ในฤดูเหมันต์อันเงียบเหงา ซอยแคบๆ หลังคาบ้านเตี้ยๆ ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา แม้หวาชิงเสวี่ยจะนั่งอยู่ข้างเตาไฟ แต่นางก็ยังรู้สึกหนาวจนสุดขั้ว นางก้มลงเป่าลมหายใจอุ่นๆ ลงบนมือ แล้วซักผ้าในกะละมังต่อ
ปัง ปัง ปัง!
เสียงเคาะประตูเร่งรีบดังมาจากนอกลาน ใบหน้าของหวาชิงเสวี่ยซีดเผือดในทันที!
นางหยุดการเคลื่อนไหว หันไปมองประตูไม้ผุๆ ที่อยู่นอกลาน บัดนี้ นางไม่กล้าแม้แต่จะพ่นลมหายใจออกมา
...ปัง ปัง ปัง!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ยังมีเสียงใสๆ แทรกเข้ามาด้วย
“...เปิดประตูเร็วเข้า! ข้าเอง!”
ดูเหมือนเสียงนี้จะไม่อยากทำให้คนอื่นใ เสียงจึงเบามาก แต่หวาชิงเสวี่ยก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าหัวใจที่เต้นแรงของตนค่อยๆ สงบลง นางโยนเสื้อผ้าที่เปียกโชกในมือทิ้ง ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกจากขอบประตูไม่กี่ก้าว เดินไปที่หน้าประตู
เอี๊ยด
หวาชิงเสวี่ยเปิดประตูออกเป็ช่องเล็กๆ
ข้างนอกประตูมีเด็กชายอายุประมาณเจ็ดหรือแปดขวบยืนอยู่ ดูเหมือนเขาจะหนาวมาก ขณะนี้เขาหดคอ กอดอกด้วยสองมือ ใบหน้าเล็กๆ ถูกความหนาวจนซีด มีเพียงปลายจมูกที่แดงก่ำ
หวาชิงเสวี่ยยื่นมือออกไปดึงเขาเข้ามาทันที
ปัง! ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง
เด็กชายวิ่งเข้าไปภายในเรือนราวกับติดปีก เขาพุ่งไปที่เตาไฟอย่างรวดเร็ว ราวกับอยากจะเอาทั้งตัวเข้าไปแนบกับเตาเสียเดี๋ยวนั้น
หวาชิงเสวี่ยที่เดินตามเข้ามาในห้อง ดึงคอเสื้อของเด็กชายขึ้นมาเพื่อให้ขยับออกห่างโดยไม่พูดอะไร “ระวังเตาไฟจะทำให้หิมะที่อยู่บนเสื้อผ้าของเ้าละลาย ถอดเสื้อผ้าออกก่อน แล้วค่อยขึ้นไปนอนบนเตียงเตา”
เด็กชายหันไปมอง พบว่าหิมะที่อยู่บนไหล่และแขนเสื้อกำลังละลายกลายเป็น้ำ ทำให้เสื้อผ้าเปียกเป็วงกว้าง
เขาเบะปาก ถอดเสื้อผ้าตัวนอกออกพลางบ่น “ผ้าเนื้อหยาบแบบนี้มันไม่ได้เื่จริงๆ ข้ามีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ ราคาพันตำลึงทอง! หากฝนหรือหิมะตกลงมาบนนั้น แค่เป่าเบาๆ ก็ปลิวออกไปหมดแล้ว! ไหนเลยจะทำให้เสื้อผ้าเปียกแบบนี้…”
หวาชิงเสวี่ยไม่สนใจเขา หันหลังกลับไปนั่งข้างเตาไฟแล้วซักผ้าต่อ
หลังจากเด็กชายถอดเสื้อผ้าตัวนอกออกจนเหลือเพียงเสื้อด้านในตัวเดียวแล้ว เขาปีนขึ้นไปบนเตียงเตา ใช้ผ้าห่มคลุมตัวไว้ แล้วถอนหายใจด้วยความสบายใจเบาๆ
“อุ่นจัง…เ้าเอาเงินที่ไหนมาจุดไฟให้เตียงเตา?”
