Chapter twenty-nine: confession
และแล้วสิ่งที่ไซม่อนประมาทที่สุดก็คือความเด็ดเดี่ยวของแพทริเซียนั่นแหละ ใครจะไปคิดกันล่ะว่าโอเมก้าตัวขาวนั้นจะเดินทางกลับบ้านในวันนั้นเลย ทั้งที่ปกติแล้วอีกฝ่ายมักจะกลับบ้านตอนเช้าและเราก็จะได้ร่ำลากันอยู่ตลอด แต่ในครั้งนี้อีกฝ่ายกลับกลับบ้านไปทั้งที่ไม่ได้บอกอะไรเขาสักคำ มีเพียงแค่การเอ่ยบอกในวันที่เราทั้งสองคนดูตึงใส่กันและกันแบบไม่มีเหตุผลแค่เท่านั้นแหละ
ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของแพทริเซียหรอกที่จะรู้สึกว่าเขาเฉยชาใส่ เพราะหลังจากที่เขาพูดคุยกับคุณอาในวันนั้น ขนาดพี่เลี้ยงของเขาที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลายังไม่สบายใจจนต้องคอยถามเขาอยู่ตลอดเพราะใบหน้าเรียบเฉยที่ไม่เปลี่ยนไปเลยทั้งวัน แต่ใจที่มันยังขุ่นมัวไปเพราะคำพูดและคำติเตียนที่เขาไม่ได้แม้แต่จะแก้ตัวหรืออธิบายอะไรออกไปทำให้เขาต้องนั่งอมทุกข์อยู่อย่างนั้นทั้งวัน หากเป็ปกติแล้วเขาก็คงจะระบายอะไรออกไปให้อีกฝ่ายฟังนั่นแหละ แต่จะให้ทำยังไงกันล่ะ ในเมื่อเื่ที่เขากำลังรู้สึกไม่ดีอยู่มันเป็เื่ที่เกี่ยวกับแพทริเซียซะอย่างนั้น เขาจึงเลือกที่จะเก็บเงียบทุกอย่างเอาไว้กับตัวเองแล้วรอให้ตัวเองได้จัดการกับความรู้สึกทั้งหมดได้ค่อยเล่าให้คนที่เอาแต่นั่งมองเขาเงียบ ๆ อยู่ตลอดทั้งชั่วโมงการสอนฟัง แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาเลือกก็เหมือนจะผิดไปหมด เพราะในตอนที่เขาจะตัดสินใจไปอธิบายทุกอย่างให้โอเมก้าตัวขาวฟัง ประตูไม้บานใหญ่ของห้องนอนอีกคนก็ไม่ได้ถูกเปิดให้เขาเหมือนอย่างเคย
แพทริเซียไม่ได้อยู่ให้เขาอธิบายแล้ว
อีกไม่นานก็ใกล้จะหมดฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เป็เวลาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่คฤหาสน์ควินท์เรลไม่มีโอเมก้าตัวขาวที่มักจะเดินเล่นอยู่ในสวนให้ได้เห็น ใน่แรกเขาก็พยายามจะไม่สนใจอะไรนักแต่สุดท้ายสายตาของเขามันก็สอดส่องไปทั่วรอบคฤหาสน์เหมือนอย่างที่มักจะทำในตอนที่อีกฝ่ายยังอยู่จนได้ ตารางสอบที่อัดแน่นกับจิตใจที่ถูกรบกวนอยู่ตลอดนั้นทำให้ไซม่อนแทบจะเป็บ้าเลยก็ว่าได้ เขาไม่ได้อยากจะยอมรับเท่าไหร่นักว่าเื่ของแพทริเซียมันค่อนข้างจะกวนใจเขาแต่สุดท้ายยังไงเขาก็หนีความจริงไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ
“แล้วนายก็ไม่ได้โทรไปอธิบายอะไรกับเขาเลยเหรอ?” เสียงทุ้มของอัลฟ่าตาสองสีถามขึ้นทันทีที่ได้รับฟังเื่ที่ทำให้เขาหนักใจมาตลอดทั้งสัปดาห์
“อื้ม”
