ได้ฟังความเห็นของเจินจูแล้ว หวังซื่อก็พยักหน้าติดๆ กัน สามารถจดความดีความชอบสักเื่ต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านได้เป็เื่ที่ดี
เ้าเหวินเฉียงผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านวั้งหลิน เป็คนมีอำนาจและบารมีในหมู่บ้าน นับเป็ป้าหวัง [1] ในท้องถิ่น ทว่า แม้ตัวเขาจะแข็งกร้าวอยู่บ้าง แต่ยังนับได้ว่าจัดการเื่ราวได้ยุติธรรมนัก หลายปีมานี้ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านค่อนข้างนั่งได้มั่นคง
“ความคิดของเจินจูดี เราเอาลู่ทางไปบอกแก่ท่านอาเ้าก่อน ให้เขานำ ดีทั้งต่อเขาและต่อเรา” เ้าเหวินเฉียงอายุห้าสิบต้นๆ ตามการนับรุ่นหูฉางหลินเรียกว่าท่านอา
“เช่นนั้นก็ได้ อีกสักครู่พวกเราซื้อกาสุราในเมือง รอกลับไปตอนเย็น ฉางหลิน เ้าไปดื่มสองจอกกับเ้าเหวินเฉียง แล้วจำไว้ว่าคิดก่อนเอ่ยเล่า อย่าเอาที่ไม่ควรกล่าวเอ่ยออกมาตรงๆ” หวังซื่อมอบหมายอย่างระมัดระวัง บุคลิกหลังดื่มสุราไปแล้วของหูฉางหลินยังนับว่าดี ไม่กล่าวเพ้อเจ้อไปทั่วเหมือนตอนไม่มีสติ
เดิมทีควรให้ชายชราหูไป เนื่องจากชายชราหูกับเ้าเหวินเฉียงเป็รุ่นเดียวกัน รู้จักกันั้แ่เด็ก คำพูดจึงเอ่ยง่ายหน่อย แต่ชายชราเดินไม่คล่องแคล่ว ความสามารถในการดื่มเหล้าก็ไม่ได้ ดื่มมากไปก็หัวทิ่มหลับ กลัวว่าจะเอ่ยยังไม่ทันจบ คนก็ฟุบไปแล้ว
“ทราบแล้ว ท่านแม่ ท่านยังไม่รู้จักข้าอีกหรือ เวลาไหนข้าก็ไม่กล่าวมั่วซั่ว” หูฉางหลินชูแส้โบกไปมาแล้วกล่าวกระซิบ
เวลาไหลไปตามเสียงพูดคุยของทุกคน ในชั่วพริบตา ประตูเมืองก็ใกล้เข้ามาอยู่ตรงหน้า
เกือบจะถึงประตูเมือง หูฉางหลินค่อยๆ หยุดวัวให้เดินช้าลง อากาศปลอดโปร่ง ในเมืองคนสัญจรบนถนนมากมาย เกวียนวัวและรถม้าไม่กี่คันกำลังต่อแถวเข้าเมือง
“น้องสาวเจินจู?” เสียงะโเรียกเบาๆ หนึ่งเสียงกระตุ้นให้เจินจูที่อยู่ข้างหลังบนเกวียนวัวนั่งแข็งทื่อทันที
“เป็เ้าจริงๆ ด้วย เมื่อครู่ยังนึกว่ามองผิดเลย” เสียงใสสบายๆ ทำให้รู้สึกสงบ แต่เจินจูที่ได้ฟังกลับมุมปากกระตุก นี่มันโชคชะตาน่ารำคาญอะไรกัน พบเจอเขาได้บ่อยเสียจริง
สามคนบนเกวียนวัวมองรถม้าที่อยู่เื้ัเจินจูด้วยความประหลาดใจ ตัวเกวียนดำขลับแม้ไม่สะดุดตา แต่ม้าที่ลากเกวียนท่าทางคล่องแคล่วว่องไวมีอานุภาพสูงไม่น้อย พอมองก็รู้ได้ว่าราคาไม่ธรรมดา
จัดการความรู้สึกบนใบหน้าแล้ว เจินจูก็หมุนกายกลับไป ใบหน้าแสดงรอยยิ้มกล่าวทักทาย “ที่แท้เป็พี่ชายกู้อู่ ไม่ได้เจอกันเสียนาน นี่ท่านจะไปที่ใดหรือ?”
