หลินเต๋อเทียนประหลาดใจมาก ปกติลูกสาวของเขามักจัดการปัญหาด้วยเหตุผลเสมอ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเธอให้ความสำคัญกับโม่จิ่วเกอและจ้าวิเจ๋อมาก ไม่อย่างนั้นทำไมถึงยืนกรานไม่ให้พวกเขาไล่ตามคนพวกนั้นล่ะ? ต่อให้บอกว่าเพราะคนทั้งคู่ช่วยทำลายแผนการชั่วร้ายที่ไช่เฉ่าหงเก็บซ่อนไว้ ทั้งยังเปิดเผยมันต่อสาธารณชน แต่ไม่ว่าอย่างไร จากการกระทำที่ผ่านมาก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้!
แม้ตอนนี้จะมีพยานหลักฐานแน่ชัดแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากข้อเท็จจริงอยู่บ้าง ฉะนั้นต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกหลายขั้นตอน หากถึงเวลานั้นแล้วพบสิ่งผิดปกติ แล้วไม่สามารถตามจับคนร้ายได้ จะให้พวกเขาทำอย่างไรล่ะ?
“หนูไม่ได้ทำโดยไร้เหตุผลหรอกค่ะ” หลินซือฉิงสบตาหลินเต๋อเทียน ยิ้มบางพลางส่ายหน้า “เป็ไปได้มากที่โม่จิ่วเกอมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลง ถ้าจับกุมเขาจะไม่เป็การขัดแย้งกับตระกูลหลงหรือคะ? เราควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อน ค่อยตัดสินใจอีกทีก็ยังไม่สายนะคะ”
ทุกอย่างที่เธอพูดฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง ประการแรก นักล่าิญญาบอกว่าโม่จิ่วเกอมีความสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลง ซึ่งเธอค่อนข้างเชื่อเื่นี้ และใน่เวลาสั้นๆ เธอยังไม่แน่ใจในท่าทีของตระกูลหลงจึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม อีกประการหนึ่ง หญิงสาวพูดเื่นี้ต่อหน้าเซียวฉี่เพื่อให้เพื่อนของเธอเข้าใจ และทิ้งความมุ่งหวังบางอย่าง ในเมื่ออีกฝ่ายมีความสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลงแล้ว เซียวฉี่ก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก!
หลินซือฉิงไม่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ แต่ก็ยากที่จะยอมรับใบหน้าอัปลักษณ์ของโม่จิ่วเกอ อีกทั้งดูเหมือนลักษณะนิสัยของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก
เมื่อนึกว่าถูกเขาแตะเนื้อต้องตัวเอาเปรียบไปมากขนาดไหน เธอก็ยิ่งโมโห แต่พอคิดถึงตอนที่อีกฝ่ายช่วยเธอก็ทำให้ข่มอารมณ์ตัวเองลงได้บ้าง ไม่ใช่ว่าเธอไร้เหตุผล แต่มันน่าโมโห เพราะั้แ่เด็กจนโต ไม่เคยมีใครได้แนบชิดเรือนร่างของเธอเหมือนโม่จิ่วเกอมาก่อน มันถือเป็เื่หนักหนาเกินกว่าจะมองข้ามสำหรับเธอ ทำให้เธอกลัดกลุ้มในอก...
เมื่อหลินเต๋อเทียนได้ฟังก็ถอนหายใจ “ช่างมันเถอะ พวกเธอขวางอยู่อย่างนี้ ถึงอยากตามก็คงตามไม่ทันแล้ว”
หลังจากได้ยิน รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าของหลินซือฉิง พ่อของเธอยังคงใส่ใจความคิดเห็นของเธอเสมอ ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลหลินและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ยังจะมีอะไรในประเทศจีนที่พวกเขาไล่ตามไม่ทันอีก? เห็นได้ชัดว่าหลิวเต๋อเทียนเห็นด้วยกับความคิดของเธอ จึงพูดอย่างนั้นเพื่อหาทางลงให้ตัวเอง
“ซือฉิง เมื่อกี้...” เมื่อเซียวฉี่เห็นพวกเขายอมปล่อยสองคนนั้นก็โล่งใจมาก แต่หัวใจพลันสั่นไหว เธอวิ่งไปถามเพื่อนเสียงเบา “เธอพูดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหลงอะไรนะ?”