หวาชิงเสวี่ยส่ายหน้า “หากมีเงินจุดไฟที่เตียงเตา ไม่สู้เอาไปซื้อเนื้อสัตว์สักสองสามจิน [1] ยังจะดีเสียกว่า ข้าแค่เอาขี้เถ้าที่ยังไม่มอดสนิทมาห่อด้วยเศษผ้าแล้วเอาไปยัดไว้ในผ้าห่มน่ะ”
เด็กชายได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือเล็กๆ ออกไปคลำรอบๆ ผ้าห่ม ปรากฏว่าคลำเจอก้อนนุ่มๆ หลายก้อนผ่านผ้าห่มจริงๆ
“ตอนนี้ยังมีความร้อนอยู่ รอให้เย็นสนิทแล้วเราค่อยเปลี่ยนขี้เถ้าใหม่” หวาชิงเสวี่ยพูดพลางมองไปยังเตาไฟเล็กๆ ข้างเตียง
ตอนนี้ถ่านที่พวกเขาซื้อมาได้มีจำกัด เพียงพอที่จะจุดเตาไฟเล็กๆ นี้เท่านั้น หากจะจุดไฟที่เตียงก็คงไม่พอ
เด็กชายมองเตาไฟนี้อย่างเหม่อลอย แววตาที่ดูสับสนของเขาสะท้อนผ่านเปลวไฟสีเหลืองอ่อนๆ
หวาชิงเสวี่ยเห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร ถึงอย่างไรก็เป็แค่เด็กเล็กคนหนึ่ง เหตุใดต้องมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้
หวาชิงเสวี่ยเรียกเขา “หลี่จิ่งหนาน? ...นี่! หลี่จิ่งหนาน!”
หลี่จิ่งหนานพลันรู้สึกตัว เมื่อพบว่าหวาชิงเสวี่ยเรียกชื่อของเขาอยู่ก็ทำท่าทางดุร้ายออกมา ะโว่า “บังอาจนัก! สตรีชั่วร้ายนางนี้! ถึงขนาดกล้าเอ่ยนามของเปิ่นเตี้ยนเซี่ย [2] ตรงๆ!”
หวาชิงเสวี่ยเห็นว่าเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาก็โล่งใจ สำหรับคำตำหนินั้น นางได้แต่กลอกตามองบน แล้วก็ซักผ้าต่อ
ใช่แล้ว เด็กชายที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงอุ่น ณ ตอนนี้นั้น แท้จริงแล้วคือองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์
หากจะกล่าวถึงที่มาที่ไปของหวาชิงเสวี่ยกับองค์รัชทายาทว่าเกี่ยวข้องกันได้อย่างไรนั้น คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
หนึ่งเดือนก่อน องค์รัชทายาทแอบหนีออกจากวังหลวง นำองครักษ์เงากลุ่มหนึ่งมาทีู่เาพานหลง ซึ่งเป็พรมแดนระหว่างแคว้นต้าฉีกับแคว้นต้าเหลียว เขาสั่งให้คนออกค้นหาสมบัติในูเา แต่ไม่พบสมบัติใดๆ พบเพียงหวาชิงเสวี่ยที่หมดสติอยู่กลางูเา
ทว่าอย่างไรก็ตาม เพราะเหตุการณ์ที่องค์รัชทายาทก่อเื่ไว้ทีู่เานั้นเอิกเกริกเกินไป สุดท้ายก็ข่าวรั่วไหล ดึงดูดทหารของแคว้นต้าเหลียวเข้ามา...สถานการณ์ต่อจากนั้นเรียกได้ว่าใช้คำตายเก้ารอดหนึ่ง [3] มาบรรยายได้เลยทีเดียว หลี่จิ่งหนานแอบหนีออกมาจากวังหลวง คนที่พามาด้วยเดิมทีก็มีไม่มากพอ ทหารต้าเหลียวไล่ล่ามาตลอดทาง องครักษ์เงาต่างก็าเ็ล้มตายเป็จำนวนมาก สุดท้ายหวาชิงเสวี่ยนำองค์รัชทายาทปลอมตัวเป็พี่น้องกันเข้าไปในเมืองเหรินชิว จึงรอดพ้นจากการไล่ล่าของทหารต้าเหลียวมาได้
เมืองเหรินชิวตั้งอยู่ในมณฑลโม่โจว เมื่อปีก่อนถูกแยกดินแดนให้เป็ของแคว้นต้าเหลียวแล้ว ทหารต้าเหลียวจึงคิดไม่ถึงว่า องค์รัชทายาทแห่งแคว้นต้าฉีไม่ได้หนีไปยังดินแดนของตน แต่กลับหนีมาที่ดินแดนของพวกเขา
แต่เพราะที่นี่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวเหลียวไปแล้ว ดังนั้น การเข้าเมืองจึงง่ายแต่การออกจากเมืองนั้นยาก ตอนนี้ หลี่จิ่งหนานได้แต่หวังว่าเหล่าองครักษ์เงาที่รอดชีวิตมาได้จะส่งข่าวของเขาไปถึงแม่ทัพฟู่ที่ประจำการอยู่ชายแดน…
หากข่าวของเขาไม่สามารถส่งออกไปได้...หรือว่าเขาผู้เป็ถึงองค์รัชทายาทอันสูงส่งของแคว้น จะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดหรือ? จะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน? สองเดือน? สามเดือน? หรือว่า...หนึ่งปี?
