วังหลวงต้าชิง ภายในห้องโถงใหญ่
ภายในห้องโถงมีคนอยู่เพียงสองคน เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกับเนี่ยเทียนป้า ั้แ่เนี่ยเทียนป้าฟื้นสติกลับมา อาการาเ็ของมันก็ได้โอสถหลากชนิดช่วยรักษาจนดีขึ้นมาก
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยขมวดคิ้วพลางเดินกระสับกระส่ายไปมาในห้องโถง
เนี่ยเทียนป้าไม่ได้สนใจว่าอาหญิงทวดตัวเองกลายเป็มารไปแล้ว ตรงกันข้าม มันกลับแสดงท่าทีตื่นเต้นยินดีออกมา
“อาหญิงทวด ท่านเองก็เป็มารแล้ว? นับแต่นี้ไปท่านเองก็จะเป็คนของลัทธิมาร? เ้าตำหนักห้า? ท่านมีฐานะสูงส่งในลัทธิมารงั้นรึ?” เนี่ยเทียนป้าถามอย่างคาดหวัง
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยไม่สนใจคำถามของเนี่ยเทียนป้า หากถามกลับเสียงเข้ม “เนี่ยเทียนป้า ที่เ้าพูดเป็ความจริง?”
“ขอรับ ข้าย่อมไม่กล้าหลอกท่าน ข้าไม่กล้าปิดบังเื่ที่เกิดขึ้นในเขตตระกูลเนี่ยแม้แต่น้อย!” เนี่ยเทียนป้าตอบอย่างจริงจัง
“หวังเค่อหลักแหลมไม่เบา คู่ควรเป็ศิษย์ท่านประมุขโดยแท้! แต่เ้าจูเยี่ยนเล่า? ตัวบัดซบนี่กลับเข้าร่วมวิถีมาร? รนหาที่ตายแล้ว!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เนี่ยเทียนป้าชะงักไป อาหญิงทวดหมายถึงอะไร? เมื่อกี้ท่านชมหวังเค่อใช่มั้ย? ทำไมกัน? ทำไมท่านถึงชื่นชมไอ้เวรตะไลนั่นด้วย?
“อาหญิงทวด ข้าเข้าร่วมงานชุมนุมมารปรโลกวันนี้ด้วยได้หรือไม่?” เนี่ยเทียนป้ามองเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยอย่างคาดหวัง
เนี่ยเทียนป้าเองก็หวังอยากได้ส่วนแบ่งเหมือนกัน
แต่โชคร้ายที่เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยไม่เข้าใจสิ่งที่เนี่ยเทียนป้า้าสื่อ “งานชุมนุมมารปรโลกวันนี้ไม่ธรรมดา เ้าซ่อนตัวไว้อย่าโผล่หน้ามา! เ้าเป็ทายาทตระกูลเนี่ย ข้าย่อมต้องมีของขวัญล้ำค่ามอบให้!”
“หา?” เนี่ยเทียนป้ามึนงง
เนี่ยเทียนป้าเองก็อยากได้ส่วนแบ่งโลหิตและพลังปฐมขององค์หญิงโยวเยว่เหมือนกัน แต่ท่านอาหญิงทวดกลับไม่ยินยอมซะงั้น? ทำไมกัน! แต่ท่านบอกว่าจะให้ของขวัญล้ำค่า? เอาเถอะ งั้นข้ารอก็ได้!
