ท่ามกลางท้องฟ้าสีหม่น ดวงตาของซูกู้เหยียนดำสนิทดั่งหยดหมึก แต่ก็เปล่งประกายงดงามไม่ต่างจากเพชรล้ำค่า ขณะมองหญิงสาวผู้แสนดื้อรั้นตรงหน้า จู่ๆ เขาก็มีความรู้สึกบางอย่าง... นางต้องกลับมาเพื่อทำลายชีวิตอันแสนสงบของตนกับสือหนิงอย่างแน่นอน แม้นางจะจำเื่เมื่อสามปีก่อนไม่ได้ แม้นิสัยของนางจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากก็ตาม
นางจำอะไรไม่ได้เลยหรือ? หรือเป็แค่การแสดงเพื่อตบตา ที่นางทำไปทั้งหมดก็เพื่อแก้แค้น เพื่อทำลายความรักของตนกับสือหนิงใช่ไหม?
“เฟิ่งสือจิ่น” เสียงของซูกู้เหยียนเย็นะเืลงอย่างกะทันหัน เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย แต่กลับน่าฟังอย่างน่าประหลาด
เฟิ่งสือจิ่นตอบกลับ “มีเื่อะไรหรือ ว่ามาสิ”
ซูกู้เหยียนเดินเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว เขามองเข้าไปในดวงตาของนาง “เ้ากลับมาเพราะอะไรกันแน่?”
เฟิ่งสือจิ่นถูกสายตาที่แลดูลึกล้ำและยากจะแกะความหมายตรงหน้าดึงดูด แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพียงไม่นานนางก็ได้สติกลับมา “ข้าจะกลับมาเพื่ออะไร จำเป็ต้องขออนุญาตเ้าก่อนหรือไง? เมืองหลวงเป็ของเ้าหรือ? อ้อ จริงสิ เมืองหลวง รวมไปถึงแผ่นดินนี้ล้วนเป็ของบิดาเ้านี่ เช่นนั้นก็รอให้เ้าขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งของบิดาให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยมาถามคำถามนี้กับข้าใหม่ก็แล้วกัน ไม่แน่ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าอาจตอบคำถามก็ได้” นางพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ซูกู้เหยียนเม้มปาก “ท่านราชครูคงจะตามใจเ้าจนเคยตัวสินะ เ้าถึงได้ปากพล่อย พูดจาไร้กาลเทศะ แถมยังเอาแต่ใจเช่นนี้”
“แล้วเื่นี้ไปเดือดร้อนส่วนไหนของเ้างั้นหรือ? เฟิ่งสือหนิงควรได้รับความรักจากทุกคน ส่วนข้า แค่มีคนคอยปกป้อง และรักข้าจริงๆ สักคนก็ไม่ได้เลยหรือไง?”
ซูกู้เหยียนพูดไม่ออก
เฟิ่งสือจิ่นฉวยโอกาสนี้รีบหมุนตัว เตรียมจะะโออกไปทางหน้าต่างที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร ซูกู้เหยียนเห็นดังนั้นจึงรีบดึงนางเอาไว้ เพราะสลัดมือของอีกฝ่ายออกไปไม่ได้ เฟิ่งสือจิ่นจึงถูกดึงกลับมาอีกครั้ง นางหันไปมองซูกู้เหยียนตาเขม็ง ก่อนจะกัดลงที่หลังมือของเขาอย่างแรง
ซูกู้เหยียนสูดลมหายใจเข้าด้วยความเ็ป
เฟิ่งสือจิ่นรีบะโหนีไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
นางมักจะกระตุ้นความอยากเอาชนะของซูกู้เหยียนได้ทุกครั้ง ทำให้ชายหนุ่มที่เงียบขรึมเช่นเขาวู่วามราวกับหนุ่มเืร้อนได้เสมอ ซูกู้เหยียนะโตามลงไป แล้วตามไปจับตัวเฟิ่งสือจิ่นอย่างไม่ลังเล
ทั้งสองทะเลาะกันที่ใต้ต้นไหวหน้าวิทยาลัย เฟิ่งสือจิ่นพยายามสลัดมือของอีกฝ่ายออกพลางพูดขึ้น “คิดไม่ถึงว่าองค์ชายสี่ที่แสนสูงส่งจะเซ้าซี้ไม่เลิกอย่างน่ารำคาญเช่นนี้”
ซูกู้เหยียนไม่ได้โกรธเพราะคำพูดของนาง เขาตอบ “ในเมื่อฮ่องเต้ส่งเ้าเข้ามาศึกษาในวิทยาลัยหลวง ข้าที่เป็อาจารย์ประจำวิทยาลัยย่อมมีหน้าที่ต้องสั่งสอนและดัดนิสัยเ้า ต่อให้ราชครูจะรักหรือตามใจเ้ามากแค่ไหน หากทำผิด เ้าก็ต้องถูกลงโทษไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ”
