในระยะมากพอที่จะตอบสนองกลับไป หลังจากที่มอนสเตอร์โจมตีเสร็จจะเว้นช่องว่างใหญ่บ้างเล็กบ้าง และช่องว่างนั้นเองคือโอกาสในการโจมตีที่เย่เทียนเซี่ยไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้ การเคลื่อนที่อาจจะมีข้อบกพร่องไปบ้าง ถ้าสิงโตดาบทองยื่นอยู่ตรงนั้นไม่ขยับและไม่โจมตีออกมาก่อนปฏิกิริยาตอบสนองของเย่เทียนเซี่ยก็จะมีความรู้สึกว่านั่นเป็่จังหวะที่ไม่ควรลงมือ
เงาร่างของเย่เทียนเซี่ยพลิ้วไหวต่อเนื่องไม่หยุดนิ่งเหมือนลม มันขยับวูบไหวไปมาในสายตาของสิงโตดาบทองไม่หยุด ทุกครั้งที่มันพุ่งไปทางเขาทันใดนั้นมันก็จะรู้สึกเหมือนร่างตรงหน้าหายวับไปและร่างของมันเองก็พุ่งเข้าใส่เพียงความว่างเปล่า........ แล้วทุกครั้งมันก็จะพลาดไปอย่างหวุดหวิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ยังไม่อาจััร่างของเขาได้สักที
อารมณ์หงุดหงิดและคลั่งแค้นเปล่งประกายเรืองรองอยู่ในดวงตาทั้งคู่ของสิงโตดาบทองราวกับกองไฟกองหนึ่งที่พร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา สิงโตดาบทองที่พุ่งเข้าหาความว่างเปล่าต่อเนื่องหลายครั้งไม่ได้กลับไปทำการโจมตีเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่มันกลับใช้กรงเล็บตะกุยพื้นดินแล้วใช้ทักษะ “สิงโตพุ่ง”ที่มาพร้อมกับแรงกดดันพุ่งเข้าหาเย่เทียนเซี่ย
ภายใต้ความช่วยเหลือของดวงตาัปีศาจ เย่เทียนเซี่ยที่รู้ข้อมูลทักษะของสิงโตดาบทองทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่งก็ดูออกได้ทันทีว่าทักษะที่มันกำลังเตรียมจะใช้ออกมาคืออะไรจากการกระทำที่มันเพิ่งจะแสดงออกมา เขาถอยหลังไปเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้ม จากนั้นก็ทักทายร่างของเ้าสิงโตที่พุ่งเข้ามาด้วยการพุ่งตัวสวนกลับไป........ แน่นอนว่าเขาไม่โง่พอที่จะจำไม่ได้ว่าเ้าสิงโตดาบทองมีการโจมตีอันน่ากลัวที่มีความเป็ไปได้สูงมากที่จะสร้างความเสียหายได้ถึงสองเท่าและตามมาด้วยสถานะมึนงง แต่ว่า........
ระยะห่างของหนึ่งคนหนึ่งสิงโตใกล้เข้ามา ทันใดนั้นเย่เทียนเซี่ยก็ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อยแล้วะโขึ้นสูง เขาทะยานผ่านอากาศว่างเปล่าข้ามร่างใหญ่โตของสองโตดาบทองไปจากนั้นก็ร่วงลงบนพื้นอย่างมั่นคงทว่าเขาไม่ได้หันกลับไปโจมตี แต่กลับเพิ่มความเร็ววิ่งเข้าไปทางผนังของถ้ำหินอันแปลกประหลาด
สิงโตดาบทองที่โจมตีเข้าใส่ความว่างเปล่าอีกครั้งร้องคำรามออกมาออกมาอย่างดุร้าย มันหมุนตัวกลับด้วยความรวดเร็วแล้ววิ่งตามเย่เทียนเซี่ยไป ความเร็วในการเคลื่อนที่ของสิงโตดาบทองอยู่ที่ประมาณ 130 หน่วย มันรีบกระชับระยะห่างระหว่างตัวมันเองกับเย่เทียนเซี่ยอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปเพียงไม่นานมันก็ต้อนเย่เทียนเซี่ยจนไปติดอยู่ที่หน้าผนังถ้ำโดยไร้ทางหนี
มันใช้ทักษะสิงโตพุ่งอีกครั้งพร้อมพลังกดดันและพลังโจมตีมหาศาลพุ่งไปทางเย่เทียนเซี่ยที่ถูกต้อนไปจนติดผนังถ้ำ เย่เทียนเซี่ยไม่ได้หันกลับมาเขารับรู้ได้ถึงแรงลมด้านหลังที่ใกล้เข้ามา ทันใดนั้นเขาก็ะโขึ้น เมื่อร่างกายไปจนถึงจุดสูงสุดเท้าของเขาก็เหยียบไปบนผนังถ้ำเบาๆแล้วลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศซึ่งเป็จังหวะเดียวกับที่สิงโตดาบทองพุ่งเข้ามาโจมตีพอดี
ปั้ง!!
เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้นมา มันคือเสียงของสิงโตดาบทองที่พุ่งเข้าชนผนังถ้ำ การพุ่งโจมตีมีพลังมหาศาลนำมาซึ่งแรงสะท้อนกลับที่ทำให้สิงโตดาบทองทรุดลงไปกับพื้น ขณะเดียวกันบนหัวของมันก็ปรากฏดาวดวงเล็กๆหมุนวนอยู่รอบๆแสดงสถานะมึนงง
เย่เทียนเซี่ยยิ้มมืดมน เขาหมุนตัวกลับมาแล้วปลดปล่อย “ัสะบั้น” ใส่เ้าสิงโตที่ทำตัวเองด้วยจังหวะพอเหมาะพอเจาะในชั่วขณะที่สิงโตดาบทองไม่สามรถลุกขึ้นมาได้
-851,-835,-849,-1679,-837……
พลังโจมตีของทักษะัสะบั้นนั้นน่ากลัวมาก ต่อให้พลังป้องกันและพลังชีวิตที่สูงลิบของเย่เทียนเซี่ยในเวลานี้ หากถูกโจมตีเข้าไปสักครั้งความเสียหายสองเท่าที่มีความเป็ไปได้ที่จะปรากฏ 70% ก็อาจจะทำให้พลังชีวิตของเขาลดลงไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันยังมีความเป็ไปได้ที่จะติดสถานะมึนงงอีกด้วย และเช่นเดียวกันปฏิกิริยาของทักษะอันแข็งแกร่งนี้ก็ทำให้สิงโตดาบทองติดสถานะมึนงงไปถึงห้าวินาทีจนมันยังคงไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
“เป็ศัตรูที่ไม่อาจเอาชนะได้ชัดๆ ทำไมพอมาถึงมือพี่รองกลับรู้สึกเหมือนมันอ่อนแอขนาดนี้นะ” จั้วพั่วจวินส่ายหน้า เขายิ้มเยาะกับตัวเอง ด้วยความแข็งแกร่งของสิงโตดาบทอง ผู้เล่นใน่เวลานี้ไม่ว่าใครแตะต้องมันก็คงได้หัวหลุดออกจากบ่าแน่นอน แต่เวลานี้เมื่อมองเย่เทียนเซี่ยที่ไร้ความกดดันใดๆและยังจัดการมันได้อย่างสบายๆ เวลาผ่านไปเพียงครึ่งนาทีก็ทำให้พลังชีวิตของมันลดลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง............. เขาก็ทำได้เพียงปล่อยอารมณ์ที่เคยปลดปล่อยไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งออกไป
“ดวงดาว พระจันทร์ แล้วก็ดวงอาทิตย์เป็พยาน ฉันเคยคิดไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้ ร่างกายของเขาไม่ใช่ของมนุษย์ พละกำลังก็ไม่ใช่มนุษย์ กลิ่นอายหรือดวงตาก็ไม่ใช่มนุษย์......... โอ้! แล้วยังมีคุณสมบัติและหน้าตาที่ไม่ใช่มนุษย์อีกด้วย เขาเป็ชาวโลกจริงๆเหรอเนี่ย?” มู่หรงชิวสุ่ยพูดออกมาอย่างเกินจริง จั้วพั่วจวินที่คุ้นเคยกับเย่เทียนเซี่ยได้แต่นิ่งเงียบไร้คำพูดต่อคำกล่าวของเขา แต่ความน่าใและความบ้าคลั่งที่อยู่ตรงหน้าของจั่วพั่วจวินก็ไม่ใช่เื่หลอกลวงเช่นกัน
บนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่จะทำให้คนทั้งสองคนยอมรับและชื่นชมได้อย่างนี้ เมื่อมองชายหนุ่มที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาของซูเฟยเฟยก็ขยับตามการเคลื่อนไหวของเขา ในใจของเธอค่อยๆเกิดความรู้สึกภูมิใจอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน........ ไม่ผิดหรอก มันคือความรู้สึกภูมิใจอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ เธอก็ตั้งใจจะทำให้เขาเป็ “คนของตัวเอง” แล้ว
เมื่อหันกลับมาเธอก็ลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดก็ถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “พี่จั้ว แล้วก็มู่หรง พวกนายกับเทียนเซี่ย......รู้จักกันได้ยังไงเหรอ?”