วังหลวง อีกห้องโถงหนึ่ง
จูหงอีดื่มสุราพลางขมวดคิ้วใช้ความคิด
“ท่านอา นางเซียนชิงไม่้าเห็นหน้าท่านหรือ? ในอดีต ท่านสังหารครอบครัวนางเพราะถูกสัญชาตญาณมารครอบงำ! เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้! ตอนนั้นท่านคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วก็ไม่ได้อยากฆ่าใครด้วย ผ่านมาเป็ร้อยปีแล้วนางยังแค้นไม่เลิกอีก?” จูเยี่ยนรินสุราให้อีกฝ่าย
“เฮ้อ! ไม่ใช่แค่เื่ในกาลก่อน แต่ไม่นานมานี้เอง ข้าก็ยังมีส่วนผิดเหมือนกัน ไม่นานมานี้ ท่านมารอริยะสั่งให้ข้าช่วยเปลี่ยนชิงเอ๋อร์เป็มาร แต่นาง…!” จูหงอีถอนหายใจพลางดื่มสุราต่อ
“ท่านมารอริยะอยากให้ท่านจัดการนางเซียนชิง?” จูเยี่ยนถามพลางรินสุราเพิ่มอีก
“ชิงเอ๋อร์มีนิสัยดื้อรั้น ทั้งยังสาบานว่าจะกวาดล้างเหล่ามารทั้งมวล! เหอะ นางไหนเลยจะยอมกลายเป็มาร? บรรดาคนที่ถูกเปลี่ยนเป็มารจะไม่มีวันกลายเป็มารตราบเท่าที่พวกมันมีใจคิดขัดขืน! หากยึดตามเหตุผลนี้ ชิงเอ๋อร์เองก็จะไม่มีวันกลายเป็มาร! ทว่าตอนนั้นนางถูกท่านมารอริยะจับตัวไป ถ้านางไม่ยอมกลายเป็มาร ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น!” จูหงอีกล่าวอย่างขมขื่น
“แต่เื่นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับท่านนี่!” จูเยี่ยนคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายดื่มต่อ
จูหงอีส่ายหน้า “ตอนนั้น เพื่อจะเปลี่ยนชิงเอ๋อร์ให้เป็มาร ท่านมารอริยะจึงใช้วิธีเข้าฝัน ขอให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมชิงเอ๋อร์ในห้วงฝัน ชิงเอ๋อร์ที่เห็นข้ากำลังจะตายในความฝันจึงยอมกลายเป็มารเพื่อช่วยข้า!”
“เข้าฝัน?”
“ฝันก็คือฝัน หาใช่ความจริงไม่ ในความฝันอาจมองข้ามหลายเื่ได้ แต่ความรู้สึกจากใจจริงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง! ชิงเอ๋อร์ลืมเลือนทุกสิ่งในความฝัน แต่ไม่เคยลืมความรักที่มีให้ข้า! ฮ่าฮ่า พริบตาที่นางฟื้นคืนสติ พบว่าตนเองตกหลุมพราง! สายตาที่นางมองข้าในตอนนั้นมันช่าง…!” จูหงอีดื่มสุราด้วยความรู้สึกผิดหนักอึ้งหาใดเปรียบ
“นางเซียนชิงรักท่านปานนั้น ในอนาคตจะต้องอภัยให้ท่านแน่ พอนางเซียนชิงเห็นว่าท่านอาทำอะไรไปบ้างเพื่อช่วยนาง นางจะต้องเข้าใจความลำบากของท่านอย่างแน่นอน!” จูเยี่ยนปลอบใจ
“ข้าก็หวังเช่นนั้น! เฮ้อ!” หัวใจจูหงอีหดหู่สุดแสน
จากคู่รักจำต้องกลายเป็ศัตรูคู่อาฆาตเพราะตนเข้าร่วมวิถีมาร ทำไมเนี่ยชิงชิงถึงเปลี่ยนชื่อตนเองเป็เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย? เหตุใดถึงต้องไล่ปราบพิฆาตมารอย่างบ้าคลั่งหากไม่ใช่เพราะความรัก? หนึ่งธรรมะหนึ่งอธรรม ที่แท้หัวใจของนางก็ขื่นขมมาตลอด! ตอนนี้ข้ากลับหลอกลวงชิงเอ๋อร์ ทำลายความเชื่อมั่นที่นางมีให้จนสิ้น! จูหงอีไม่ทราบจะแก้ตัวอย่างไร ชิงเอ๋อร์ไม่ยอมมองหน้ามันตรงๆ ด้วยซ้ำ น่าหดหู่ถึงเพียงไหน!