หน้าต่างบนรถม้าถูกดึงขึ้น เด็กหนุ่มร่างกายอ่อนแอขี้โรคสวมผ้าไหมสีแสงจันทร์ตัวยาวแบบจีน แม้ใบหน้าขาวซีดและสีริมฝีปากจะหม่น แต่สีหน้ากลับลมเบาเมฆจาง ท่าทางสูงศักดิ์มีอำนาจ
“น้องสาวเจินจู บนเกวียนคนนั่งเยอะเช่นนี้ ไม่แนะนำให้พี่ชายสักนิดหรือ?” กู้อู่หลีกเลี่ยงไม่ตอบ ยิ้มแล้วย้อนถาม
“…” เ้าหนุ่มนี่มาอุบายเดิมอีกแล้ว ป่วยหนักเช่นนี้ยังวิ่งเพ่นพ่านข้างนอกอีก เจินจูพยายามอดทนไม่มองบน ฉีกยิ้มบางๆ หนึ่งรอยขึ้น “นี่เป็ท่านย่า ท่านลุงและน้องชายของข้า”
แล้วหันกลับมาอีกที กล่าวอธิบายกับทุกคนที่ประหลาดใจอยู่ “นี่คือพี่ชายสกุลกู้ อยู่ในลำดับที่ห้า เรียกเขาว่ากู้อู่ก็พอ”
“สวัสดีทุกท่าน ข้าน้อยกู้อู่” ความไม่สมัครใจบนใบหน้าเจินจูเก็บซ่อนไว้ แล้วกล่าวหยอกเย้ากู้อู่ ...เด็กสาวนี่ไม่้าเจอเขาจริงๆ กู้อู่ยักไหล่ กลั้นรอยยิ้มพร้อมกับคำนับทำความเคารพ
“สวัสดีคุณชายท่านนี้!” “สวัสดี!” ”สวัสดีพี่ชายกู้อู่!” สามคนสกุลหูตอบรับโดยมิรอช้า
“พี่ชายกู้อู่ เตรียมกลับร้านสมุนไพรหรือ?” ทักทายก็ทักทายแล้ว คนก็รีบไปเถิด
กู้อู่มองกลับไปบนใบหน้าของเจินจู ไม่ได้เจอกันระยะหนึ่ง ใบหน้ารูปไข่ของเด็กสาวอิ่มเอิบขึ้นเล็กน้อย กล้ามเนื้อและผิวที่ขาวราวหิมะเปล่งปลั่งทำให้คนอิจฉาเสียจริง ดวงตาโตๆ กะพริบอยู่เป็ระยะ ท่าทางยิ่งน่ารักมากขึ้น
“ใช่แล้ว พวกเ้าเล่า? ออกมาขายกระต่ายอีกแล้ว?” กู้อู่สังเกตตะกร้าไผ่สานไม่กี่ใบบนเกวียนเล็กน้อย
เกวียนวัวค่อยๆ เคลื่อนไปตามแถวข้างหน้า รถม้าของกู้อู่ติดอยู่กับเกวียนวัวข้างหน้า
“ใช่แล้ว เข้าเมืองขายกระต่ายกับเห็ด” เจินจูไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย ชี้ไปที่ตะกร้าไผ่สานอย่างเปิดเผย กระทั่งเลิกม่านฟางหนึ่งอันในนั้นเปิดออก คว้ากระต่ายสีเทาหนึ่งตัวขึ้นมาใกล้หน้าต่างเกวียนของเขา
กู้อู่ชะงักงัน กำลังคิดจะพูดจา ในลำคอกลับมีอาการคันจู่โจมขึ้น เขารีบหมุนกายใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากพร้อมกับไอเสียงดัง
บ่าสองข้างกู้อู่กระตุกรุนแรง เสียงไออยู่พักหนึ่งความเ็ปที่หน้าอกก็ตามมา กลิ่นคาวสายหนึ่งพรั่งพรูขึ้นในลำคอ เืสีแดงฉานสำลักออกมา กู้อู่ปิดไว้แน่น เขาหอบเฮือกใหญ่เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกเ็ปในลำคอ
เจินจูถูกเสียงไออย่างรุนแรงของกู้อู่ทำให้ใ รีบเอากระต่ายวางกลับลงไป นึกเสียใจอยู่ข้างในเล็กน้อย เข้าใกล้ขนสัตว์ไม่ได้ล่ะสิ?