มู่หรงชิวสุ่ยขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาช้าๆ “มันเป็ค่ำคืนที่ถูกย้อมไปด้วยเื ในคืนนั้นท้องฟ้าไร้ดาว ไร้แสงจันทร์ ในความมืดอันน่าสะพรึงกลัว เสียงคำรามและเสียงกรีดร้องเป็เพียงเสียงเดียวที่ดังขึ้นมาในเวลานั้น ในค่ำคืนนั้นเื่ราวน่ากลัวค่อยๆดำเนินไป เมื่อจุดสิ้นสุดของเื่ราวใกล้เข้าสู่ความสิ้นหวัง เขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่าราวกับเทพเซียนแล้วจัดการจุดจบของเื่ราวนั้นลงไปได้....... โอ้! ตอนนี้คิดออกแล้ว มันช่างเป็ค่ำคืนที่งดงามจริงๆ ถ้าจุดสิ้นสุดในตอนสุดท้ายมีไวน์สักขวด หรือขลุ่ยสักอัน ทั้งหมดคงงดงามกว่านี้”
จั้วพั่วจวินนิ่งเงียบไม่ได้ขัดจังหวะมู่หรงชิวสุ่ยที่พูดต่อไปเรื่อยๆ ใบหน้าสงบนิ่งปรากฏสีหน้าอึมครึม
ซูเฟยเฟยหัวเราะแหยๆแล้วโบกมือไปมา “นายไม่ต้องเล่ายาวก็ได้.......... มันแปลกๆอ่ะ พูดออกมาก็แปลก ฉันถามพวกนายจริงๆนะเนี่ย......... เทียนเซี่ยกับพวกนายรู้จักกันได้ยังไงเหรอ? ฉัน......อยากรู้เื่ราวในอดีตของเขามากขึ้นอีกหน่อย”
มู่หรงชิวสุ่ยรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะพูดออกมาอย่างคลุมเครืออาจจะถูกเธอพูดเยาะเย้ยขึ้นมาอย่างน่าขัน สีหน้าบนใบหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปแล้วปรากฏเป็ใบหน้าเรียบนิ่งขึ้นมาทันที “พวกเรารู้จักเขามาห้าปีแล้ว สิ่งที่พวกเรารู้เกี่ยวกับเขาก็ไม่มากไปกว่าเธอเท่าไรหรอก เขาลึกลับมาก ลึกลับเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าที่เห็นว่ามันมีอยู่ชัดๆแต่กลับเห็นไม่ชัดว่ามันอยู่ไกลแค่ไหน ใหญ่แค่ไหน ด้านในมีอะไรอยู่บ้าง.......โอ้! จริงๆแล้วมันเป็ความรู้สึกที่งดงามนะ เพราะมันทำให้ฉันยิ่งเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็คนของโลกใบนี้”
“พ่อแม่ของพี่รอง แล้วก็มีพี่ชายของเขาอีก พวกเขาตายไปั้แ่พี่รองยังอายุได้แค่สี่ขวบโดยถูกคนที่โเี้อำมหิตที่ไม่รู้ว่าเป็ใครฆ่าตาย ั้แ่ตอนนั้นพี่รองกับพวกเราก็ไม่เคยหยุดค้นหาร่องรอยของคนพวกนั้นเลยสักครั้ง แต่ต่อให้เพิ่มพลังของพวกเราเข้าไป ระยะเวลาห้าปีก็ยังคงหาร่องรอยใดๆไม่เจอเลยสักอย่าง กลุ่มคนในตอนนั้นเหมือนกับอยู่ดีๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็หายไปเฉยๆซะอย่างนั้น” จั้วพั่วจวินใช้สองแขนกอดอกแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“สี่ขวบ?” ซูเฟยเฟยอึ้งไป เธอรู้ว่าทั้งพ่อและแม่ของเย่เทียนเซี่ยจากไปแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้พวกเขาตายไปั้แ่เย่เทียนเซี่ยยังเป็เด็กขนาดนั้น ความรู้สึกเ็ปเล็กๆผุดพรายขึ้นมาในหัวใจของเธอ เธอมองไปยังเย่เทียนเซี่ยที่อยู่ห่างออกไปแล้วถามออกมาเสียงเบา “แล้วตอนนั้นเขาถูกใครเลี้ยงดูมาเหรอ?”