เื่แบบนี้จูหงอียอมเล่าให้แค่จูเยี่ยนฟังเท่านั้น ผู้อื่นไม่มีทางทราบได้
จูเยี่ยนพอได้ยินอาตัวเองระบายความอัดอั้นในใจ ปากเอ่ยปลอบโยน หากดวงตาทอแสงวาบวับ
เพราะตัวจูเยี่ยนเองก็ยังอยากเป็อ๋องปกครองดินแดนต้าชิงต่อไป ถึงแม้โลกปุถุชนจะไม่มีสิ่งใดดึงดูดใจผู้บำเพ็ญตน หากศักดิ์ฐานะอ๋องต้าชิงก็ยังยั่วยวนใจ ปกครองใต้หล้าอย่างมั่งคั่งร่ำรวย จำต้องยอมตัดใจเพียงเพราะกลายเป็มารด้วย?
ข้าสามารถเป็ทั้งอ๋องและผู้ฝึกฌานไปพร้อมกันได้! ข้าจะใช้ทรัพยากรของอาณาจักรนี้ช่วยข้าบำเพ็ญตน เื่อะไรจะต้องสละบัลลังก์?
สิ่งสำคัญที่สุดเวลานี้ก็คือการชิงลูกปัดคำนึงที่ใช้อำพรางไอมารกลับมาจากองค์หญิงโยวเยว่ เช่นนี้แล้ว ก็จะไม่มีใครรู้ว่าตนกลายเป็มาร แน่นอนว่าต่อให้หวังเค่อรู้ไปก็เปล่าประโยชน์ ขอแค่มันยืนกรานปฏิเสธ ใครมันจะเชื่อหวังเค่อกัน?
เมื่อครู่ทำไมมันถึงเสนอให้ท่านอาทวดขังองค์หญิงโยวเยว่ไว้ในตำหนักราชินีน่ะรึ? เพราะว่าใต้ตำหนักบรรทมราชินีมีวังใต้ดินอยู่ วังใต้ดินนี้ยืดยาวกว้างไกลทอดไปถึงใต้ห้องหนังสือ ตอนนี้มันจัดแจงส่งคนไปแอบขุดหลุมใต้ห้องหนังสืออยู่ อีกไม่นานสมควรขุดทะลุไปถึงวังใต้ดิน จากนั้นก็ลอบเข้าหาองค์หญิงโยวเยว่ได้
ข้าไม่ขออะไรมาก ขอแค่ลูกปัดคำนึงก็พอ!
“ท่านอาทวด โซ่ที่ท่านใช้มัดองค์หญิงโยวเยว่ไว้ใช่อาวุธวิเศษหรือไม่? ข้าเห็นว่าโซ่ครึ่งหนึ่งยังทะลุประตูออกมาลอยค้างกลางอากาศด้านนอกอยู่เลย?” จูเยี่ยนถามอย่างคาดหวัง
“ใช่แล้ว! โซ่นั่นเรียกว่าตรวนแดง ข้าหลอมมันขึ้นมาเอง! คนของลัทธิมารจันทราทั้งหลายสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวขององค์หญิงโยวเยว่ภายในตำหนักได้ผ่านโซ่อีกครึ่งที่ทะลุประตูออกมา ถ้าหากมีใครขยับโซ่ด้านใน โซ่ด้านนอกก็จะส่งเสียงแจ้งเตือน!” จูหงอีกล่าวพลางดื่มต่อ
หากขยับโซ่ด้านใน คนนอกก็จะรู้?
ใบหน้าจูเยี่ยนกลายเป็บูดเบี้ยว ต่อให้มันลักลอบเข้าถึงตัวองค์หญิงโยวเยว่ได้ มันก็คงถูกด้านนอกรับรู้ได้โดยง่ายอยู่ดี แล้วทำอย่างไร?