ทันทีหลังจากนั้น เจินจูมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่ผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะในมือกู้อู่ถูกย้อมเป็สีแดงฉานในชั่วพริบตาด้วยเืที่ไอออกมา แม้กู้อู่จะรีบหมุนกายกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วก็ตาม
“…”
ในใจเจินจู “กระตุก” ทีหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าจะไอจนสำลักโลหิต อาการป่วยของกู้อู่น่าจะค่อนข้างหนักมากเลยกระมัง ไออาเจียนออกมาเป็เื เหตุการณ์นี้ทำให้นางนึกถึงสภาพของหลินไต้ยู่ในละครที่ไอเป็เืออกมา แล้วมองอาการของกู้อู่ เหตุใดท่าทางเหมือนเป็วัณโรค? ในยุคโบราณ วัณโรคเป็โรคที่ไม่มีทางรักษานี่ อีกอย่าง ที่สำคัญคือวัณโรคสามารถติดต่อได้
พักหนึ่งเจินจูเริ่มตึงเครียดขึ้นมา นางไม่ได้กลัวว่าจะติดเชื้อ แต่บนเกวียนยังมีคนชรากับเด็กเล็ก ภูมิต้านทานค่อนข้างต่ำเล็กน้อย ง่ายต่อการติดเชื้ออย่างแน่นอน
แต่ พอกลับมาคิดอีกที กลับรู้สึกว่าไม่น่าใช่วัณโรค หากป่วยเป็โรคนี้จะออกมาวิ่งเพ่นพ่านข้างนอกได้อย่างไร ส่วนใหญ่จะตัดขาดจากโลกภายนอก ยิ่งกว่านั้นบ้านของเขายังเปิดร้านสมุนไพร ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้าใจเื่เหล่านี้หรอก
“คุณชาย ยาอยู่ในตู้ติดผนัง” ชายชุดดำที่ขับรถม้ารีบดึงม้าไว้ หยุดเกวียนลง
กู้อู่ที่อยู่ภายในเกวียนพยายามกลั้นกลิ่นคาวเืที่กำลังทะลักขึ้นมา และผ่อนลมหายใจ “ไม่ต้องแล้ว กลับไปค่อยว่ากัน”
ใบหน้าวิตกกังวลของชายชุดดำกลับจนปัญญาอีกครั้ง อาการป่วยของคุณชายยิ่งรุนแรงขึ้น ระยะนี้มาถึงขั้นที่ยาและเข็มหินใช้ไม่ได้ผลแล้ว นึกขึ้นได้ว่าก่อนออกเดินทาง ฟู่เหรินกำชับทุกคนที่ติดตามครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าต้องพาคุณชายกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ แต่คุณชายกลับไม่คิดที่จะกลับเมืองหลวงเลยสักนิด ในคำพูดของเขากล่าวว่า ทำไมต้องกลับไปให้คนทั้งบ้านทุกข์ใจตามด้วยเล่า
“ตามข้างหน้าไป” กู้อู่ลมหายใจมั่นคงแล้ว เลยหยิบเอากาน้ำชาเก็บความร้อนในช่องสี่เหลี่ยมเล็กจากตู้ติดผนังออกมา เทลงในถ้วยครึ่งหนึ่ง แล้วบ้วนปาก
“ขอรับ” รถม้าค่อยๆ ออกเดิน ตามเกวียนวัวไป
“เด็กชายผู้นั้นดูแล้วร่างกายแย่นัก” หวังซื่อมองที่รถม้าด้านหลัง แล้วกล่าวเบาๆ กับเจินจู
“อื้ม เขาร่างกายไม่ดีจริงๆ” เจินจูตอบกลับ ในใจขมขื่นขึ้นหนึ่งสาย
รถม้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง บนใบหน้าขาวซีดของกู้อู่โค้งรอยยิ้มรู้สึกผิดขึ้น “ขออภัย ร่ายกายกู้อู่มีโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกแล้ว”