เสียงเห่าของเ้าแซมมี่ดังขึ้นไปทั่วบริเวณสวนกว้าง ลมเย็นพัดใบไม้จนปลิดปลิวลอยไปตามอากาศ ผืนหญ้ากว้างที่เคยเป็สีเขียวชอุ่มกลับถูกทับถมด้วยใบไม้สีส้มจนแทบจะมองไม่เห็นหญ้าแล้วด้วยซ้ำ เ้าสุนัขขนปุยตัวโตยังคงเล่นหยอกล้อกับอัลฟ่าตาสองสีอย่างคุ้นชิน สุดท้ายก็เป็เจซนั่นแหละที่ต้องมานั่งรับฟังเื่ราวของเขา หลังจากสอบเสร็จทุกวิชาแล้ว สิ่งแรกที่ไซม่อนทำก็คือโทรหาเพื่อนสนิทของตัวเองทันทีแต่เพราะเขาเอาแต่อึกอักไม่ยอมพูดอะไรสักทีจึงทำให้เจซมาเจอเขาต่อหน้าเพื่อถามหาความจริงทันที เพราะเจซรู้ดีว่าเขาไม่สามารถโกหกได้หากได้เจอกันหรือต่อให้เขาจะโกหก เจซก็จะอ่านท่าทางของเขาและรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังโกหกอยู่ เพราะอย่างนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ตอนอยู่กับเจซก็คือเล่าความจริงทั้งหมดนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นมีหวังเขาจะต้องกลายเป็ลูกหมาที่ถูกต้อนเข้ามุมห้องแน่ ๆ
“สรุปคุณอาเขาพูดอะไรกับนายกันแน่ ทำไมจู่ ๆ นายถึงเป็อย่างนั้นได้” เจซเอ่ยถามอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาถามขึ้นในขณะที่มือก็ยังขว้างปาของเล่นกับเ้าแซมมี่และนั่นก็ทำให้ทายาทควินท์เรลต้องถอนหายใจออกมายาว ๆ
“เจซ ฉันเครียดจริงนะ”
“แล้วฉันบอกตอนไหนว่านายดูล้อเล่น?”
“นายช่วยนั่งให้คำปรึกษาฉันก่อนไม่ได้หรือไงเพื่อน”
“จัดการความรู้สึกตัวเองก่อนดีกว่าไหมค่อยมาปรึกษากันน่ะ” เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
“เจซ”
“ว่าไง? ไปคาบมาสิแซมมี่”
“เจซ แมคคอยด์” ไซม่อนกดเสียงต่ำเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทจนคนถูกเรียกต้องชะงักและหันกลับมามองอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
มีไม่กี่ครั้งนักหรอกที่เขาจะเรียกเจซด้วยเสียงแบบนี้และนี่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบเลยสักนิด อัลฟ่าหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวยาวด้วยความเหนื่อยใจ สองฝ่ามือถูกยกขึ้นลูบใบหน้าเพื่อเรียกสติอีกครั้ง เขาไม่ได้หงุดหงิดอะไรเจซหรอก เอาจริงแล้วในตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดตัวเองมากกว่า เพราะความสับสนและเื่ของแพทริเซียที่คอยกวนใจเขาอยู่ตลอดทั้งวันทำให้ไซม่อนเริ่มจะพาลเื่นั้นเื่นี้ไปทีละนิด แล้วเขาก็ไม่ได้ชอบเลยสักนิดที่ตัวเองกำลังเป็แบบนี้อยู่
เ้าของดวงตาสองสีทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ทันทีที่เห็นท่าทางที่แปลกไปของเพื่อนสนิท เขาเอื้อมมือไปรับของเล่นจากเ้าแซมมี่พร้อมลูบหัวมันอย่างเบามือสองสามครั้งเพื่อเป็การสั่งให้มันหยุดเล่นซะก่อนที่เ้านายของมันจะสติแตก
“อาการเป็ยังไงไซม่อน”
“เฮ้อ”
“เล่ามาให้ฉันฟังสักที หมายถึงแยกเป็เื่ไปน่ะทำได้ไหม?”
