เหยียนอู๋อวี้ถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ยถาม “ในเรือนหัวหน้าโจวมีชั้นวางดอกไม้หรือไม่?”
โจวหลู่ชิงถูกถามอย่างกะทันหันจึงรู้สึกงงเล็กน้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายศีรษะ “ภรรยากระหม่อมหยาบกระด้าง ไม่เคยทำของสวยงามพวกนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“น่าเสียดายจริงๆ” นางถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงสับสนเล็กน้อย “หลังจากข้าเกิดได้ไม่นาน มารดาก็จากไปแล้ว เพื่อให้ข้ามีความเป็กุลสตรีอยู่บ้าง บิดาจึงเชิญคนมาสอนจารีตสตรี หนึ่งในนั้นคือการปลูกดอกไม้ ข้าไม่ชำนาญด้านนี้ ทว่าคนที่เชิญมากลับเอาใจใส่เป็อย่างมาก แม้ข้าจะปลูกดอกไม้ไม่ได้ ทว่าดอกไม้ของเขากลับปลูกออกมาได้บานสะพรั่ง ผ่านไปไม่กี่ปี ดอกหล่าปาออกดอกเต็มชั้นวาง ทำให้สถานที่ร่มเย็น ข้ารบเร้าให้เขาทำชั้นวางหนึ่งตัว ข้างใต้ตั้งเตาถ่าน จากนั้นย่างเนื้อวัวลายหินอ่อนหั่นบางๆ บนตะแกรงย่างที่ล้างสะอาดแล้ว” นางเอ่ยพลางหันศีรษะไปมองโจวหลู่ชิงแล้วถาม “ไม่รู้ว่าผู้ดูแลโจวเคยรับประทานเช่นนี้หรือไม่?”
สีหน้าโจวหลู่ชิงยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ศีรษะก้มลงต่ำ เอ่ยน้ำเสียงสบายๆ “เคยรับประทานพ่ะย่ะค่ะ ย่างเนื้อบนไฟ พอน้ำมันหยดลงไป ถ่านไฟด้านล่างก็ส่งเสียงดังฉ่าฉ่า กลิ่นหอมโชยออกมาทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้เผยสีหน้าโหยหาเล็กน้อยพลางกล่าว “ใช่เป็เช่นนั้น ย่างนานเกินไปไม่ได้ สุกเพียงเจ็ดแปดระดับก็พอ จากนั้นโรยเกลือป่นแล้วก็กิน ทั้งหอมทั้งนุ่มจนแทบจะกลืนลิ้นตัวเองเข้าไป”
โจวหลู่ชิงกล่าวเตือนด้วยความนอบน้อม “ทว่าต้องรับประทานกับสาลี่หิมะต้มน้ำตาลกรวดข้นๆ จะได้ไม่ร้อนใน เข้ากันมากพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ยิ้มเล็กน้อย พลางมองเขาแล้วกล่าว “ที่แท้หัวหน้าโจวก็ชอบแบบเดียวกัน”
โจวหลู่ชิงโน้มตัวพลางกล่าว “ตอนวัยเด็กกระหม่อมชอบอาหารรสเลิศพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นวันหลังต้องคุยกับข้ามากหน่อย หลังข้าเข้าพระราชวังต้องห้าม อาหารรสเลิศทั่วทุกที่ของต้าเซวียนก็ไร้วาสนาต่อข้าแล้ว”
โจวหลู่ชิงตอบเสียงเบา ในที่สุดเหยียนอู๋อวี้ก็หยุดสายตาอยู่บนร่างซิ่วหนี่ว์ ก่อนจะเปิดปากถามเขา “ข้าเข้าวังมาได้ไม่นาน ไม่คุ้นเคยกับกิจการในวังหลวง ขอให้หัวหน้าโจวเลือกนางกำนัลสองคนแทนข้าจะดีกว่า?”
โจวหลู่ชิงเงยหน้ามองเหยียนอู๋อวี้คราหนึ่ง ในที่สุดก็แย้มยิ้ม เขาชี้นางกำนัลสองคนที่ยืนอยู่ในนั้นแล้วเอ่ยกับเหยียนอู๋อวี้ “เช่นนั้นก็สองคนนี้ แม้ไม่ค่อยเฉลียวฉลาดนัก ทว่าขยันขันแข็ง นายหญิงเพิ่งเข้าวัง ้าคนที่คล่องแคล่วหน่อยจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เลือกพวกเ้า”
โจวหลู่ชิงพานางกำนัลที่เหลือกลับไป ขณะที่เดินออกไปเขาหันศีรษะมองเหยียนอู๋อวี้ เห็นว่านางยังคงนั่งอยู่ใต้ชั้นวางดอกไม้ ทว่ากลับขอถ้วยเคลือบขอบทองใบเล็กจากนางกำนัลข้างกายมาตักรังนกสามช้อนแล้วมอบให้นางกำนัล
เขาจึงไม่ได้มองอีกและจากไปอย่างรวดเร็ว
เหยียนอู๋อวี้มองนางกำนัลสองคนเบื้องหน้าที่มีรูปโฉมธรรมดา รูปร่างสมส่วน นางพยายามจำหน้าพวกนางทั้งสองคน สั่งให้พวกเขาดูแลงานทำความสะอาดในตำหนักบรรทมของนาง จากนั้นก็ประทานชื่อให้พวกนาง คนหนึ่งมีชื่อว่าซวงสี่ ส่วนอีกคนมีนามว่าฉางฮวน
หวังให้ดวงใจเป็ซวงสี่[1] รุ่งโรจน์ ฉางฮวน[2]ร่วมกัน
คืนนั้นยามโฉ่ว[3]สามเค่อ ซ่งอี้เฉินก็ยังไม่มา ทว่ากลับมีเงาร่างหนึ่งเคลื่อนกายเข้ามาในตำหนักบรรทมของนาง
เหยียนอู๋อวี้มิได้จุดตะเกียง นางเพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ บริเวณหัวเตียง แย้มยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าคิดว่าเ้าจะไม่มาแล้ว”
เงาร่างนั้นยืนอยู่เบื้องหน้านาง ทว่าไม่ได้ถอดผ้าปิดหน้าสีดำออกและเอ่ยถามเสียงเข้มว่า “ท่านคือผู้ใดกันแน่?”