“ท่านอาทวด มีวิธีปลดตรวนแดงข้างในโดยที่โซ่ข้างนอกไม่ตอบสนองหรือไม่? ข้ากลัวว่าจะมีศิษย์ลัทธิมารแอบลอบเข้าไป! ถ้าหากมันกินองค์หญิงโยวเยว่จนงานชุมนุมมารปรโลกล่มจะทำอย่างไร?” จูเยี่ยนตะล่อมถาม
“มีคนตั้งมากคอยเฝ้าระวังอยู่ ไม่มีใครลอบเข้าไปได้หรอก! ไม่ต้องห่วงไป! ส่วนเื่ที่เ้าถามมีเพียงหนทางเดียว ก็คือสวมถุงมือไหมทองของข้าแล้วปลดโซ่ ถุงมือนี้ข้าหลอมสร้างขึ้นมาพร้อมกับตรวนแดง!” จูหงอีตอบพลางยกสุราขึ้นดื่มอีก
“ถุงมือไหมทอง?” จูเยี่ยนจ้องมองถุงมือในมือจูหงอีพลางกลั้นหายใจ
ภายในวังหลวงต้าชิง หวังเค่อนำศิษย์ตระกูลหวังมุดผ่านบ่อน้ำเดิมเข้ามาในวัง แต่ครั้งนี้พวกมันไม่ได้ออกจากบ่อน้ำ หากเริ่มลงมือขุดดินกันใต้บ่อน้ำเลย
หวังเค่อถือลูกปัดโหยหาไว้ในมือพลางััถึงตำแหน่งขององค์หญิงโยวเยว่
“เอ๋? ตำหนักบรรทมราชินีอีกแล้ว?” หวังเค่อหรี่ตามองลูกปัดโหยหา
“ท่านประมุข น้ำในบ่อถูกสูบออกไปหมดแล้ว จะให้เริ่มขุดเลยไหมขอรับ?” ศิษย์ตระกูลหวังคนหนึ่งถามอย่างนอบน้อม
“ขุดเต็มกำลัง เร็วเข้า!” หวังเค่อสั่งเสียงเข้ม
“ขอรับ!”
อดีตกลุ่มโจรปล้นสุสานรีบลงมือขุดอุโมงค์สุดกำลัง หากเป็เื่การขุดอุโมงค์แล้ว คนตระกูลหวังล้วนแต่เป็มืออาชีพ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทีละน้อย หวังเค่อกับคณะในที่สุดก็ขุดมาถึงข้างล่างใต้ตำหนักบรรทมราชินี
ตระกูลหวังที่สามารถเข้าออกสุสานทุกรูปแบบได้ตามใจ ดินทรายกับแผ่นพื้นหนามีหรือจะอยู่ในสายตา?
“ท่านประมุข ข้าระมัดระวังเต็มที่ ตอนนี้เหลือแค่แผ่นหินชั้นสุดท้ายเหนือศีรษะแล้วขอรับ ข้าแซะแผ่นหินไว้แล้ว พร้อมเปิดขึ้นไปได้ทุกเมื่อ!” ศิษย์ตระกูลหวังคนหนึ่งเอ่ยอย่างนอบน้อม
หวังเค่อพยักหน้ารับ ก่อนจะยกแผ่นหินขึ้นอย่างระมัดระวัง คนกวาดตามองไปรอบตำหนักบรรทม พอเห็นว่าภายในห้องเงียบสงัดไร้คน มันค่อยโล่งใจขึ้นมา
พอดันแผ่นหินออก หวังเค่อค่อยะโขึ้นมาเป็คนแรก
ภายในตำหนักราชินีไม่มีผู้ใด แต่ยังสามารถมองเห็นเงาร่างมารจำนวนมหาศาลยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนัก คิดทะลวงผ่านซึ่งหน้ายากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสรวง์ แต่หวังเค่อก็ลอบเข้ามาได้สำเร็จ
ภายในห้องมืดสนิททั้งยังมีม่านปิดหน้าต่างเอาไว้ คนภายนอกไม่อาจมองเข้ามาได้ หวังเค่อหาตัวองค์หญิงโยวเยว่พบอย่างรวดเร็ว นางถูกโซ่มัดติดไว้กับเสาต้นหนึ่ง