“ฉันไม่สบายใจ”
“เื่ที่คุณอาตินายเื่ทำเอกสารเหรอ?”
“เปล่า”
“แล้วมันเื่อะไรที่ทำให้นายเป็บ้าอยู่แบบนี้ ลุกขึ้นมานั่งดี ๆ ก่อนเพื่อน”
เจซเอื้อมมือมาดึงแขนเพื่อนสนิทของตัวเองที่นั่งพิงเก้าอี้ตัวยาวอย่างหมดแรงอยู่ สภาพของไซม่อนในตอนนี้ดูไม่จืดเลยสักนิด ใต้ตาของอัลฟ่าหนุ่มช้ำเหมือนคนอดหลับอดนอนมาเป็เวลานานและสาเหตุก็แทบไม่ต้องคาดเดาเลยสักนิดเพราะเจซเองก็เพิ่งจะหมดฤดูกาลสอบไปหมาด ๆ เช่นเดียวกัน แต่ถึงยังไงเขาก็ยังมีเพื่อนร่วมคณะที่คอยติวช่วยกันไม่ได้เรียนโฮมสคูลคนเดียวอย่างไซม่อน เขาจึงไม่แปลกใจเลยที่สภาพของไซม่อนจะออกมาเป็แบบนี้ ไหนจะเื่ของโอเมก้าตัวขาวนั่นที่มากวนใจเพื่อนสนิทของเขาอยู่อย่างนี้
ความจริงเขาก็ดูออกมาตั้งนานแล้วนั่นแหละว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นระหว่างไซม่อนและแพทริเซีย แต่ใครจะไปนึกถึงกันละว่าเพื่อนตัวโตที่ไม่เคยแม้แต่จะพูดถึงเื่ความรักเลยสักครั้งจะมีอาการได้ถึงขนาดนี้ เพียงแค่แพทริเซียแสดงอาการออกมาว่ากำลังโกรธอยู่แบบนั้นก็ทำไซม่อนร้อนรนซะจนต้องโทรหาเขาย้ำอยู่อย่างนั้นแทบจะทั้งคืน ถึงจะแอบตลกท่าทางเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่บ้างแต่ยังไงเขาก็เป็เพียงคนเดียวนั่นแหละที่สามารถดึงสติให้คนตรงหน้าได้
“คุณอาเห็นว่าฉันเอาดอกไม้ให้แพทริเซีย”
“ว้าว..”
“อย่าล้อกันได้ไหมวะ ฉันกำลังปรึกษานายอยู่นะ”
“ฮ่า ๆ อะไรเล่า ฉันไม่ได้ล้อนายสักหน่อย ก็แค่แปลกใจนิดหน่อย”
“ไอ้เจซ”
เสียงหัวเราะของเจซดังไปทั่วบริเวณจนไซม่อนต้องเอื้อมมือไปทุบเพื่อนของตัวเองด้วยความหงุดหงิด ไซม่อนก็ไม่รู้ว่าเจซจะตลกอะไรนักกับการที่เขาเอาแต่นั่งหัวเสียอยู่อย่างนี้ ไม่เพียงแค่หัวเราะเย้ยเท่านั้นแต่อัลฟ่าตาสองสียังคงส่งสายตาหยอกล้อมาให้เขาหงุดหงิดอยู่แทบจะตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ เพราะด้วยความหงุดหงิดนั่นแหละเขาเลยทุบอีกฝ่ายไม่ยั้งและเจซก็ได้แต่ใช้มือปัดป้องให้เขาหยุดทั้งที่ตัวเองก็ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น
“พอแล้วไซม่อน ฮ่า ๆ นายจะทุบฉันให้ตายเลยหรือไง”
“นายก็หยุดหัวเราะสักทีสิวะ”
“โอเค ฉันหยุดแล้ว ๆ เล่าต่อสิ” เจซชูมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างคนยอมแพ้
“มันก็แค่นั้นนั่นแหละ ฉันแค่ไม่อยากให้มีใครเห็นฉันทำอะไรอย่างนั้น”
“ทำไม?”
“ฉันกลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นมันจะไปกระทบกับแพทริเซีย” เสียงทุ้มเอ่ยแ่ลง
“แล้วแพทริเซียเป็อะไรกับนายล่ะ นายถึงต้องมากังวลเื่เขาขนาดนี้?”
ไซม่อนชะงักเมื่อได้ยินคำถามจากเพื่อนสนิทของตัวเอง ในตอนนี้เจซไม่ได้หยอกล้อเขาอีกต่อไปแล้ว เ้าของดวงตาสองสีไม่ได้ส่งรอยยิ้มกว้างมาให้เขาเหมือนอย่างเคย มีเพียงแค่ใบหน้าเรียบตึงและแววตานิ่งเฉยเท่านั้นที่กำลังจดจ้องเขาอยู่
“ว่าไงล่ะ ตอบฉันได้ไหม?” เจซเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
“ฉัน.. ไม่รู้”
“ถ้านายตอบคำถามนี้กับตัวเองไม่ได้แล้วฉันจะไปช่วยนายได้ยังไงกัน”
ริมฝีปากของไซม่อนถูกเม้มเข้าหากันเป็เส้นตรง ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกเลื่อนเข้าประสานกันบนหน้าตักอย่างใช้ความคิด ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันผสมปนเปกันไปหมด มันก็จริงอย่างที่เจซว่า ถ้าหากเขายังตอบคำถามตัวเองเื่แพทริเซียไม่ได้แล้วเขาจะจัดการความรู้สึกเหล่านี้ได้ยังไงกัน ความรู้สึกที่เขามีต่อแพทริเซียนั้นมันไม่ได้เหมือนความรู้สึกที่เขามีให้เจซ แต่ความสัมพันธ์อื่นที่นอกเหนือจากความเป็เพื่อนนั้นเขาก็ไม่เคยมีเลยสักครั้ง แล้วจะให้เขาแยกหรือระบุชื่อของความสัมพันธ์เหล่านี้ว่ายังไงกัน แต่ความรู้สึกคิดถึง โหยหา อยากเจอหน้าอยู่บ่อย ๆ และอยากปกป้องไปตลอดนั้นเขาเองก็ไม่เคยมีให้ใครนอกจากแพทริเซียเลยสักครั้ง
แล้วมันคืออะไรกันล่ะ
ไอ้ความสัมพันธ์ที่ว่านั่นน่ะ
“เจซ”
“ว่าไง?”
“ตอนที่นายมีความรักมันรู้สึกยังไงเหรอ?”
เ้าของตาสองสีหลุดยิ้มทันทีที่ได้ยินคำถามจากเพื่อนสนิทตรงหน้า เอาจริงต่อให้เป็ใครที่รู้จักกับไซม่อนก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าอาการแบบนี้มันเรียกว่าอะไร มีเพียงแค่เ้าตัวนั่นแหละที่ไม่รู้และเจซก็ไม่ได้คิดว่าอาการของไซม่อนในตอนนี้มันน่ารำคาญเลยสักนิด เขากลับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่ในที่สุดไซม่อนก็ได้เจอใครสักคนและมีความรักกับเขาสักที ในตอนแรกเขาก็แอบรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควินท์เรลจะเลิกเก็บซ่อนไซม่อนและปล่อยให้เขาได้ออกไปเจอผู้คนอย่างเป็อิสระสักที เขารู้ดีว่าในการเข้าพิธีสืบทอดทายาทของตระกูล เมื่อใดที่ได้กลายเป็ผู้สืบทอดอย่างสมบูรณ์แบบแล้วสุดท้ายก็ต้องเข้าพิธีแต่งงานแทบจะในทันทีตามประเพณี แล้วหากไซม่อนยังไม่เจอคนที่รัก ตามประเพณีของตระกูลก็ต้องถูกคลุมถุงชนกับคนที่เหมาะสมอยู่ดี หรือต่อให้เจอแล้ว เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้แต่งงานกับคนรักหรือไม่ มันไม่ใช่เพียงแค่กับไซม่อนหรอก ไม่ว่าจะเป็กับเขาเองมันก็เ็ปไม่แพ้กันที่ต้องอยู่กับประเพณีเหล่านี้ เขาไม่รู้หรอกว่าวันนั้นจะมาถึงวันไหน แต่ในตอนนี้ไซม่อนก็ได้เจอคนที่เขาเลือกที่จะรู้สึกรักเองไปแล้ว อย่างน้อยแค่สักครั้งในชีวิตที่เขาจะได้มีสิทธิ์เลือกคนที่รักแค่นั้นก็พอแล้วละ
เสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่กำลังรอคำตอบอยู่ ตอนนี้ไซม่อนกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเดียวกันกับที่เ้าแซมมี่จ้องเขาในตอนที่มันอยากได้ของเล่น และนั่นมันก็ทำให้เขาหลุดขำออกมาทันทีที่ได้เห็น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ไซม่อนก็ยังเป็เหมือนลูกหมาในสายตาของเขาอยู่ดี
และในตอนนี้ลูกหมาของเขากำลังมีความรักเข้าแล้วจริง ๆ
“เจอหน้าเขาไปตลอดชีวิตก็ไม่เบื่อ อยากให้เขาได้กินของอร่อยทุกวัน อยากให้ได้นอนหลับเต็มอิ่ม อะไรแบบนั้นละมั้ง”
“แค่นั้นเหรอ?”
“จะต้องมีอะไรมากไปกว่านี้ล่ะไซม่อน?”
“มันไม่ควรมีเหตุผลมากกว่านี้หรือไงในการรักใครสักคนน่ะ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจในทันที
“แล้วนายมีเหตุผลอะไรที่ยิ้มเวลาแพทริเซียหงุดหงิดใส่”
“..”
“เหตุผลที่เอาดอกไม้ไปให้แพทริเซียล่ะมีไหม?”
ริมฝีปากของเจซยกยิ้มขึ้นเมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทที่มักจะหยอกล้อเขาอยู่ประจำนั่งนิ่งไป สีหน้าของอีกฝ่ายที่นิ่งไปทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าไซม่อนกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่างอยู่ และเจซก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วงเอาคำตอบอะไรจากอีกฝ่ายอีก เขาทำเพียงแค่นั่งเฉย ๆ รอให้ไซม่อนได้คิดทบทวนกับตัวเองเพียงเท่านั้น เขาไม่ได้อยากจะไปจู้จี้หรือจัดแจงอะไรกับความรู้สึกของเพื่อนสนิทมากนัก หากมันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าเพื่อนของเขาจะสมหวังหรือผิดหวังกับความรักครั้งนี้ เขาก็คงทำได้เพียงสนับสนุนอยู่ด้านหลังเงียบ ๆ เหมือนที่เคยทำอยู่ตลอด อย่างน้อยแค่ให้ไซม่อนได้รู้ว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแค่นั้นก็เพียงพอแล้วละ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ เจซก็ยังไม่ได้คำตอบจากไซม่อนเลยแม้แต่คำเดียว อีกฝ่ายยังคงนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นและเขาก็ไม่ได้คิดจะไปเร่งอะไรสักนิด อัลฟ่าตาสองสีเปลี่ยนมาเล่นกับเ้าสุนัขขนปุยตัวโตเหมือนอย่างเคย เสียงของมันยังคงเห่าดังไปทั่วเพื่อเรียกให้เ้าของมาเล่นด้วยกัน แต่ไม่ว่าจะเห่าเรียกแค่ไหนก็ไร้ซึ่งการตอบกลับของไซม่อนอยู่ดี