“สาวสวยคนนั้นมีความสัมพันธ์กับโม่จิ่วเกอ ทำไม เธอหึงเขาเหรอ?” หลินซือฉิงหัวเราะคิกคัก ก่อนพูดอย่างขบขัน
“ไม่มีทาง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาของเขาเป็ยังไง จะรู้สึกอะไรกับเขาได้...” เซียวฉี่หน้าแดง เธอเงยหน้ามองหลินซือฉิง ก่อนหลุดยิ้ม “จริงสิ ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอเหรอ? บนหน้าเธอยังมีโคลนติดอยู่เลย”
เซียวฉี่ลูบใบหน้าเพื่อนสาว เพื่อเช็ดคราบโคลนที่เหลือให้อีกฝ่าย
“ก็ไม่มีอะไรหรอก...” หลินซือฉิงกระดากจึงไม่พูดเื่ที่ตนถูกชายสวมหน้ากากกดไว้ใต้ร่าง แล้วเปลี่ยนเื่ทันที “เสี่ยวจ้าวมอบหลักฐานทั้งหมดให้เธอแล้วเหรอ?”
“อืม เขาบอกว่าในเมื่อเขาล้างแค้นสำเร็จแล้ว ความพยายามของเขาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านก็ถือว่าไม่สูญเปล่าแล้วล่ะ” เซียวฉี่พูดต่ออย่างเศร้าสร้อย “บางทีหลังจากนี้ พวกเราอาจไม่ได้เจอเขาอีกแล้วก็ได้”
“หืม?” หลินซือฉิงแปลกใจ ทำไมจะไม่ได้เจอเขาอีกล่ะ?
“เขาบอกว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่” เซียวฉี่ฉีกยิ้ม “ฉันคิดว่า ถ้าเป็ฉันก็คงทำแบบเดียวกับเขานั่นแหละ ในเมื่อล้างแค้นได้แล้วก็คงไม่จำเป็ต้องมีตัวตนของจ้าวิเจ๋ออีกต่อไป”
“ชื่อที่แท้จริงของเขาคืออะไรงั้นเหรอ?” หลินซือฉิงถาม
“อ่า? เื่นี้ฉันไม่ได้ถาม...” เซียวฉี่ชะงักไปทันที
หลินซือฉิงมองเพื่อนสนิทผู้สดใสแล้วต้องส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เธอคนนี้ไร้เดียงสาจนถึงขั้นซื่อบื้อเลยสินะ
“ที่จริงแล้วเขาเป็ใครกันแน่? ตอนที่แก๊งประตู์ใต้ถูกทำลายเมื่อปีก่อน มีแค่สองคนเท่านั้นที่รอดชีวิต...” หลินซือฉิงมองทิศทางที่รถซานทาน่าสีเหลืองลับตาไป พลางอดคิดเื่นี้ไม่ได้
ด้านหลินเต๋อเทียนและเหลยิก็พาคนมาตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคลิปวิดีโอที่บันทึกเอาไว้ จากนั้นสั่งการให้กองกำลังทหารหน่วยที่สี่ปิดล้อมบริเวณโดยรอบ พรุ่งนี้เช้าค่อยตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมดให้ละเอียด ไม่ว่าสิ่งใดใช้เป็หลักฐานได้ เขาล้วนถือว่าเพ่ยเค่อกรุ๊ป้าเป็ปฏิปักษ์กับนานาชาติ
“จริงสิเหลยิ” หลินเต๋อเทียนครุ่นคิดสักพักก่อนเดินมาปรึกษาเหลยิ เขาขมวดคิ้วมุ่น “ทางฝั่งทะเลตะวันออกมีหลี่เฟิงเป็ผู้บังคับบัญชากองกำลังทหารใช่ไหม? คนของตระกูลหลงรวมตัวกันอยู่ที่ฝั่งทะเลตะวันออก ฉันคิดว่าโม่จิ่วเกออาจเดินทางไปที่นั่นก็ได้”
“จริงด้วยครับ” สีหน้าของเหลยิเปลี่ยนไปราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “ได้ยินมาว่ามีเทพธิดาปรากฏตัวขึ้นที่ทะเลตะวันออก คนในยุทธจักรจำนวนมากต่างมุ่งหน้าไปที่นั่น”
“ถ้าอย่างนั้นเกรงว่าลำพังกองกำลังของหลี่เฟิงคนเดียวอาจไม่พอรับมือ” หลินเต๋อเทียนไตร่ตรองพักหนึ่งก็ตัดสินใจ “รอตรวจสอบเื่นี้เสร็จก่อน นายค่อยพากองกำลังของนายไปดูแลความสงบที่นั่น ใครก็ตามที่กล้าก่อความวุ่นวายก็ใช้กฎหมายจับกุมให้หมด”