“พี่ชายกู้อู่ ในเมื่อร่างกายไม่เอื้ออำนวย ก็น่าจะพักผ่อนอยู่บ้านสิ เหตุใดยังเดินเที่ยวเตร่ข้างนอกเล่า?” หน้าหนาวของทางเหนือหนาวแห้งมาก ไม่ดีต่อผู้ป่วยที่ไอนัก หากอยู่ทางใต้ที่อบอุ่นชุ่มชื้น อาการป่วยของเขาน่าจะไม่มีทางทรุดลงเร็วเช่นนี้หรอก
“ไม่เป็ไร ป่วยมานานมากแล้ว ไม่ถือโอกาสเดินเล่นตอนอากาศดีเช่นนี้ บางที อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” ประโยคสุดท้ายเอ่ยได้เบานัก แต่ขณะนี้เจินจูหูตาฉลาด กลับได้ยินคำพูดของเขาชัดเจน
เจินจูแสบจมูกทันที อ้าปากอยากกล่าวอะไรเล็กน้อย แต่ลำคอกลับเป็ใบ้ไม่ได้เอ่ยออกมา
กู้อู่มองเด็กสาวตรงหน้า ระหว่างคิ้วย่นนิดหน่อย ดวงตาเผยความเศร้าโศกจางๆ อ้าปากกำลังจะกล่าว แล้วหยุดชะงักลงไปอีกครั้ง
สีหน้าเช่นนี้ คุ้นเคยมากนัก คิ้วบางมีระยะห่างจากตาไม่มาก ตาทั้งสองข้างแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศก ช่างเหมือนมารดาของเขา ทุกครั้งตอนเขาป่วย มักจะกุมมือของเขาไว้ พยายามข่มความเศร้าในใจ และอยู่เป็เพื่อนเขา
“น้องสาวไม่ต้องกังวล ล้วนเป็อาการที่ป่วยมานานมากแล้ว เอาชีวิตข้าไม่ได้หรอก” ในคำพูดมีน้ำเสียงเยาะหยันตนเอง
กู้อู่ลอบถอนหายใจอยู่ข้างใน โรคอ่อนแอที่ติดมาในครรภ์มารดา ดื่มยาสมุนไพรต้มั้แ่เด็กยันโต อยู่ในท่านอนมากกว่ายืน ร่างกายอ่อนแอั้แ่กำเนิด โรคที่ป่วยมานานเกาะกุม ดื่มยาต้มมากมาย ประสิทธิภาพทั่วไปของยาก็ใช้ไม่ได้ผล สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงและยังรับปริมาณยาแต่ละครั้งเพิ่มมากไม่ได้ ขณะนี้สมุนไพรต้มที่ดื่มลงไป ก็เพียงใช้เพื่อปลอบใจขึ้นเท่านั้น
“อย่าเบียด อย่าเบียด ผ่านไปทีละคัน” ทหารทางการประตูเมืองกำลังตรวจสอบเกวียนรถที่เข้าเมือง เวลานี้ก็วนมาถึงเกวียนวัวของครอบครัวเจินจูแล้ว
เมื่อก่อนบ้านเขามักเดินเท้าเข้าไป ไม่เคยพบการตรวจสอบเช่นนี้
“เปิดออกดูหน่อย” ทหารทางการกล่าวเสียงดัง
“ล้วนเป็สินค้าพื้นเมือง กระต่ายกับเห็ด” หวังซื่อรีบเปิดม่านฟางขึ้นทันที ก่อใบหน้ายิ้มแย้มขึ้น ในสายตาและในใจของชาวบ้านต่างก็หวาดกลัวทหารทางการ กลัวมากว่าหากไม่ระวังให้ดีจะทำให้พวกเขาไม่พอใจเข้า
โชคดีนัก ที่สถานการณ์ตอนนี้ในเมืองไท่ผิงยังนับว่ามั่นคง แม้สถานการณ์เมืองหลวงจะปั่นป่วน กำลังของทุกฝ่ายเพิ่มขึ้นอย่างลับๆ แต่ก็ยังไม่กระทบกระเทือนบริเวณใกล้เคียงนี้
ทหารทางการกวาดสายตาอยู่ไม่กี่ที ในตะกร้ามีกระต่ายสีเทาหกเจ็ดตัว “หน้าหนาวหนักเช่นนี้ยังจับกระต่ายได้อีก? แปลกนัก พวกเ้าเป็นายพรานหมู่บ้านไหน?”
