ขณะสนทนา ทั้งสามก็มาถึงอาคารหลักของสำนักเทียนหลานเสียแล้ว
ฝานหรูเยว่คิดว่าคงไม่เหมาะหากจะต้อนรับแขกในที่พักส่วนตัวจึงทำความสะอาดห้องนี้เพื่อใช้ในการต้อนรับ แม้มันจะไม่ได้หรูหราอะไรมากมายแต่อย่างน้อยก็พอจะดูได้อยู่
หลังได้ที่นั่งกันแล้ว ทั้งสามก็พูดคุยกันต่อเป็เวลานานเลยทีเดียวแม้ซูฉางอันจะไม่ช่ำชองเื่การสนทนากับผู้อื่นแต่เซี่ยโหวเซวียนกลับพูดเก่งเหลือเกิน ก่อนหน้านี้เขาเคยไปท่องเที่ยวอยู่หลายที่จึงเล่าเื่การท่องเที่ยวและสิ่งที่ได้พบให้ฟังนั่นทำให้ซูฉางอันรู้สึกสนอกสนใจเป็อย่างมาก จึงมิได้รู้สึกเบื่อหรืออึดอัดเลยแม้แต่น้อย
“จริงสิ ศิษย์พี่ ท่านมาครั้งนี้ ยังจะกลับไปอีกรึเปล่า?” ซูฉางอันกล่าวถาม
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ชะงักไป ก่อนจะพูดด้วยท่าทางระคนลำบากใจ “อีกไม่นานจะเป็วันเกิดเฉลิมพระชนมพรรษาของเสด็จพ่อที่ข้ากับพี่ห้ามาในวันนี้ ก็เพื่อมาเชิญให้ศิษย์น้องไปร่วมงานในฐานะตัวแทนของสำนักเทียนหลาน”
“อ้อ” ซูฉางอันพยักหน้าเป็เชิงรับรู้ขณะที่ในใจก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไป“ต้องไปร่วมงานอย่างเลี่ยงไม่ได้เลยรึ?”
เขาไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะในที่แบบนั้นเขาต้องรับมือกับผู้คนมากมายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุนี้เขาจึงรู้สึกต่อต้านไม่อยากเข้าร่วมงานเช่นนี้
“อืม...” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ตอบรับเบาๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ก็ใช่ว่าต้องเข้าร่วมอย่างเลี่ยงไม่ได้หรอกแต่จากธรรมเนียมที่ทำกันมาตลอด เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเสด็จพ่อ ทุกสำนักไม่ว่าจะสำนักชั้นนำหรือปลายแถว ต่างส่งตัวแทนไปร่วมงานและถวายของขวัญให้เสด็จพ่อเพื่อเป็การแสดงความเคารพด้วยกันทั้งนั้น”
“อีกอย่าง...” เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ จู่ๆ เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็มองไปที่ซูฉางอันอย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงปกติ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรที่แปลกไปจึงพูดต่อ “พี่ห้า...กับข้าอยากให้ศิษย์น้องช่วยอะไรเราหน่อย”
ซูฉางอันนิ่งไป เขาย่อมยินดีช่วยเซี่ยโหวฟ่งอวี้อยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เซี่ยโหวฟ่งอวี้กับเซี่ยโหวเซวียนจึงมีท่าทีอึดอัดราววางตัวไม่ถูกเมื่อกล่าวถึงเื่นี้ราวกับว่ามันเป็เื่ที่น่าอายจนยากจะเอื้อนเอ่ยอย่างไรอย่างนั้น
“ศิษย์พี่ เชิญพูดมาได้เลย อยากให้ข้าช่วยอะไรรึ?” ซูฉางอันบอก เขาไม่อยากให้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ลำบากใจเช่นนี้จึงบอกกับตัวเองว่าขอเพียงตนสามารถทำได้ ไม่ว่าอะไร ตนก็จะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถทั้งนั้น
“แผ่นดินต้าเว่ยให้ความสำคัญกับนักพรตมาโดยตลอด ในทุกๆ ปีเมื่อถึงวันฉลองพระชนมพรรษาของเสด็จพ่อจะมีการจัดการประลองในงานเลี้ยงเพื่อความบันเทิงเสมอ และในการประลองเช่นนี้มักจะเป็หน้าที่ขององค์ชายหรือขุนนางชั้นสูงที่ต้องเฟ้นหาศิษย์ที่มีพร์ด้านพลังที่โดดเด่นหรือไม่ก็เป็ทหารอายุน้อยที่มีความสามารถมาร่วมการประลอง”
“ในครั้งนี้ พี่ใหญ่เชิญศิษย์ที่มีพร์สูงจนเหนืุ์จากสำนักต่างๆมาจนหมดแล้ว ทั้งยังดึงเป่ยทงเสวียน ผู้บัญชาการทหารจากซีเหลียงที่เพิ่งถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงมาเป็พวกอีกต่างจากพี่ห้าที่มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้น ข้าเกรงว่า...”
เมื่อฟังมาจนถึงตรงนี้ซูฉางอันก็เข้าใจความหมายที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้้าจะสื่อแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย จึงถามขึ้น “แล้วเป่ยทงเสวียนเป็ใครรึ? ่ก่อนข้าได้ยินมาว่าชายแดนที่ซีเหลียงมีสถานการณ์ที่น่าเป็ห่วงมาก แล้วทำไมองค์จักรพรรดิถึงเรียกตัวผู้บัญชาการทหารคนนี้กลับเมืองหลวงในเวลานี้เล่า?”
“อันดับแห่งงานหลอมดาวถูกแบ่งออกเป็สามประเภท ได้แก่อันดับมนุษย์อันดับปฐี และอันดับผืนฟ้าเป่ยทงเสวียนเป็ยอดฝีมือที่อยู่ในอับดับที่แปดสิบเจ็ดของอันดับผืนฟ้าจะว่าไปแล้วเขาก็เป็ศิษย์รุ่นเดียวกับผู้าุโฉู่ด้วย แม้จะไม่เก่งเท่าแต่เป่ยทงเสวียนคนนี้ก็ถือเป็ยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในหมู่คนยุคใหม่เลยทีเดียวส่วนเื่ที่ว่าทำไมเสด็จพ่อถึงเรียกตัวเขากลับมาในเวลาเช่นนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ซูฉางอันพยักหน้า เขาเข้าใจจุดประสงค์ที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้เดินทางมาในครั้งนี้แล้ว
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงกล่าวขึ้น“ข้ามีพลังอยู่ในระดับอรุณรุ่งเท่านั้น หากเป่ยทงเสวียนผู้นั้นมีพลังอยู่ในระดับอรุณรุ่งละก็แบบนั้นข้าก็น่าจะ...”
“สั่งฟ้า เป่ยทงเสวียนมีพลังอยู่ในระดับสั่งฟ้าั้แ่ครึ่งปีก่อนแล้ว”เซี่ยโหวฟ่งอวี้บอก
ซูฉางอันะเิความสงสัยออกมาทันทีเขาเชื่อว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้ไม่มีทางปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายแน่แต่หากต้องสู้กับเป่งทงเสวียนคนนั้นซูฉางอันก็มั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอนดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเซี่ยโหวฟ่งอวี้ถึงขอให้เขาทำเช่นนั้น
ราวจะรับรู้ได้ว่าซูฉางอันกำลังสงสัยอะไรอยู่ เซี่ยโหวฟ่งอวี้กลอกตามองบนใส่ซูฉางอันจากนั้นจึงพูดออกมาอีกครั้ง “พวกเราหาคนมารับมือกับเป่ยทงเสวียนได้แล้วที่เรามาหาเ้าในครั้งนี้ เพราะ้าให้เ้าไปรับมือกับศิษย์คนอื่นต่างหาก”
“แบบนี้นี่เอง”ซูฉางอันพยักหน้าเป็เชิงรับรู้จากนั้นก็ตอบตกลงทันที แม้เขาจะไม่ชอบการต่อยตีแต่เพื่อเซี่ยโหวฟ่งอวี้แล้ว จะไปประลองกับคนอื่นเสียหน่อยก็คงจะไม่เสียหายอะไร
เมื่อเห็นว่าซูฉางอันตอบตกลงแทบจะทันทีเซี่ยโหวฟ่งอวี้กลับไม่ได้มีท่าทางที่แสดงออกถึงความดีอกดีใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางกลับแสดงท่าทางเคร่งเครียดและหนักใจออกมาแทน
องค์จักรพรรดิทรงชราภาพมากขึ้นไปทุกที แม้จะยังมีรูปลักษณ์คล้ายกับชายวัยกลางคนแต่คนที่ฉลาดพอก็ล้วนดูออกว่าพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ลงแล้วพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกเพียงไม่นานแล้ว
ดังนั้นศึกชิงอำนาจขององค์ชายห้าและองค์ชายใหญ่จึงรุนแรงและดุเดือดมากขึ้นไปทุกที
ดูเผินๆ การประลองในงานเฉลิมพระชนมพรรษาในครั้งนี้ อาจคล้ายเป็การประลองระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์ชายทั้งหลายทว่าความจริงแล้วมันเป็การประลองระหว่างมหาอำนาจที่อยู่เื้ัของคนเหล่านี้ต่างหากแทนที่จะบอกว่าการประลองในครั้งนี้เป็การวัดระดับฝีมือรายบุคคลให้บอกว่าเป็การเลือกข้างครั้งสุดท้าย ก่อนที่องค์ชายใหญ่และองค์ชายห้าจะเปิดศึกกันน่าจะเหมาะเสียกว่า
และเมื่อเซี่ยโหวฟ่งอวี้ดึงซูฉางอันกับสำนักเทียนหลานเข้ามาในาครั้งนี้หากพวกเขาชนะ นั่นย่อมเป็เื่ที่น่ายินดี แต่หากพวกเขาล้มเหลวนั่นจะเท่าการนำความตายมาสู่ตัวเอง
เช่นนั้นเซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในหัวใจอย่างไม่อาจยับยั้ง
แต่สำหรับซูฉางอัน เขาไม่รู้เื่พวกนี้แม้แต่น้อยเขาเพียง้าช่วยเหลือศิษย์พี่ของตนเท่านั้น และเมื่อได้เห็นท่าทางเศร้าๆของศิษย์พี่ เขาก็คิดไปเองว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้น่าจะเป็กังวล เกรงว่าเขาจะได้รับอันตรายระหว่างประลองนั่นเอง
“ศิษย์พี่ อย่ากังวลไปเลย มันก็เป็แค่การประลองเท่านั้นข้าไม่ทำให้ตัวเองได้รับอันตรายเพียงเพราะอยากชนะหรอก” ซูฉางอันเอ่ยปลอบนาง
แต่คำพูดของเขากลับทำให้ความรู้สึกผิดของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ทวียิ่งขึ้นไปอีกทว่าในขณะที่นางกำลังจะทนไม่ไหว และบอกความจริงทั้งหมดกับซูฉางอัน สายตาก็พลันประสานเข้ากับสายตาของเซี่ยโหวเซวียนเสียก่อนเหตุนี้ นางจึงเกิดความลังเลขึ้นมาอีกครั้ง และทำลายความคิดเช่นนั้นลงในที่สุด
“คุณชายซู ความจริงแล้วที่ข้ามาในครั้งนี้ยังมีอีกเื่ที่อยากจะขอร้อง” เซี่ยโหวเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“หืม?” ซูฉางอันรู้สึกดีกับพี่ชายของศิษย์พี่ตนคนนี้มากจึงถามออกไปแทบจะทันที “องค์ชายห้ามีเื่อะไรรึ พูดมาได้เลยขอรับ”
“หรูเยว่สบายดีหรือไม่?” รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยโหวเซวียนจางลงเล็กน้อยตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาบ้างแล้ว
ซูฉางอันชะงักไปอีกครา ในตอนนั้นเองเขานึกถึงข่าวลือเื่ที่องค์ชายห้ามีความเสน่หาในตัวฝานหรูเยว่ซึ่งตนเคยได้ฟังเมื่อนานมาแล้วแม้ก่อนหน้านี้ฝานหรูเยว่จะเคยบอกกับตนว่าไม่อยากไปอยู่กับองค์ชายห้าแล้วก็ตามแต่แค่ให้ได้พบหน้ากันสักครั้งก็คงจะไม่เสียหายอะไร อีกทั้งที่นี่คือสำนักเทียนหลานหากหรูเยว่ไม่ยอมจริงๆ ซูฉางอันก็ยังปกป้องนางได้ อีกอย่างจากที่ได้อยู่กับเซี่ยโหวเซวียนดูเหมือนเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบบังคับฝืนใจคนอื่นแต่อย่างใด เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉางอันจึงพยักหน้า “ข้าจะไปตามนางมาให้”
“ไม่ต้องหรอก”เซี่ยโหวเซวียนรีบรั้งซูฉางอันที่กำลังจะเดินออกไปเอาไว้ “คุณชายซู บอกตามตรงความจริง ั้แ่ได้เจอแม่นางหรูเยว่ครั้งแรกความงดงามของนางก็ทำให้ข้ามีความคิดอยากจะไถ่ตัวให้นางทันทีแต่เสด็จพ่อกลับมองว่าแม่นางหรูเยว่มีฐานะต้อยต่ำ ทั้งยังเป็ทายาทของฏเป็อัปยศต่อราชวงศ์ พระองค์จึงขังข้าเอาไว้ในวังหลวง หากไม่ใช่เพราะได้คุณชายซูช่วยเอาไว้ข้าไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง หากเป็เช่นนั้นข้าคงให้อภัยตัวเองไม่ได้”
“เมื่อลองมาคิดดูแล้ว ตอนนี้แม่นางหรูเยว่คงผิดหวังในตัวข้ามากข้าเองก็ไม่อาจสู้หน้านางได้อีกต่อไป ข้าแค่อยากรู้ว่านางมีความสุขหรือไม่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
เซี่ยโหวเซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ แม้แต่ซูฉางอันยังรู้สึกใจสั่นเพราะคำพูดของเขาเลยแม้เขาจะยังรู้สึกไม่พอใจที่องค์ชายห้าทิ้งแม่นางหรูเยว่เอาไว้ในหอหมู่ตันอย่างไม่ดูดำดูดีแต่ในโลกใบนี้ ใช่ว่าทุกคนจะได้สมปรารถนาทุกเื่เสียหน่อย เขาเข้าใจในกฎข้อนี้ดี
ดังนั้น หลังคิดอยู่นาน ในที่สุดซูฉางอันก็เอ่ยขึ้น“องค์ชายห้าวางใจได้เลย ยามอยู่ในสำนักเทียนหลาน จะไม่มีผู้ใดรังแกหรือเอาเปรียบนางได้อีกหากมีโอกาส ข้าจะอธิบายเื่ขององค์ชายห้ากับนางเอง ด้วยนิสัยของหรูเยว่ข้าเชื่อว่านางต้องเข้าใจท่านแน่ขอรับ”
“อืม” แม้องค์ชายห้าจะยังขมวดคิ้วไม่คลาย แต่คำตอบจากซูฉางอันก็ทำให้เขารู้สึกคลายกังวลไปได้มากเลยทีเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้