อัลฟ่าหนุ่มนั่งคิดทบทวนเกี่ยวกับเื่ที่ผ่านมาระหว่างเขาและแพทริเซียอยู่ไม่หยุด ั้แ่วันแรกที่แพทริเซียเข้ามาในคฤหาสน์ควินท์เรลนั้นมันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายดึงอีกด้านที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาออกมายังไงอย่างนั้น ทั้งที่เขาเองก็ไม่เคยได้รู้ว่าเขาก็มีอีกด้านที่ถูกซ่อนไว้อยู่เหมือนกัน หลังจากคุณพ่อเสีย เขาก็แทบจะไม่อยากทำความรู้จักกับใครที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ควินท์เรล นอกจากในห้องเรียน เขาไม่เคยที่จะพูดคุยกับอาจารย์คนไหนนอกเหนือจากเนื้อหาที่สอนเลยสักนิดแต่แพทริเซียกลับเป็คนแรกและคนเดียวด้วยซ้ำที่ทำให้เขายอมคุยด้วย และมีอีกตั้งหลายอย่างที่เขายังอยากเรียนรู้จากแพทริเซียไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เพียงเนื้อหาในบทเรียนหรอก แต่เขาอยากเรียนรู้ตัวตนของแพทริเซียและชอบที่อีกฝ่ายเรียนรู้ในตัวเขาอยู่ตลอดด้วยเหมือนกัน
แต่ถ้าหากความรู้สึกนี้มันไม่ใช่ความรักล่ะ
แล้วความรู้สึกที่มันดีมากมายขนาดนี้จะเป็อะไรไปได้อีก
“แล้วถ้าหากมันยังไม่ถึงกับเป็ความรักล่ะเจซ”
หลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน เ้าของเสียงทุ้มก็ตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังยืนปาบอลให้เ้าแซมมี่อยู่ อีกฝ่ายชะงักมือที่กำลังถือลูกบอลนิ่มนั้นไว้ก่อนจะหันกลับมามองเขาที่กำลังนั่งจ้องรอฟังคำตอบอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“แล้วทำไมนายถึงไม่คิดว่ามันเป็ความรักล่ะ?”
“ฉันไม่รู้ บางทีฉันกับแพทริเซียอาจจะยังไม่รู้จักกันมากถึงขนาดที่จะตกหลุมรักกันได้มั้ง”
“แต่นายก็รู้สึกพิเศษกับแพทริเซียใช่ไหม?”
“มันก็ใช่”
“อาจจะเป็ชอบละมั้ง”
“ชอบ? เหมือนชอบหมาชอบแมวเหรอ?”
เจซพยายามแล้วที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมาตอนนี้ แต่เพราะท่าทางที่ใสซื่อของเพื่อนสนิทนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมาแทบจะทันที
“นายหัวเราะอะไรของนายนักเจซ”
“เปล่า ๆ มันก็เหมือนกันนั่นแหละมั้ง”
“เหมือนยังไง แพทริเซียไม่ใช่หมาไม่ใช่แมวสักหน่อย”
ถึงบางครั้งเ้าตัวจะดูเหมือนแมวมากก็เถอะ
ไซม่อนเผลอนึกในใจขึ้นมา
“แล้วสรุปนายชอบแพทริเซียหรือเปล่าล่ะ?”
“เราไม่เคยไม่ชอบเขาสักหน่อย”
“ชอบไหม?”
อัลฟ่าหนุ่มที่เคยเอาแต่ยืนเถียงเพื่อนสนิทของตัวเองก็เงียบลงทันทีที่ถูกเจซถามย้ำอยู่แบบนั้น ถึงจะมีคำตอบในใจอยู่แล้วก็เถอะแต่ถ้ามีหวังพูดไปตอนนี้ก็จะต้องได้รับสายตาล้อเลียนจากคนตรงหน้าอย่างแน่นอน
“นายไม่ต้องตอบฉันก็ได้ไซม่อน”
“..”