ทันทีที่คำถามของเธอหลุดออกมาจากปากสีหน้าของจั้วพั่วจวินและมู่หรงชิวสุ่ยก็มืนมนลงทันที จั้วพั่วจวินถอนหายใจออกมาเบาๆ เงยหนาขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “เธอเห็นพี่รองในตอนนี้บางทีอาจจะคิดว่าเขาจะต้องเติบโตมาในครอบครัวที่ยิ่งใหญ่แน่นอนสินะ เขาถึงได้มีบรรยากาศและพลังที่เกินกว่าคนธรรมดาแบบนี้........ แต่ผิดแล้วล่ะ เขาในตอนนั้นไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีญาติที่ไหน ทั้งตัวไม่มีเงินเลยสักเหรียญ แม้กระทั่งของกินก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ วันคืนในตอนที่เขาอายุได้สี่ขวบ ตอนกลางคืนเขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีแม้แต่คนที่จะพูดคุยด้วย”
“..............” ซูเฟยเฟย
“ถ้าเป็เด็กสี่ขวบธรรมดาๆบางทีอาจจะหิวตายไม่ก็แข็งตายข้างถนนไปแล้ว พี่รองในตอนนั้นไม่มีอะไรแตกต่างจากเด็กสี่ขวบธรรมดาๆ เขาไม่ขโมย ไม่แย่งชิง ไม่ขอทาน แต่เขาก็มีชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างเข้มแข็งจนกระทั่งเติบโตขึ้นมา.......... เขาได้รับความทุกข์ ร่างกายและจิติญญาของเขาเคยพบกับความทรมาน เขามีประสบการณ์โชกโชนในโลกใบนี้ กระทั่งสิ่งที่เขากิน.......... ก็ล้วนเป็สิ่งที่เธอคงคาดไม่ถึงแน่ ตอนที่พวกเราใช้ชีวิตคิดว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตดียิ่งขึ้น สบายยิ่งขึ้น เที่ยวยังไงถึงจะสนุกที่สุด เขาต้องใช้ชีวิตทุกวันด้วยการต่อสู้เพื่อจะได้มีวันพรุ่งนี้..............”
ซูเฟยเฟยอึ้งค้าง ครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไม่สามารถสงบจิตใจได้ แม้แต่จังหวะของหัวใจก็เหมือนจะสับสนตามอารมณ์ของเธอไปหมด
ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้คำพูดแปลกๆและน้ำเสียงต่ำๆพูดออกมาว่า “พวกเราล้วนเป็คนที่น่าสงสาร”
ตอนนั้นเธอยังไม่เชื่อ ในใจของเธอกรีดร้องว่าเขาไม่มีทางเข้าใจว่าเธอต้องใช้ชีวิตทุกวันอย่างน่าสงสารขนาดไหน และจนถึงตอนนี้เธอถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าตลอดชีวิตของตัวเองราวกับสรวง์เมื่อเทียบกับเส้นทางที่เขาเคยเดินผ่านมา.......
ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าความเ็าที่มักปรากฏในสายตาของเขา และความโหดร้ายตอนที่เผชิญหน้ากับเขานั้น.......... เป็เพราะเขาคือคนที่ถูกโลกใบนี้ทำร้ายมาก่อน
“เื่เกี่ยวกับพี่รองเธอรู้แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ตอนนี้เธออยู่กับเขา ความปลอดภัยของเธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว แค่หวังว่าเธอจะทำให้เขายิ้มได้มากขึ้นทุกวัน........... ถ้าเป็แบบนั้นพวกเราจะขอบคุณเธอมาก พี่รองเป็คนที่ไม่ชอบให้คนอื่นพูดถึงอดีตของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง........... สรุป เื่เกี่ยวกับเขาไม่ต้องถามอะไรไปมากกว่านี้แล้ว” จั่วพั่วจวินพูดออกมา เมื่อเสียงของเขาจบลงเขาก็หันมองไปด้านข้าง ในจิตใจของเขาสะท้อนให้เห็นถึงบางอย่างที่ไม่น่าจะอยู่บนโลกใบนี้ เงาของนางฟ้าที่ทำให้หลิ่วชีเยว่ถูกบดบัง......... ถ้าเป็เขา เมื่อมองเห็นเธอเป็ครั้งแรกก็คงจะคิดว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอก็เหมือนกับเย่เทียนเซี่ย สมบูรณ์แบบจนไม่เหมือนคนบนโลกมนุษย์ เขาคิดว่าพวกเขามีจุดกำเนิดเดียวกัน มีการเดินทางและจุดจบอันสมบูรณ์แบบที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง แต่ไม่คิดว่า..........พวกเขาจะถูกแยกจากกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่ประทับลงไปในใจของเย่เทียนเซี่ยนอกจากการตามหาเธอแล้วก็คือแผลเป็ที่ไม่อาจััและไม่อาจรักษาได้
เขาใช้พลังทั้งหมดที่สามารถทำได้พยายามตามหา แต่สามปีผ่านไป...........กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอหายตัวไปจากโลกใบนี้อย่างไรอย่างนั้น
“ฉันเข้าใจแล้ว” ซูเฟยเฟยพยักหน้าเบาๆ เมื่อเธอมองไปที่เย่เทียนเซี่ยมือที่กุมกันอยู่ของเธอก็กดลงไปบนตำแหน่งหัวใจของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ภายใต้การปกป้องของเขาเธอเพลิดเพลินไปกับชีวิตที่ตัวเองอยากจะมี แล้วเธอต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้เขามีความสุขได้อย่างแท้จริง..............