“เรียนก่วนเย่ [2] นี่เป็กระต่ายบ้านข้าน้อย ไม่ได้จับมา” หูฉางหลินลงจากเกวียนวัว ยืนอยู่ด้านข้างตอบกลับอย่างเคารพนบนอบ
“แค่ก…” กู้อู่ที่อยู่บนรถม้า ไอเบาหนึ่งเสียง ชายชุดดำเข้าใจทันที จึงสะบัดเชือกออก ม้าแข็งแรงที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ร้องหนึ่งเสียง
เดิมทีทหารทางการยังคิดจะซักถามอีกหนึ่งรอบ เมื่อได้ยินเสียงนั้นแล้วหันมองไป ท่าทางบนใบหน้าจึงเปลี่ยนทันที “อ๊ะ เป็รถม้าของคุณชายสกุลกู้ รีบหลบทางเร็ว อย่าให้คุณชายกู้รอนาน”
สะบัดแขนให้เกวียนวัวรีบผ่านไป หูฉางหลินจึงจูงเกวียนวัวไปข้างหน้าโดยมิรอช้า
เกวียนสองคัน หนึ่งหน้าหนึ่งหลังเคลื่อนบนทางมาระยะสั้นๆ
“ท่านลุง หยุดครู่หนึ่งก่อน” เจินจูกล่าว หยิบเอากระต่ายหนึ่งตัวจากในตะกร้าติดมือขึ้น ใช้เชือกป่านมัดขาหลังไว้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ะโลงจากเกวียนวัวทันที
เดินมาสามก้าวห้าก้าวใกล้กับรถม้าของกู้อู่ ลับตาสกุลหูทุกคน ก็แสร้งควักเอาหัวไชเท้าสดหนึ่งหัวออกมาจากในเสื้อหนาว
ชายชุดดำมองแม่นางตัวน้อยที่เดินเข้ามาใกล้ ราวกับแสดงกล ควักเอาหัวไชเท้าหนึ่งหัวออกมาจากเสื้อหนาวที่มีความกว้างเพียงเล็กน้อง จึงใทันที
กู้อู่คล้ายกับรู้ว่าเจินจูเดินเข้ามา ประตูเกวียนจึงเปิดออกอย่างไม่ต้องมีใครแจ้งล่วงหน้าแม้แต่น้อย ภายในเกวียนกว้างขวางปูด้วยพรมขนสัตว์หนาๆ ในกรอบไม้ที่ยื่นออกมาด้านข้าง มีถ่านแดงร้อนแต่ไม่มีควันสักสายลอยออกมา พอมองก็รู้ว่าดีกว่าถ่านไฟบ้านนางหลายระดับนัก ทั้งตู้เกวียนเรียบง่ายแต่ก็หรูหรา
เจินจูเพียงถือโอกาสกวาดตามองเล็กน้อย ไม่นานก็ผลุบสายตากลับ เอากระต่ายที่พันขาไว้ยื่นส่งให้ชายชุดดำ ชายชุดดำก็รับไว้ด้วยความตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก
ทันทีหลังจากนั้น เจินจูก็เอาหัวไชเท้าในมือส่งให้กู้อู่ที่อยู่ในเกวียนตรงๆ รอจนเขารับไปแล้ว จึงกล่าวอย่างยิ้มตาหยี “พี่ชายกู้อู่ หัวไชเท้าที่ติดค้างท่านไว้ครั้งก่อนเอามาให้แล้วเล่า ถือโอกาสให้กระต่ายหนึ่งตัวกับท่านด้วย เนื้อัักระต่ายบ้านข้าสดและนุ่มนัก เลี้ยงบำรุงอย่างอุดมสมบูรณ์ หัวไชเท้าตุ๋นกระต่าย ซดได้หลายมื้อเลย ช่วยบรรเทาอาการไอของท่านได้นัก ต้องทานนะ”
เจินจูกะพริบตาเน้นๆ หัวไชเท้าเป็ผลผลิตของมิติช่องว่างโดยตรง กระต่ายก็ป้อนด้วยผลผลิตของมิติช่องว่างเป็บางครั้ง สองอย่างนี้มีผลดีต่ออาการป่วยของเขาไม่มากก็น้อย ตอนนี้นางสามารถช่วยได้มากเช่นนี้แล้ว ต่อไป ต้องดูว่าเขาจะฉลาดพอหรือไม่
เชิงอรรถ
[1] ป้าหวัง หมายถึง จอมอันธพาล หรือหัวหน้าเ้าเมืองบริวารในสมัยโบราณ ในนิยายหมายถึง ผู้เป็หัวหน้าและมีอำนาจมากในพื้นที่นั้นๆ
[2] ก่วนเย่ ใช้เรียกข้าราชการในสมัยก่อนด้วยความเคารพ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้