“ข้าคือผู้ใด ท่านไม่ต้องสน ในเมื่อท่านมาแล้วก็คงเชื่อว่าข้าเป็คนที่เชื่อถือได้ นั่งลงเถิด เรามีเวลาไม่มากแล้วท่านโจว” เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มพลางมองเขา และเอ่ยชื่อเขาออกมา “ท่านโจว”
เงาดำนั้นขยับตัว แสงจันทร์สาดส่องผ่านใบหน้าเขาคราหนึ่งแล้วหลบเข้าไปในความมืด เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดจึงกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “สิ่งของยืนยันอยู่ที่ใด?”
ผู้ที่มาก็คือโจวหลู่ชิงนั่นเอง
ตอนกลางวันเหยียนอู๋อวี้ใช้เื่ในอดีตสื่อสารกับเขาเป็นัย ผู้ที่สอนนางปลูกดอกไม้ก็คือโจวหลู่ชิง ความจริงตอนแรกเหยียนอู๋อวี้ไม่ค่อยมั่นใจนัก ทว่าหลังจากที่เขาพูดต่อจึงแน่ใจในตัวตนของเขา และยิ่งคาดเดาอย่างมั่นใจว่าต่อให้สงสัยเขาก็จะมาอย่างแน่นอน
อีกทั้งเหตุการณ์ที่โจวหลู่ชิงเห็นก่อนจากไปก็คือรหัสลับที่นางมอบให้เขาเช่นกัน
ถ้วยเคลือบขอบทองสองใบคือยามโฉ่วของคืนนี้ รังนกสามช้อนย่อมหมายถึงเวลาสามเค่อ
นี่คือรหัสลับที่ตระกูลอวิ๋นใช้บ่อยๆ ในตอนนั้น
ขณะนี้เขาได้มาตามเวลานัด
“ท่านขอสิ่งของยืนยันจากข้าในเวลานี้ ไม่กลัวข้าวางกับดักจับท่านหรือ?” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่คล้ายไม่ได้ยิ้ม
โจวหลู่ชิงเอ่ยปากพูดเสียงเรียบเฉย ไร้ซึ่งความอบอุ่นของสายลมวสันต์ยามกลางวัน “ข้ามาได้ก็ย่อมไปได้เช่นกัน”
เหยียนอู๋อวี้ไม่พูดให้มากความ นางยกมือหยิบปิ่นทองที่วางอยู่ด้านข้างมอบให้เขา
โจวหลู่ชิงหยิบปิ่นทองแล้วดึงแขนเสื้อขึ้นทันที บนมือเขามีแผลเป็โหดร้ายรอยหนึ่ง เมื่อดูอย่างละเอียดจะเห็นความแปลกประหลาดเล็กน้อย เขาทาบปิ่นทองบนรอยแผลเป็แล้วถอนหายใจโล่งอก “ท่านคือผู้ใดในตระกูลอวิ๋น?” เขาหันศีรษะมองนางพลางจี้ถามทันที
สามปีก่อนที่ตระกูลอวิ๋นล่มสลาย เขาคิดว่าตนเองจะไม่ได้ยินข่าวของอดีตเ้านายอีก สุดท้ายแผลเป็นี้ก็กลายเป็เพียงแค่แผลเป็ธรรมดารอยหนึ่ง กลับไม่คาดคิดเลยว่าสามปีต่อมาจะได้เห็นปิ่นทองนี้อีกครั้ง
เขาดีใจลิงโลด ทั้งยังสงสัยและเกิดความคาดหวังอย่างมากเช่นกัน
อวิ๋นอู๋เหยียนเสียชีวิตอย่างอนาถในสนามรบ อวิ๋นอู๋หยาข่าวคราวเงียบหาย นายท่านของเขาโลหิตนองลานปะา ตระกูลอวิ๋นไม่เหลือผู้ใดแล้วจริงหรือ? ครั้งหนึ่งเคยมีส่วนร่วมในการก่อตั้งแคว้นต้าเซวียน แม้กระทั่งตระกูลอวิ๋นที่ปกป้องพสกนิกรทั้งแคว้นต้าเซวียนยังล่มสลายเช่นนี้ นี่เป็ความจริงที่บุรุษผู้มีมโนธรรมและมีความเด็ดเดี่ยวทั้งหลายไม่มีทางเชื่อได้
ยามนี้สิ่งของยืนยันปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนทุกอย่างยังมีความหวัง
“ท่านไม่ต้องรู้ว่าข้าคือผู้ใด ท่านแค่ต้องจำไว้ว่า เมื่อเห็นสิ่งของยืนยันก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ที่ถือสิ่งของยืนยัน” จากสถานการณ์ปัจจุบัน เหยียนอู๋อวี้ยังไม่อยากให้เขารู้ตัวตนของนาง