หลี่จิ่งหนานไม่อาจกลั้นความหวาดกลัวได้
“อย่าคิดมากเลย ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งเจอสิ่งนั้นนะ” หวาชิงเสวี่ยพูดขึ้นมาเบาๆ
หลี่จิ่งหนานจ้องมองหวาชิงเสวี่ยด้วยความโมโห “สตรีนางนี้นี่! พูดจาก็แปลกพอแล้ว ยังจะเอาแต่พูดเพ้อเจ้ออีก!”
หวาชิงเสวี่ยขยี้เสื้อผ้าในมือพลางตอบกลับ “ไม่ใช่คำพูดเพ้อเจ้อ แต่มันคือกฎของเมอร์ฟี คำกล่าวอันเลื่องชื่อของเอ็ดเวิร์ด เมอร์ฟี [4] ต่างหาก”
“มันหมายความว่าอย่างไร?” ถึงแม้ว่าหวาชิงเสวี่ยจะพูดเื่ไร้สาระอยู่เสมอ แต่ด้วยความเป็เด็กทำให้หลี่จิ่งหนานรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเป็อย่างยิ่ง
หวาชิงเสวี่ยหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็พิเศษ ประโยคนี้เพียงแต่อธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ของบางอย่างมักจะเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่เมื่อเ้าทิ้งมันไป ก็มักจะต้องใช้มัน หรืออีกตัวอย่างหนึ่งเช่นยิ่งเ้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งนั้นก็ยิ่งจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในชีวิตของเ้า…”
หลี่จิ่งหนานขดตัวอยู่บนเตียง ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“เวลาที่ข้า้าใช้อะไร ก็จะมีนางกำนัลกับองครักษ์ไปหามาให้ข้า…แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เสด็จพ่อทรงทดสอบให้ข้าท่องบทความ ข้ามีบทความเพียงท่อนเดียวที่ไม่ได้ท่องจำมา แต่เสด็จพ่อกลับทรงบังเอิญเลือกบทความท่อนนั้นให้ข้าท่องพอดี…ความหมายของบทความนั้นก็คล้ายกับสิ่งที่เ้าพูด”
หลังจากหลี่จิ่งหนานพูดจบ ดูเหมือนจะนึกถึงเื่น่าสนใจบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มหวานใสของเด็กออกมา “แล้วยังมีครั้งหนึ่ง ข้ากับพี่หญิงแอบหนีออกจากวังหลวงไปเล่นข้างนอก ตลอดเวลานั้นข้ากังวลว่าจะถูกคนอื่นจำได้ แต่ในใจก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็ไปได้ ถึงอย่างไรเมืองหลวงก็ใหญ่โตออกปานนี้ จะบังเอิญขนาดนั้นเชียวหรือ? …สุดท้ายก็ไปเจอเสด็จอาสามที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเสด็จอาสามตกพระทัยจนดวงตาของท่านแทบจะถลนออกมาเลย ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ขำไปขำมา สีหน้าของหลี่จิ่งหนานกลับค่อยๆ เ็าลง เขามองไปที่สองมือของหวาชิงเสวี่ยด้วยสายตาที่นิ่งเฉย ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “อย่าซักอีกเลย มือของเ้าแทบจะเปื่อยเน่าแล้ว น่าเกลียดจริงๆ”
หวาชิงเสวี่ยถึงกับตกตะลึง นางมองมือของตัวเอง ถึงแม้จะมีความร้อนของเตาไฟอยู่ แต่การที่ต้องซักผ้าหลายกะละมังทุกวัน มือของนางจึงบวมแดงเพราะความเย็น