“เก็บไปสารภาพกับคนที่นายควรจะบอกเถอะ”
“ใครจะไปสารภาพกัน พูดอะไรของนาย”
“ฉันจะคอยดู”
– Simon’s theory -
ตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่กลับมาอยู่บ้านของแพทริเซียนั้นมันช่างแสนน่าเบื่อซะเหลือเกิน เขาเพิ่งค้นพบว่าเขาเองก็เริ่มติดการอยู่ใกล้ธรรมชาติเพียงแค่ไม่กี่ก้าวของคฤหาสน์ควินท์เรลเข้าไปแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงยังคงเป็ฤดูที่เขาไม่ชอบที่สุด ฝนที่ตกแทบจะตลอดทั้งคืนทำให้อากาศทั้งชื้นและน่าหงุดหงิดจนโอเมก้าตัวขาวแทบจะขลุกตัวอยู่แค่ภายในผ้าห่มนิ่มเท่านั้น เขาไม่อยากออกไปโดนละอองฝนหรือเหยียบถนนที่ยังคงเปียกอยู่ให้หงุดหงิดใจเท่าไหร่นัก แต่เพราะเขาเอาแต่นั่งขลุกอยู่แค่ในห้องนั่นแหละที่ทำให้ฟุ้งซ่านมาตลอดทั้งสัปดาห์แบบนี้
คิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดอัลฟ่าหน้าหมานั่นขึ้นมาอีกแล้ว
แพทริเซียไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขาทำอะไรผิดนักอีกฝ่ายถึงเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงใส่อยู่ตลอดทั้งชั่วโมงแบบนั้น แม้แต่การอธิบายสักคำที่คาดหวังไว้ก็ไม่มีให้ฟังเลยสักนิด ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็เป็ตัวเองแท้ ๆ ที่ยื่นดอกไม้มาให้แล้วก็ทำเหมือนกับว่าจะรู้สึกเหมือนกัน เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับมาเ็าใส่เขาได้ลง
เสียงถอนหายใจของโอเมก้าตัวขาวดังไปทั่วห้องนอนเล็กเป็รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน ถึงจะบอกว่าไม่ได้คาดหวังก็เถอะแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังอยากฟังคำอธิบายพวกนั้นอยู่ดี เขาถึงเอาแต่คิดและรอวันที่จะได้กลับไปคฤหาสน์ควินท์เรลสักที ถึงไซม่อนจะไม่ยอมเป็คนพูดก่อน เขาเองก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้วละ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาและไซม่อนนั้นมันกวนใจซะจนเขาอยู่ไม่สุขเลยสักนิด ทั้งความไม่เข้าใจเื่ที่อีกฝ่ายทำบึ้งตึงใส่ ทั้งที่อีกฝ่ายมอบดอกไม้ให้ในวันนั้นอีก อย่างน้อยเขาก็ควรจะได้รู้สักทีว่าเขากับไซม่อนคิดตรงกันหรือเปล่า หากไม่ได้คิดตรงกัน เขาจะได้หยุดเข้าข้างตัวเองและถอยกลับไปตั้งใจโฟกัสกับงานของตัวเองอย่างไม่มีอะไรกวนใจสักที
“แพท มีคนโทรมาหาลูก!”
เสียงของคุณแม่ะโขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้านทำโอเมก้าตัวขาวที่นอนอยู่บนเตียงลุกพรวดวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างไม่ลังเล เสียงดังตึงตังของฝีเท้าที่กระทบกับพื้นไม้เรียกเสียงบ่นของคุณแม่ได้เป็อย่างดี และแพทริเซียก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยสักนิด เขาทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้คุณแม่ในตอนที่เจอหน้ากันตรงหน้าโทรศัพท์บ้านเพียงแค่นั้น
“แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าวิ่งเสียงดังนัก”
“ใครโทรมาเหรอแม่”
“จากควินท์เรล” คุณแม่ที่ใช้มือป้องโทรศัพท์อยู่ยื่นหน้ามากระซิบกับเขาอย่างแ่เบา
โทรศัพท์บ้านสีขาวถูกยื่นมาให้เขาถือไว้ก่อนคุณแม่จะพยักพเยิดหน้าให้ใช้เวลาส่วนตัวได้ตามสบาย หลังจากคุณแม่เดินลับหายไปสักพักนั่นแหละ โอเมก้าตัวขาวที่กำลังยืนเม้มปากอยู่ก็ค่อย ๆ เอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูไว้
“ฮัลโหล แพทริเซียพูดสายครับ”
“..”
“ฮัลโหล”
ไม่มีเสียงตอบรับของปลายสายสักนิด คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยทันที ถ้าหากเป็คุณเจมส์อย่างที่คิดไว้ก็คงไม่ปล่อยให้เขาต้องถือสายรออย่างนี้มั้ง หรืออาจจะเป็เบลล์ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เดาอะไรต่อ ปลายสายก็เฉลยขึ้นมาด้วยเสียงประหลาดทันที
“..หงิง ชู่ว!”
