ณ ห้องเพรสซิเดนสูท
ชายผู้มีใบหน้างดงามยิ่งกว่าปีศาจ ท่อนขายาวนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาดูสง่างามและสูงส่ง ข่มทุกสิ่งรอบกายให้สยบอยู่ภายใต้บรรยากาศอันน่าเกรงขามของเขา
มันช่างทำให้ใจเต้นแรงนัก! ูเี่อันมองริมฝีปากอันเซ็กซี่ที่ชอบพูดแต่คำเ็าไร้จิตใจของเขาอย่างไม่ละสายตา
“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอ ที่แต่งงานกับเธอ เพียงแค่้าให้ความหวังใน่หลายปีมานี้ของคุณแม่เป็จริงเท่านั้น พวกเราไม่มีทางเป็สามีภรรยากันจริงๆ ได้ เข้าใจ?”
ูเี่อันกะพริบตาปริบๆ ยิ้ม
“หือ บังเอิญจัง ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรกับนายเหมือนกัน พี่เป๋าเหยียน จับมือกันหน่อยไหม?”
ตอนสิบขวบ เธอเรียกเขาแบบนี้ตลอด แต่สิบสี่ปีให้หลัง เธอพูดคำนี้ออกมาอีกครั้งก็จริง แต่กลับไม่หลงเหลือความสนิทสนมเหมือนเมื่อตอนเด็ก มีเพียงแค่รอยยิ้มของเธอที่ยังคงสดใสที่ยังคงเดิม เธอมองตาเขาดั่งกับอ่านได้ทะลุปรุโปร่ง
ลู่เป๋าเหยียนเมินคำหยอกเย้าของเธอ พูดตอบกลับเหมือนสั่งงานกับลูกน้องว่า
“พรุ่งนี้ขนข้าวของมาที่บ้านฉัน ไปอยู่ที่ห้องนอนแขก”
ซู่เจียนอันเบ้ปาก พูดเหมือนเธออยากจะนอนกับเขาอย่างนั้นแหละ ผู้ชายคนนี้ชักจะมากไปแล้ว เธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเรียกศักดิ์ศรีคืนมา
“นายกลัวที่จะต้องอยู่ร่วมห้องกับฉัน?” เธอลองพูดแทงใจเขาดู “กลัวควบคุมตัวเองไม่ได้หรือไง”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการท้าทายและยั่วยุนั้น ช่างผิดกับผิวขาวๆ และใบหน้าจิ้มลิ้มที่มีดวงตาคู่ใสดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั่นเหลือเกิน
แต่เด็กน้อยสุดไร้เดียงสากลับพูดคำพูดแบบนี้ออกมาเนี่ยนะ?
ลู่เป๋าเหยียนยกมุมปาก เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ูเี่อันแอบเห็นความชั่วร้ายบางอย่างออกมาจากสายตาของเขา ผู้ชายหน้าหล่อคนนี้ ในชั่วพริบตาเหมือนสยายปีกสีดำกลายร่างเป็ปีศาจร้ายอย่างไรอย่างนั้น
อันตราย!
ูเี่อันกะพริบตาสองที ขยับตัวถอยหลังเตรียมพร้อมรับมือ
“คิดจะหนี?”
ลู่เป๋าเหยียนเดินรุกไล่จนเธอหลังติดกำแพง ยกแขนสองข้างเอามือแนบผนังล็อกเธอไว้ในวงแขน
ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นในทันใด ูเี่อันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของลู่เป๋าเหยียน และเมื่อมองไปยังใบหน้าที่งดงามราวสลักของเขาแล้ว ใจของเธอก็เริ่มเต้นแรง
แต่...มองคนหล่อหรือจะสำคัญเท่าหาทางหนี?
“เอ่อ พี่เป่าเหยียน ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้ ฉันเห็นชัดเจนเต็มตาแล้วว่า พี่ยังหล่อเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยนเลยค่ะ” เธอยิ้มอย่างเอาใจ ค่อยๆ ย่อตัวลง กะหนีจากสถานการณ์นี้ไปแบบเนียนๆ
ลู่เป๋าเหยียนมองออกว่าเธอ้าอะไร จึงจับเธอไว้แล้วยกตัวเธอขึ้นมา “อยู่ใต้สายตาพี่เป๋าเหยียนของเธอ ยังจะคิดหนีไปไหน หือ?” หางเสียงของเขานั้น เต็มไปด้วยความล้อเลียน
ูเี่อันเริ่มโมโห เธอก็มีศักดิ์ศรี ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็งใช่ไหม!
“ปล่อยฉัน ไม่งั้นฉันจะฟ้องแม่นายว่านายรังแกฉัน!” คุณน้าเป็เพียงคนเดียวบนโลกนี้ที่สามารถจัดการลู่เป๋าเหยียนได้
“จะฟ้องแม่ฉันว่าเรานอนด้วยกัน แล้วฉันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างนั้นเหรอ? หือ?” ลู่เป๋าเหยียนตอบกลับอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“เอ่อ นายพูดแบบนั้นก็โหดร้ายไป เดี๋ยวคุณน้าจะรับไม่ได้เอา...”
เธออยากจะร้องไห้ ทำไมไม่เคยมีใครบอกเธอว่าที่แท้ลู่เป๋าเหยียนเป็คนร้ายกาจขนาดนี้ ทีนี้จะเอาไงดีล่ะ?!
ลู่เป๋าเหยียนเลิกคิ้ว “เื่แค่นี้เรียกว่าโหดร้าย?”
อยู่ๆ เขาก็เอามือมาวางไว้ที่เอวของเธอ ลูบไล้ไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างหยอกเย้า แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไป้า
“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ เรียกว่าอะไร?”
ูเี่อันรู้สึกเหมือนสมองจะะเิ! เป็ครั้งแรกที่เธอถูกเพศตรงข้ามััอย่างใกล้ชิดแบบนี้ ใบหน้านวลน่ามองแดงระเรื่อ ูเี่อันหายใจถี่ถลึงตาใส่ลู่เป๋าเหยียน “นาย...”
ได้แต่พูดคำว่านาย...ค้างไว้อยู่อย่างนั้น คนพูดจาคล่องแคล่วช่างต่อปากต่อคำอย่างเธอกลับไปต่อไม่ถูก
“ฉันทำไม?” ลู่เป๋าเหยียนพูดพลางขยับริมฝีปากโค้งน่าหลงใหล แย้มยิ้มอย่างพอใจ “หรือว่าเธอกะจะบอกแม่ฉันว่า ฉันรังแกเธอแบบนี้?”
“ตาบ้าโรคจิต!” ูเี่อันจับมือลู่เป๋าเหยียนแล้วกัดลงไปตรงข้อมือของเขา กลับพบว่ารสััมันแปลกๆ พอดูดีๆ ที่ข้อมือเขาใส่นาฬิกา Piaget ราคาเหยียบล้านอยู่ และที่เธอกัดโดนก็คือนาฬิกาเรือนนั้น
เธอไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี...
เธอลูบปลายจมูก ปล่อยมือลู่เป๋าเหยียนอย่างอายๆ แกล้งทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้
“วางใจได้” ลู่เป๋าเหยียนลดมือลงแล้วมองูเี่อันด้วยสายตาเ็า “ฉันไม่สนใจเด็กผู้หญิงอย่างเธอ”
เด็ก ผู้ หญิง?
นี่มันดูถูกเหยียดหยามกันชัดๆ เธอรู้สึกโกรธขึ้นมา “นายต่างหากที่เด็ก! ฉันอายุยี่สิบสี่แล้วนะ!”
ลู่เป๋าเหยียนมองหน้าอกของเธอแวบหนึ่ง “จับดูแล้วเหมือนของเด็กสิบสี่”
เธอกัดฟันโกรธ ไม่ยอมแพ้ “ส่วนของนายจับแล้วเหมือนเด็กสี่ขวบ!”
“หืม?” ลู่เป๋าเยียนเลิกคิ้ว “เธอเคยจับของฉันตอนไหน?”
“...” เธอเคยจับของเขาจริงๆ ที่ไหนล่ะ โดนพูดแบบนี้ถึงกับเหงื่อตก
รอยยิ้มชั่วร้ายยั่วยวนกลับมาปรากฏบนใบหน้าของเขา “ลืมแล้วเหรอ? ไม่เป็ไร จะให้เธอจับตอนนี้เลยก็ได้นะ” พูดจบ เขาก็คว้ามือเธอให้ล้วงเข้าไปในเป้ากางเกงของเขา...
เขา เขา เขา กล้าดียังไงมาทำแบบนี้!
ูเี่อันสมองขาวโพลน ะโออกไปว่า “ให้จับอย่างเดียวไม่แมนเอาซะเลย แน่จริงถอดให้ฉันดูสิ!”
เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป พอเห็นลู่เป๋าเหยียนเริ่มถอดสูทตัวนอกออกถึงได้สติขึ้นมา พวงแก้มสองข้างของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ
“ลู่เป๋าเหยียน!” ูเี่อันพูดอย่างโมโห “นายนี่มันตาบ้าโรคจิตชัดๆ”
ลู่เป๋าเหยียนยิ้มเย็น “คิดว่าฉันจะถอดให้เธอดูจริงๆ หรือไง ออกไปซะ!”
เธอถูกทิ้งแล้วเหรอ? ูเี่อันได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธ
“นายมีสิทธิ์อะไรมาทำตัวเป็เ้าของห้อง นายเป็เ้าของโรงแรมนี้หรือยังไง?”
ลู่เป๋าเหยียนมองหน้าูเี่อัน สายตาที่มองมาเหมือนจะชื่นชมแต่ก็ปนล้อเลียน “ยังนับว่าฉลาด”
ูเี่อัน “...”
ให้ตายเถอะ! เมื่อกี้ก็โดนตานี่เอาเปรียบไปไม่น้อย คราวนี้เธอจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาอีกแน่ สมองจึงเริ่มคิดหาวิธีดีๆ มาจัดการเขา
ลู่เป๋าเหยียนเห็นท่าทีแปลกๆ ของูเี่อัน เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดี จึงคิดจะลากเธอออกไป แต่ในตอนนั้นเอง ูเี่อันกลับะโขึ้นไปบนเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วนอนแผ่ยึดพื้นที่เต็มเตียง
เธอยิ้มอย่างพอใจ “ลู่เป๋าเหยียน ตอนนี้ใครกันแน่ที่ควรออกไป คงไม่ต้องให้ฉันบอกสินะ”
ลู่เป๋าเหยียนหรี่ตา มองมาที่เธอด้วยสายตาอันตราย
เธอเห็นเขามองแบบนั้นก็เริ่มตัวสั่นขึ้นมา นับว่าโชคดี ที่มือถือที่วางอยู่ในห้องรับแขกของลู่เป๋าเหยียนดังขึ้นมาได้จังหวะ เพราะเสียงที่ดังอยู่คือเสียงเรียกเข้าเฉพาะสำหรับเวลามีเื่ด่วน ลู่เป๋าเหยียนขมวดคิ้วแล้วเดินออกไป
ูเี่อันถอนหายใจอย่างโล่งใจ รีบลงจากเตียงเพื่อไปล็อกประตู แล้วเพลิดเพลินไปกับค่ำคืนอันแสนสุขในห้องนอนใหญ่ของเพรสซิเดนสูท