“นั่นคือองค์หญิงรึ?” ศิษย์น้องตระกูลหวังที่ติดตามมาเดินเข้าไปเตรียมปลดโซ่ตรวนด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยว!” หวังเค่อพลันส่งเสียงห้ามไว้แ่เบา
ท่านตาสามที่ยืนอยู่ข้างๆ ตบหัวศิษย์น้องทันที
“เ้าทิ้ง่ไม่ได้ปล้นสุสานนานเกินไปหรือไง? ความระมัดระวังตัวหายไปไหนหมด? มือไวใจเร็วแบบนี้ขืนเจออันตรายขึ้นมาจะทำยังไง?” ท่านตาสามดุด่าศิษย์น้องอย่างเกรี้ยวกราด
ศิษย์น้องตระกูลหวังได้แต่ก้มหน้างุดอย่างอับอาย
หวังเค่อก้าวออกไปตรวจสอบอาการองค์หญิงโยวเยว่ที่หมดสติอยู่ เขี้ยวของนางหายไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในร่างมารอีก ทว่านางกลับยังไม่ฟื้นขึ้นมา
โซ่ที่มัดองค์หญิงโยวเยว่ไว้ หวังเค่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าเป็อาวุธวิเศษประเภทหนึ่ง โซ่ครึ่งหนึ่งมัดตัวองค์หญิงโยวเยว่ไว้ในตำหนัก อีกครึ่งกลับยื่นทะลุประตูออกไปด้านนอก?
“ท่านประมุข โซ่นี่ดูแล้วไม่ธรรมดา เกรงว่าหากพวกเราแตะต้องมัน คนภายนอกจะรู้ตัวทันที!” ท่านตาสามกล่าวด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว
“จริงด้วย ท่านประมุข แล้วท่านจะช่วยองค์หญิงโยวเยว่ได้ยังไง? ถ้าเราปลดโซ่ก็จะถูกจับได้ทันที?” ศิษย์ตระกูลหวังอีกคนถามอย่างกังวล
หวังเค่อเองก็ดูเคร่งเครียด มันคิดว่าตนวางแผนไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ไฉนกลับเกิดเื่แบบนี้ขึ้นมาได้? แล้วจะช่วยองค์หญิงโยวเยว่ได้ยังไง?
ขณะที่หวังเค่อกำลังอับจนหนทาง
“ท่านประมุข มีคนมา!” ท่านตาสามหน้าเปลี่ยนสีขณะมันรีบโบกมือ
“ฮึบ ฮึบ ฮึบ!”
ตระกูลหวังทั้งหลายต่างกระโจนกลับลงหลุมไปพร้อมขยับแผ่นหินมาปิดรูไว้ ไม่มีร่องรอยการบุกรุกแม้แต่น้อย
ส่วนหวังเค่อกระโจนขึ้นไปหลบบนคาน ห้องโถงกลายเป็เงียบสงัดในพริบตา
แต่เงาร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูห้องโถงข้าง
“จูเยี่ยน? มันหายดีแล้ว?” หวังเค่อที่แอบอยู่บนคานห้องมองอย่างแปลกใจ
เวลานี้จูเยี่ยนทำท่ามีความสุข ในมือมันถือถุงมือสีทองคู่หนึ่งไว้ คนเดินเข้าหาองค์หญิงโยวเยว่อย่างตื่นเต้นยินดี
“ฮ่าฮ่า ข้าให้หัวหน้าคนใช้ขโมยถุงมือทองนี่มาจากท่านอาทวด ต่อให้ท่านจับได้ข้าก็ไม่ผิด แถมข้าเองก็ไม่ได้้าอะไรจากองค์หญิงโยวเยว่นอกจากลูกปัดคำนึง! เมื่อถึงเวลา ถุงมือทองนี้ก็จะกลับไปอยู่ที่เดิมแล้ว ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ฮ่าฮ่า ข้าก็จะยังคงเป็อ๋องแห่งต้าชิงต่อไป!” จูเยี่ยนเอ่ยอย่างตื่นเต้น
ข้อมือขององค์หญิงโยวเยว่เองก็ถูกโซ่รัดไว้เช่นกัน หากไม่คลายโซ่ออกก็ไม่อาจถอดลูกปัดคำนึงได้
จูเยี่ยนสวมถุงมือไหมทองก่อนจะคว้าโซ่ไว้ ทันใดนั้นตรวนแดงก็คล้ายกลายเป็อ่อนยวบว่าง่าย ไม่เพียงปล่อยให้จูเยี่ยนคลายอย่างนุ่มนวล แต่ปลายโซ่อีกด้านนอกประตูเองก็ไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
หวังเค่อบนคานไม้เบิกตากว้าง จูเยี่ยนผู้นี้ใช่ดาวนำโชคของข้าหรือไม่? มาได้จังหวะพอดี! แถมมาช่วยข้าในจังหวะสำคัญทุกครั้ง? ครั้งก่อนตอนสู้กับเนี่ยเทียนป้า ตอนนี้ยังมาช่วยคลายโซ่วิเศษขององค์หญิงโยวเยว่ให้อีก มันจะประจวบเหมาะเกินไปแล้ว!
“ดี ดี ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ คลายต่อ คลายอีก ฮ่าฮ่า!” จูเยี่ยนกระซิบอย่างยินดี
จูเยี่ยนคลายโซ่หลวมเกินไป และยังไม่สังเกตด้วยว่าด้านหลังมันเวลานี้มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ ไม่ใช่ใครอื่น เป็หวังเค่อที่โรยตัวลงมาจากคาน้าตำหนักนั่นเอง
หวังเค่อเรียกลูกโป่งสัจปราณขึ้นมาบนฝ่ามืออย่างระมัดระวัง
พอรวบรวมสัจปราณขุ่นมาไว้บนฝ่ามือ หวังเค่อก็เดินเข้าหาอีกฝ่ายทีละก้าว สิงโตล่ากระต่ายยังทุ่มสุดกำลัง! ต่อให้จูเยี่ยนพื้นฐานวรยุทธ์กระจอกงอกง่อยปานไหน ตนก็ไม่อาจประมาทได้
ในที่สุดจูเยี่ยนก็คลายตรวนแดงออกจากร่างองค์หญิงโยวเยว่ได้สำเร็จ ขณะที่มันกำลังจะฉวยลูกปัดคำนึงมานั้นเอง
พลันมีเสียงะโดังลั่นมาจากด้านนอกตำหนัก “งานชุมนุมมารปรโลกจะเริ่มต้น ณ บัดนี้!”
“ดี!” มารทั้งหลายต่างพากันส่งเสียงะโมาจากนอกตำหนัก
เมื่อได้ยินเสียงะโก้องกึง จูเยี่ยนก็ตะลึงไป มันเผลอหันหน้าไปมองประตูทางเข้า แต่กลับเห็นหวังเค่อในครรลองสายตาแทนเสียอย่างงั้น
หวังเค่อกับจูเยี่ยนต่างสบตากันและกัน ต่างฝ่ายต่างใ
หวังเค่อนึกไม่ถึงว่าจูเยี่ยนจะหันหน้ากลับมากะทันหัน จูเยี่ยนเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนยืนเนียนอยู่ด้านหลังตัวเอง
จูเยี่ยนอดส่งเสียงกรีดร้องออกมาโดยอัตโนมัติไม่ได้ หวังเค่อเองก็สาวเท้ายกมือขวาคว้าหน้าอุดปากจูเยี่ยนเอาไว้ ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ส่งเสียงบอกตำแหน่งตนออกไป
เสียงของจูเยี่ยนไม่อาจเล็ดรอดออกมา หากสองตามันกลับเบิกกว้างกลมโตในพริบตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้