เสียงที่คุ้นเคยของเ้าแซมมี่หลุดออกมาจากปลายสายพร้อมเสียงดุที่คุ้นเคย จะเป็ใครไปได้ล่ะ นอกจากคุณชายควินท์เรลต้นเหตุของความหงุดหงิดในทั้งสัปดาห์ของเขา เพียงแค่คิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาหงุดหงิดใจขึ้นมาอีกแล้ว และยิ่งในตอนที่ปลายสายยังเอาแต่เงียบอยู่แบบนี้ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่ชอบใช้โทรศัพท์บ้านด้วยซ้ำแล้วเขาก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมอีกฝ่ายเลือกที่จะโทรเข้าที่เบอร์บ้านแทนที่จะเป็เบอร์เขา
ไม่อยากให้รู้เบอร์ขนาดนั้นเลยหรือไง
“ถ้าไม่พูดจะวางแล้วนะครับ”
“..”
“งั้นแค่นี้นะครั-”
“โฮ่ง!” เสียงของเ้าแซมมี่เห่าขึ้นมาอีกครั้ง และนั่นก็เป็จังหวะเดียวกับที่โอเมก้าตัวขาวที่ยืนกัดฟันกรอดอยู่หมดความอดทนลง
“จะปล่อยให้เราคุยกับแซมมี่หรือยังไง?”
“..”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็วางมือถือให้แซมมี่เลยครับ เราจะคุยแค่กับแซมมี่ ไม่อยากคุยกับคุณเหมือนกันนั่นแหละ”
“เราอยากคุย” เสียงทุ้มเอ่ยแทรกมาทำคนที่กำลังพาลอยู่หยุดพูดแทบจะในทันที
“ครับ มีอะไรให้รับใช้ล่ะคุณไซม่อน?”
แพทริเซียเอ่ยถามปลายสายด้วยน้ำเสียงประชดประชัน คนตัวเล็กยกมือขึ้นกอดอกทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เห็นท่าทางของตัวเองด้วยซ้ำ แต่เขารู้เพียงแค่อยากทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองไม่พอใจมากที่สุดนั่นแหละ
“วันนั้น”
“ครับ?”
“คุณอามาบอกว่าเห็นเราให้ดอกไม้คุณ”
ริมฝีปากสวยที่กำลังจะอ้าปากถามต่อก็ถูกปิดสนิททันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าจากปลายสาย ทั้งที่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดตรงไหนแต่ความรู้สึกชาไปทั้งตัวนี่มันก็เกิดขึ้นทั้งที่เขาเองก็ไม่รู้สาเหตุของมันเหมือนกัน
“เราก็เลยรู้สึกเหมือนมีอะไรกวนใจนิดหน่อย.. ขอโทษที่ทำเ็าใส่คุณในวันนั้นนะ”
“แล้วคุณอาของคุณท่านว่าอะไรไหม?”
“เื่นั้นมันไม่สำคัญหรอก”
“..”
“ที่เราโทรมามันมีเื่สำคัญกว่านั้นอีก”
“เื่อะไรครับ?”
ให้ตายเถอะ ไม่รู้ว่าทำไมคำว่าเื่สำคัญของไซม่อนมันถึงทำให้เขารู้สึกกลัวได้มากขนาดนี้ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรแต่กลับรู้สึกว่าใจตัวเองกำลังสั่นหวิวเหมือนไปยืนอยู่ที่หน้าผาซะอย่างนั้น
“คุณแพท” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ครับ”
“เราไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่เราว่า..”
“..”
“เราชอบคุณ”
และนั่นก็เป็สิ่งที่ทำให้แพทริเซียยืนนิ่งไปทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบประโยค เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่ถึงได้วางสายของไซม่อนไป ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พาตัวเองขึ้นมาในห้องและเอาหน้าซุกหมอนอยู่แบบนี้ แต่สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้
ก็คงมีเพียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานั่นแหละ
- Simon’s theory -