โจวหลู่ชิงไม่ได้จี้ถามอีก เขาเพียงแค่กล่าวว่า “นายหญิงโปรดออกคำสั่ง”
“ครั้งนี้ข้าเข้าวังหลวงเพื่อตามหาพวกคนที่ข่มเหงและหักหลังตระกูลอวิ๋นในปีนั้น และจับทุกคนมาล้างแค้นและล้างมลทินให้ตระกูลอวิ๋น” เหยียนอู๋อวี้มิได้ปิดบังจุดประสงค์ของการเดินทางในครั้งนี้
โจวหลู่ชิงมิได้เอ่ยอันใด เขาพอเดาจุดประสงค์นี้ออก เขาไม่รู้ว่าจะพึ่งพาเหยียนอู๋อวี้ได้สักเพียงใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหยียนอู๋อวี้เป็ศัตรูหรือเป็มิตร ทว่าในเมื่อเขายืนอยู่ตรงนี้ก็เท่ากับว่าได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
เขาจะเชื่อฟังคำสั่งของเหยียนอู๋อวี้ ทว่าหากพบว่านางมีเจตนาอื่นแอบแฝง เขาก็จะใช้วิธีของตนเองทำให้นางสิ้นใจตายไปอย่างเงียบเชียบ
เหยียนอู๋อวี้มองไม่เห็นสีหน้าของโจวหลู่ชิงในความมืด ทว่าจากการที่เคยทำงานร่วมกันมาเมื่อก่อน นางรู้ว่ายามนี้ภายในใจของบุรุษท่านนี้ไม่ไว้ใจนางเท่าใดนัก ทว่านางมิได้ถือสา ขอเพียงเขายังคงภักดีต่อตระกูลอวิ๋น เช่นนั้นเขาก็จะภักดีต่อนางด้วยแน่นอน
นางหยุดชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปิดปากเอ่ย “มีคนพบชุดเกราะที่ฮองเฮาอวิ๋นเคยใช้ในตำหนักรับรองขององค์หญิงใหญ่ ในตอนแรกชุดเกราะนั้นเก็บซ่อนไว้ในที่ลับ แม้ไม่รู้ว่าองค์หญิงใหญ่เอามาได้อย่างไร แต่นางต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องเป็แน่ ท่านมีเบาะแสบ้างหรือไม่?”
โจวหลู่ชิงไม่แปลกใจเลย “ความสัมพันธ์ขององค์หญิงใหญ่กับฝ่าาบางครั้งก็ดีบางครั้งก็แย่ ในปีนั้นยามที่ฮองเฮาอวิ๋นออกรบ ทั้งสองสนิทสนมกันที่สุด คนขององค์หญิงใหญ่เคยกล่าวโทษตระกูลอวิ๋นในท้องพระโรงด้วย แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ทว่าไม่น่าจะหนีพ้น”
หนำซ้ำยังไม่คิดจะเปิดเผยออกไปเลยสักนิด เหยียนอู๋อวี้แอบถอนหายใจ ทว่าไม่ได้รู้สึกท้อแท้ นางกล่าวต่ออีกว่า “แต่ละฝ่ายกำจัดตระกูลอวิ๋น ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็คือไทเฮากับคนขององค์หญิงใหญ่ เพียงแต่ข้าสงสัยว่าในนั้นยังมีคนอื่นอีก”
“ต้องมีมากกว่านั้นอย่างแน่นอน เื่นี้พัวพันหลายฝ่ายนัก” โจวหลู่ชิงคล้อยตาม
“ในเมื่อเป็พันธมิตร เช่นนั้นก็ย่อมมีหนังสือสัญญาพันธมิตร ครั้งนี้มาหาท่านก็เพื่อสิ่งนี้”
เหยียนอู๋อวี้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาจบก็จ้องหน้าเขา หากยังไม่แสดงจุดยืน นางก็ต้องใช้วิธีอื่นแล้ว นางไม่เคยคิดจะทำเื่อันใดที่เสียเวลา
เชิงอรรถ
[1] ซวงสี่ มีความหมายว่า เป็มงคลเคียงคู่กัน
[2] ฉางฮวน มีความหมายว่า เสวยสุข
[3] ยามโฉ่ว คือเวลา 01.00-02.59 น.