แต่มันก็แค่บวมแดงเท่านั้น ไม่น่าจะถึงขั้นเรียกว่าน่าเกลียดได้กระมัง…
หวาชิงเสวี่ยมองไปที่หลี่จิ่งหนาน ในใจก็ลอบคิด ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งเจอสิ่งนั้น…ดูเหมือนว่าวันนี้เขาคงจะได้ยินข่าวร้ายจากข้างนอกมา
“วันนี้เ้าออกไปข้างนอก เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หวาชิงเสวี่ยถามเขา
ใบหน้าเล็กๆ ของหลี่จิ่งหนานตึงเครียด หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ย “...ศพของเ้าเจ็ดและเ้าสิบสามถูกแขวนเอาไว้ที่ประตูเมือง”
หวาชิงเสวี่ยสูดหายใจเข้าด้วยความใ
“ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะหาข้าเจอ ข้าจะต้องตาย พวกเขาจะต้องแขวนข้า แขวนข้าเหมือนกับพวกเขา…” ใบหน้าของเด็กอายุแปดขวบ เหลือเพียงความสิ้นหวังราวกับมีแค่ความตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่
หวาชิงเสวี่ยมองใบหน้าเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะชาไปแล้วของหลี่จิ่งหนาน นางก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังถูกบีบรัดแน่น
นางเดินเข้าไปกอดหลี่จิ่งหนานไว้ในอ้อมแขน จากนั้นค่อยๆ ลูบหลังเขาอย่างเบาๆ “ยังมีเ้าสิบหกอยู่ไม่ใช่หรือ? เ้าไม่ได้คุยโวโอ้อวดกับข้าบ่อยๆ หรือ? เ้าบอกว่าถึงแม้เ้าสิบหกจะอายุน้อยที่สุด แต่เขาก็เป็คนที่ฉลาดที่สุด…ขอแค่เ้าสิบหกส่งข่าวที่เ้าอยู่ในเมืองเหรินชิวออกไปได้สำเร็จ จะต้องมีคนมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน”
หลี่จิ่งหนานไม่ได้ปฏิเสธหวาชิงเสวี่ย เขาหย่อนศีรษะของตัวเองซุกเข้าไปในอ้อมกอดของหวาชิงเสวี่ย เสียงของเขาสั่นเครือ “เป็ข้าเองที่ทำให้พวกเขาต้องตาย ข้ามันไร้เดียงสาเกินไป ูเาพานหลงกว้างใหญ่ขนาดนั้น แค่พวกเขาสิบกว่าคน การตามหาอาวุธชิ้นเดียวในที่ที่เต็มไปด้วยทุ่งกว้างและูเานั้นจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร…เป็ข้าเองที่ทำให้พวกเขาต้องตาย”
หวาชิงเสวี่ยรู้ว่าหลี่จิ่งหนานจะต้องร้องไห้แน่ๆ นางจึงแสร้งทำเป็ไม่รู้ แล้วลูบหลังเขาเบาๆ ต่อไป
องค์รัชทายาทผู้นี้รักษาท่าทีอยู่เสมอ พยายามฝืนทำตัวสงบนิ่งมาตลอด แต่แท้จริงแล้วในใจทั้งหวาดกลัวและวิตกกังวล…นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของพระองค์ ถึงอย่างไรพระองค์ก็เป็เพียงเด็กคนหนึ่ง ทว่าสถานะของเขากลับมีตำแหน่งอันสูงส่งเช่นนี้ ไม่กล้าแม้กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมาแม้เพียงหยดเดียว ตอนนี้เขาได้ระบายความรู้สึกออกมาแล้ว หวาชิงเสวี่ยกลับรู้สึกโล่งใจ
หวาชิงเสวี่ยไม่อยากให้เขาคิดถึงองครักษ์เงาที่จากไปแล้วอีก จึงถามคำถามอื่นเพื่อเบนความสนใจของเขา “อาวุธแบบไหนหรือ? เ้าแน่ใจนะว่ามันอยู่ทีู่เาพานหลง?”