“รับทราบครับท่านผู้นำ” สำหรับคำสั่งของหลินเต๋อเทียน เหลยิไม่มีสิ่งใดโต้แย้ง จึงตอบรับตามนั้น
สถานการณ์ทางฝั่งทะเลตะวันออกตอนนี้ดูเหมือนกำลังตึงเครียด กองกำลังของหลี่เฟิงเป็เพียงกองกำลังขนาดเล็กซึ่งมีไม่ถึงหนึ่งร้อยคน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหลงย่อมพบกับอุปสรรคหลายอย่าง ยิ่งกว่านั้นยังมีคนในยุทธจักรจากทั่วสารทิศจนทำให้ชุลมุนวุ่นวาย
การรีบขอกำลังเสริมของเขาก่อนหน้านี้ถือเป็การตัดสินใจไม่ผิดพลาด เพราะหากเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมา กำลังพลที่มีอยู่ตอนนี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะแก้ไขสถานการณ์
…………
ด้านเย่เฟิง เพราะชายสวมหน้ากากหัวกะโหลกขับรถพุ่งชนพวกหลินเต๋อเทียน เขาจึงได้โอกาสใช้จิตหยั่งรู้หลบหนีออกมา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพยายามสร้างความโกลาหลเพื่อช่วยเย่เฟิงหลบหนี การขัดขวางเ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของเซียวฉี่ก็อยู่ในสายตาของเย่เฟิง เขารู้ดีว่าชายสวมหน้ากากหัวกะโหลกเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว
เมื่อเห็นว่ากองกำลังสำนักความมั่นคงแห่งชาติไม่ได้ตามมา เย่เฟิงที่วิ่งไปเกือบครึ่งกิโลเมตรก็ได้หยุดเท้า ไม่นานรถแท็กซี่ซานทาน่าสีเหลืองก็ขับตามมาหยุดอยู่ข้างเขา
“เจอกันอีกแล้วนะเพื่อน” ชายสวมหน้ากากหัวกะโหลกหัวเราะเบาๆ จากนั้นเปิดประตูรถก้าวลงมา
น้ำเสียงปกติของเขาเป็น้ำเสียงราบเรียบไม่โดดเด่น จึงยากที่จะระบุตัวตนของเขาจากน้ำเสียงได้ แม้แต่เย่เฟิงเองก็เช่นกัน แน่นอนว่าตอนนี้เย่เฟิงมีจิตหยั่งรู้แล้ว จึงไม่จำเป็ต้องฟังน้ำเสียงเพื่อแยกแยะตัวตนของผู้อื่น
ตอนนี้เขายังสามารถมองทะลุหน้ากากได้ด้วยซ้ำ ทำให้มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของชายสวมหน้ากากหัวกะโหลก ชายหนุ่มเห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ไร้ท่าทีตุ้งติ้งของจ้าวิเจ๋อคนเดิม ทำให้เขาคิดว่านั่นคงเป็ภาพลักษณ์ที่คนตรงหน้าสร้างขึ้นมาเพื่อปิดบังตัวตน และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็คนมีความสามารถเฉพาะตัว!
“มากับฉันแป๊บหนึ่งสิ” เย่เฟิงยิ้มบางก่อนชี้นิ้วไปอีกทาง ซูเมิ่งหานรอเขาอยู่ที่นั่น ไม่สามารถขับรถคันนี้ไปด้วยแน่นอน เพราะมันค่อนข้างสะดุดตา
เย่เฟิงไม่รู้ว่า ทำไมทุกครั้งที่ตัวเองเคลื่อนไหวพร้อมชายสวมหน้ากาก พวกเขามักเข้าใจความคิดซึ่งกันและกันโดยไม่จำเป็ต้องอธิบาย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าในใจของเขายังรู้สึกระแวงอีกฝ่ายอยู่ บางทีอาจเพราะชายคนนี้ฉลาดเกินไป
“สวัสดี ฉันชื่อหนานฟาง” ชายสวมหน้ากากหัวกะโหลกยื่นมือออกมา ก่อนยกยิ้มมุมปาก “เย่เฟิงใช่ไหม?”
เมื่อเย่เฟิงได้ยินก็หรี่ตา ทำไมคนคนนี้ถึงคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของเขาถูก?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้