หลังฉุดกระชากกันอยู่นาน เฟิ่งสือจิ่นก็ก้าวพลาด จึงล้มหงายไปด้านหลัง ซูกู้เหยียนเห็นดังนั้นก็รีบดึงนางกลับมา น่าเสียดายที่เขาเองก็เสียหลักจนถอยกลับไปหลายก้าว สุดท้ายทั้งสองก็ล้มไปพิงกิ่งของต้นไหวที่เื้ั ร่างของซูกู้เหยียนแนบทับบนร่างของเฟิ่งสือจิ่นอย่างไม่ตั้งใจ
ทั้งสองชะงักอึ้งพร้อมกัน
ห้วงอากาศเหลือเพียงเสียงหอบหายใจจากการดิ้นรนขัดขืนของเฟิ่งสือจิ่น นางได้สติกลับมา พบว่าซูกู้เหยียนยังชะงักนิ่งอยู่ จึงรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็อย่างมาก นางหัวเราะเหยียด “แม้ข้ากับเฟิ่งสือหนิงจะหน้าตาเหมือนกัน แต่เ้าก็ไม่จำเป็ต้องให้ข้าไปเป็ตัวแทนของใคร จนถึงขั้นมาตามตอแยข้าเช่นนี้ก็ได้” ซูกู้เหยียนเองก็ได้สติกลับมาจนได้ ทว่าสีหน้ากลับยังเ็าไม่ต่างไปจากเดิม เฟิ่งสือจิ่นเหยียบเท้าของเขาแรงๆ ด้วยท่าทางโกรธแค้น “ต่อให้เ้าจะทอดสะพานให้ถึงที่ ข้าก็ไม่ข้ามไปหรอกนะ”
ซูกู้เหยียนถอยหลังกลับไปหลายก้าว เฟิ่งสือจิ่นจึงมุดหนีไปทางช่องว่างด้านล่าง นางเคลื่อนไหวรวดเร็วและลื่นไหลราวกับไส้เดือน สองมือยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย แล้ววิ่งโซซัดโซเซไปที่ประตูวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว ร่างกายใต้ชุดสีเขียวขุ่นเคลื่อนที่ฉับไวราวกับดวงิญญา
บัดนี้ จันทราปีนป่ายขึ้นมาฉายแสงอยู่ริมฟ้าแล้ว
เฟิ่งสือจิ่นฮึดวิ่งไปจนถึงประตูวิทยาลัย ในที่สุดก็จะเป็อิสระแล้วแท้ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าร่างของใครคนหนึ่งจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นางหยุดไม่ทัน จึงสะดุ้งใ และชนเข้ากับหน้าอกของคนผู้นั้นอย่างจัง
เฟิ่งสือจิ่นยังใไม่หาย มือที่แสนคุ้นเคยก็ยื่นเข้ามาประคองร่างของนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง ใต้แสงจันทร์สีขาวสะอาด จวินเชียนจี้สูงกว่านางประมาณสองคืบ เขายืนสะท้อนกับแสงจันทร์ เงาสีดำทำให้ใบหน้าของเขาดูลึกลับและคมคายกว่าปกติ เส้นผมที่ไหล่ก็มีแสงจันทร์สีขาวนวลย้อมฉาบอย่างงดงาม
เมื่อเห็นว่าเป็อาจารย์ หัวใจที่ตื่นตระหนกก็เริ่มผ่อนคลายลงในที่สุด นางสวมกอดจวินเชียนจี้เอาไว้ พลางพูดด้วยเสียงหวานใส “อาจารย์ ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
จวินเชียนจี้ตอบ “เห็นว่าเลิกเรียนแล้วแต่เ้ายังไม่กลับเสียที ข้าเลยมาดูเสียหน่อย” ซูกู้เหยียนเดินออกมาจากวิทยาลัยหลวงอย่างใจเย็น จวินเชียนจี้ช้อนสายตาขึ้นไปมองผู้มาเยือน โดยที่ฝ่ามือก็ลูบเส้นผมของเฟิ่งสือจิ่นอย่างรักใคร่ไปด้วย เขามองซูกู้เหยียนด้วยสายตาเย็นะเื “สือจิ่น เ้าทำให้อาจารย์ไม่พอใจมาหรือไม่ เขาถึงได้ให้เ้าอยู่จนดึกดื่นเช่นนี้”
เฟิ่งสือจิ่นส่ายหน้า ในเวลาเช่นนี้ นางเลือกที่จะเงียบเอาไว้ก่อน
ซูกู้เหยียนเดินเข้ามาใกล้ “ท่านราชครูมาก็ดีแล้ว วันนี้ เฟิ่งสือจิ่นกับท่านชายหลิวมีเื่ต่อยตีกันหลังเลิกเรียน ทำให้ข้าวของในวิทยาลัยพังเละเทะไปหมด นางไม่ยอมรับว่าตนมีความผิด ท่านราชครูส่งนางมาศึกษา ก็เพื่อให้นางรู้จักมารยาท รู้ผิดชอบชั่วดี แต่นางกลับยังดื้อรั้น ไม่ยอมฟังคำสั่งสอน แล้วข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”
จวินเชียนจี้พูดด้วยเสียงราบเรียบ “ต่อยตีกับท่านชายหลิวหรือ แล้วท่านชายหลิวล่ะ อยู่ที่ไหน?”
ซูกู้เหยียนตอบ “ท่านชายหลิวยอมรับความผิดที่ตนได้ก่อเอาไว้แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ หากเฟิ่งสือจิ่นทำเช่นเดียวกัน ข้าคงไม่ให้นางอยู่จนดึกดื่นเช่นนี้”
จวินเชียนจี้เผยรอยยิ้มบางๆ ขึ้นที่มุมปาก “คนแบบท่านชายหลิว เมื่อทำผิดก็ยอมรับผิดทันที จากนั้นก็ได้รับการอภัยจากทุกคน เมื่อเป็เช่นนี้ เขาจะได้บทเรียนได้อย่างไร เมื่อไม่ได้บทเรียน คราวหลังย่อมทำความผิดอีกเช่นเคย เป็เช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ก็อย่างที่เห็น จนถึงตอนนี้ท่านชายหลิวก็ยังทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ใช่หรือ เมื่อเป็เช่นนี้ เขาจะได้รับบทเรียน และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างไร? นี่น่ะหรือ การสอนศิษย์ของท่าน? หากเป็เช่นนั้นจริง ดูเหมือนการที่ข้าส่งศิษย์ของตนเองมาศึกษาในวิทยาลัยหลวงตามพระราชโองการของฝ่าา จะไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้องสักเท่าใด”
ที่เขาส่งเฟิ่งสือจิ่นมาศึกษาในวิทยาลัยหลวง ก็เพราะจำเป็ต้องทำตามพระราชโองการเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก เขาไม่มีทางส่งนางมาที่นี่แน่ ซูกู้เหยียนเองก็แกะความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายได้เช่นกัน จึงพูดขึ้น “หากทำผิด แต่ไม่แม้แต่จะยอมรับผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป แล้วจะแก้ไขตนเองอย่างสมัครใจได้อย่างไร? ท่านราชครูรักและตามใจนางเกินไปหรือไม่?”
“รักและตามใจงั้นหรือ?” จวินเชียนจี้ประกายรอยยิ้มออกมาทางแววตา ทว่าสีหน้ากลับยังราบเรียบไม่เปลี่ยน “ข้ามีศิษย์รักแค่คนเดียว หากข้าไม่รัก ไม่ตามใจนาง ใครจะรัก จะตามใจนางอีก?”
เฟิ่งสือจิ่นที่อยู่ในอ้อมแขนของจวินเชียนจี้ชะงักลงเล็กน้อย นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกคำพูดของจวินเชียนจี้หลอมจนละลายไปหมดแล้ว รู้สึกเหมือนความหวานหอม ซาบซึ้ง และอบอุ่นจะท่วมท้นขึ้นมาในหัวใจ ในโลกใบนี้ นางมีจวินเชียนจี้เป็ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว นางสามารถสร้างปัญหา สามารถทำอะไรตามใจตัวเอง สามารถไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพราะเื้ั ยังมีจวินเชียนจี้คอยสนับสนุนและเป็ที่พึ่งพิงให้เสมอ เขาเป็เหมือนโลกอีกใบของนาง โลกที่เต็มไปด้วยอิสระ
เฟิ่งสือจิ่นมีชีวิตอยู่ในความโชคร้าย แต่ก็โชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับจวินเชียนจี้ คิดเช่นนี้ในหัว มือที่กอดเอวของจวินเชียนจี้อยู่ก็รัดแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ซูกู้เหยียนเม้มปาก “ในเมื่อท่านราชครูส่งนางมาที่วิทยาลัยหลวงแล้ว ก็ควรเคารพกฎระเบียบของวิทยาลัยหลวงเช่นกัน”
จวินเชียนจี้ก้มหน้ามองเฟิ่งสือจิ่น พลางแตะไหล่ของนางเบาๆ “เหตุใดเ้าถึงต่อยตีกับท่านชายหลิว ข้าสั่งย้ำแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าสร้างเื่สร้างราวในวิทยาลัยหลวง?”