หลี่จิ่งหนานส่ายหน้าอยู่ในอ้อมกอดของหวาชิงเสวี่ย เสียงของเขาดูเศร้าสร้อย “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ มันคือ...สิ่งที่เสด็จพ่อทำนายไว้ก่อนที่จะประชวร พระองค์ตรัสว่าทีู่เาพานหลงมีอาวุธซ่อนอยู่ เป็อาวุธที่ทรงพลังอย่างยิ่ง สามารถใช้เป็อาวุธประจำชาติได้ พระองค์ยังตรัสอีกว่าอาวุธชิ้นนี้จะต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของชาวเหลียว รับสั่งให้ข้าตามหามันให้เจอ”
หวาชิงเสวี่ยอึ้งไป นางเพียงคิดไม่ถึงว่า การที่องค์รัชทายาทน้อยต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ กลับเป็เพราะแค่คำทำนายคำหนึ่ง? คำพยากรณ์หนึ่งคำ?
แต่เมื่อนางคิดทบทวน ถึงแม้ว่าคำทำนายจะไม่น่าเชื่อถือ แต่เื่นี้กลับช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้โดยบังเอิญ หากพูดตามตรง นางคงต้องขอบคุณฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉีอย่างสุดซึ้ง ไม่อย่างนั้น เกรงว่าตอนนี้นางคงจะแข็งตายอยู่บนูเาไปแล้วกระมัง…
หลี่จิ่งหนานเงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาดำสนิททั้งสองข้างมองตรงไปที่หวาชิงเสวี่ย ในขณะที่ใบหน้ายังมีคราบน้ำตา “ตอนนี้เ้าคงจะรู้สึกว่าข้าน่าขันมากสินะ ใช่หรือไม่?”
หวาชิงเสวี่ยรีบส่ายหน้าทันที
หลี่จิ่งหนานร้องเหอะออกมาอย่างเ็า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อ “เป็เื่ปกติที่เ้าจะไม่เชื่อ ขุนนางทั้งราชสำนักก็ไม่มีใครเชื่อเสด็จพ่อของข้า แม้แต่เสด็จแม่ก็ยังตรัสว่าเสด็จพ่อเอาแต่หมกมุ่นกับการทำนายจนเสียสติไปแล้ว…มีครั้งหนึ่งข้าได้ยินขุนนางพูดว่า หากเสด็จพ่อไม่ได้หลงใหลในเื่งมงายพวกนี้ มณฑลซี เหอ และโม่ทั้งสามมณฑลก็คงจะไม่ถูกยกให้กับแคว้นต้าเหลียวแล้ว”
พอหลี่จิ่งหนานพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความโศกเศร้าอย่างยิ่ง “แต่ว่า ท่านคือเสด็จพ่อของข้า แม้คนทั้งใต้หล้าไม่เชื่อพระองค์ แต่ข้าจะไม่เชื่อพระองค์ไม่ได้! เสด็จพ่อตรัสว่าทีู่เาพานหลงมีอาวุธ ก็ย่อมต้องมีแน่! ูเาพานหลง อาวุธประจำชาติ…ข้าจะต้องหามันให้เจอให้จงได้!”
—————————————————————————————————
[1]จิน(斤)หน่วยวัดของจีน หนึ่งจิน เท่ากับครึ่งกิโล
[2]เปิ่นเตี้ยนเซี่ย(本殿下)เป็คำเรียกแทนตัวเองขององค์หญิง องค์ชาย
[3]ตายเก้ารอดหนึ่ง(九死一生)คนที่รอดตายหวุดหวิด สามารถฝ่าอันตรายที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ยังรอดอยู่ได้
[4]เอ็ดเวิร์ด เมอร์ฟี(爱德华·墨菲)Edward Murphy วิศวกรผู้สร้างกฎของเมอร์ฟีจากการทดลองแรงจีในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งเน้นการเตรียมพร้อมรับมือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเสมอ