ตอนที่ 24
"แม่บอกอยากให้ศิลามีความสุข แต่แม่คือคนที่ทำให้ศิไม่มีความสุขกับชีวิตอีกครั้ง แม่ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้ที่ศิจะเจอกับวีร์ พ่อเคยพาน้องไปหาหมอ ศิลามีภาวะเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า..."
คำพูดของศรุตยังคงวนเวียนในหัวของกนกั้แ่ออกจากคอนโดยันกลับมาถึงบ้าน เธอคิดมาตลอดทางและได้แต่โทษตัวเองที่ไม่เคยจะรู้เื่อะไรของลูกชายคนเล็กเลย ไม่ใช่เพียงเพราะว่าสามีไม่คิดจะบอกเธอ แต่เป็เธอเองที่ไม่ได้ใส่ใจและเห็นถึงความเปลี่ยนไปของศิลา คิดแค่ว่าเขาเป็เด็กที่เงียบไม่ค่อยพูดค่อยจาเท่านั้น เพราะเธอเอาแต่สนใจงานมากกว่าในตอนนั้น
“ทำไมคุณถึงไม่เคยบอกฉัน ว่าศิลาเคยมีภาวะเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า” กนกเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนเห็นอาธิปพอดีจึงถามขึ้น อาธิปเองก็เพิ่งได้รับข้อความจากศรุตว่าได้บอกเื่นี้กับกนกไปแล้ว เขาจึงไม่แปลกใจนักที่ภรรยาถาม
“ตอนนั้นคุณตรวจพบว่าภายในบริษัทมีคนทุจริต ผมไม่อยากบอกให้คุณต้องมีเื่เครียดอีกเพราะพาลูกไปหาหมอแล้วหมอก็ให้คำแนะนำมาซึ่งมันก็ไม่ได้ทำยากอะไร” อาธิปไม่พูดจาประชดหรือเหน็บแนมอะไรกนกเลยสักนิดเพราะไม่อยากให้เธอต้องคิดมากกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว
“ถ้าฉันรู้ก็คงจะดูแลลูกให้ดีกว่านี้” กนกพึมพำ อาธิปวางหนังสือในมือลงแล้วเดินมาตรงหน้าเธอก่อนจะพูดขึ้น
“แล้วตอนนี้คุณรู้แล้ว จะทำยังไงต่อล่ะ” เธอมองสบสายตาผู้เป็สามีแล้วหลุบตามองต่ำ “ตอนนี้มันผ่านมาแล้ว และปัณณวีร์คือคนที่เข้ามาทำให้ศิลาดีขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น คุณจะเอาอคติของคุณมาทำลายชีวิตของลูกได้อย่างนั้นหรอ”
“แต่ฉัน....” กนกหาคำแก้ตัวที่มาทำให้ตัวเองถูกไม่ออก อาธิปเลยพูดต่อ
“คุณเป็แม่ คุณอยากให้ลูกเจอคนที่ดีที่เหมาะสมอยากให้ลูกมีความสุข ผมเองก็เป็พ่อ แล้วคุณคิดว่าไม่อยากให้ลูกมีความสุขหรอ แต่ผมเคยไหมที่จะบังคับลูกในสิ่งที่ลูกเลือกแล้ว หากสิ่งนั้นลูกตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองผมก็เคารพในการตัดสินใจของลูก ถ้ามันดีเราก็สนับสนุน ถ้ามันไม่ดีเราก็แค่เตือนเขาด้วยเหตุผลสุดท้ายเขาจะเชื่อไหมก็คือการเลือกของเขา เลือกแล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาให้ได้
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ลูกได้เลือกไปแล้วคุณนก คุณจะกีดกันจะห้ามยังไงก็ได้นะ แต่คุณก็ต้องรับผลที่ตามมาของการตัดสินใจของคุณด้วยเหมือนกัน พ่อแม่เลี้ยงลูกมาไม่ใช่ให้ลูกต้องมาทำตามหรือเพราะมีบุญคุณนะ เราเลี้ยงเขาได้แค่ตัว เขาโตแล้วเขามีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง เลือกทางชีวิตด้วยตัวเอง”
กนกเม้มปากแน่นดวงตาสั่นระริก ก่อนหน้าด้วยความโกรธด้วยความอคติทำให้ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเธอไม่เคยเอากลับมาคิดเลย คิดว่าตัวเองทำดีที่สุดทำถูกที่สุด เห็นว่าการห่างกันของศิลากับปัณณวีร์เป็เพราะเื่ของมาวินที่ตัวเธอเองใช้ประโยชน์จากเื่นี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกอย่างมันเริ่มมาจากตัวเธอทั้งนั้นทำให้ทั้งสองต้องเป็แบบนี้ ทำให้ปัณณวีร์ตัดสินใจห่างกับศิลา
“คุณจะไปเลือกคู่ชีวิตให้ลูกไม่ได้หรอกนะ เพราะคู่ชีวิตคือคนที่จะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ก็ต้องให้ลูกเลือกด้วยตัวเอง เราก็อายุมากแล้วนะคุณนก จะอยู่กับลูกได้อีกกี่ปีกัน ทำไมคุณทำให้ลูกต้องเลือกระหว่างแม่กับคนรักด้วยล่ะ ในเมื่อคุณรู้ดีว่าศิลาจะเลือกอะไร”
อาธิปมองภรรยานิ่ง ยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอเบาๆ “คุณคิดทบทวนให้ดีเถอะ คุยกับตัวเองให้จบว่าเื่ของศิลาที่รักกับผู้ชายแล้วคุณยอมรับมันไม่ได้ คุณจะยอมถอยเพื่อแลกกับความสุขของศิลา แลกกับตัวลูกที่จะอยู่กับคุณไหม”
อาธิปพูดจบก็เดินออกจากห้องไป ปล่อยให้กนกได้อยู่คนเดียวได้ใช้เวลาคุยและคิดกับตัวเองให้ดีๆ สิ่งที่ควรพูดเขาได้พูดไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องบอกเธออีกแล้ว อยู่ที่ว่าเธอจะเลือกยังไง เพราะอาธิปเองก็ไปบังคับความคิดของใครไม่ได้เหมือนกัน แต่เขาก็เชื่อว่าภรรยาจะคิดได้บ้าง
ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ ในสวนสาธารณะซึ่งไม่ไกลจากคอนโดหรูที่เป็ที่พักของศิลานัก ร่างสูงเดินออกมาก็ไม่รู้จะไปไหนจึงมานั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ตอนนี้ก็เป็เวลาเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ผู้คนก็บางตาลงไป ที่นี่เป็ที่ที่ศิลากับปัณณวีร์ชอบออกมาเดินเล่นกันยามดึก เพราะในบางครั้งก็ไม่ได้อยากอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยม
ปัณณวีร์เองก็ไม่อยากอยู่ในห้องจึงคิดจะออกมาเดินเล่นรับลม ไม่คิดว่าจะเจอกับศิลา แม้จะเห็นแค่ด้านหลังเขาก็ยังจำได้ดี มือเรียวที่ถือร่มติดมือมาด้วยเพราะว่าฝนจะตกเนื่องจากดูสีของท้องฟ้าแล้วนั้น เขากำร่มไว้แน่น ขาวเรียวอยากจะก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักเอาไว้ ทำได้เพียงยืนมองศิลาอยู่ห่างออกไปอยู่อย่างนั้น ได้แต่พูดขอโทษในใจคิดว่าหากศิลารู้ความจริงภายหลังจะต้องโกรธเขามากแน่ๆ ถึงตอนนั้นหากทุกอย่างเป็ไปตามที่คิดไว้เขาจะยอมให้อีกฝ่ายโกรธได้เต็มที่และจะตามง้อเอาใจทุกอย่างเอง
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ปัณณวีร์เองก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองปวดขาที่ยืนนาน เพราะเอาแต่มองคนน้องจนเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา ไม่ทันได้ทำอะไรฝนก็ตกลงมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ปัณณวีร์ยืนอยู่ใต้ต้นไม้รีบเอาร่มขึ้นมากางหลบฝนแต่พอมองศิลา อีกคนยังคงนั่งอยู่ราวกับไม่ได้สนใจว่าฝนจะตกมาทำให้ตัวเองเปียก ปัณณวีร์ทนไม่ไหวตัดสินใจเดินออกไปหา ยืนอยู่ข้างหลังแล้วยื่นร่มไปเป็ที่กำบังฝนให้ ศิลาจึงเงยหน้ามองก่อนจะหันหลังมาดูว่าเป็ใคร พอเห็นว่าเป็ปัณณวีร์จึงลุกขึ้นทันที จับมือข้างที่ปัณณวีร์ถือร่มอยู่ไว้แน่นกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินหนีไป
“พี่วีร์”
“มานั่งตากฝนทำไม เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
“พี่เป็ห่วงผมหรอ” ปัณณวีร์เม้มปากเล็กน้อย
“ก็ต้องเป็ห่วงอยู่แล้ว” ศิลาจ้องมองใบหน้าหวานที่ไม่ได้พบหน้าหลายวัน ก่อนจะค่อยๆ เดินอ้อมเก้าอี้ไปหา ใช้มือข้างที่ยังว่างอยู่กอดปัณณวีร์เข้ามาหาด้วยความคิดถึง ปัณณวีร์ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายกอดไม่นานก็ทนไม่ไหวยกมือขึ้นมากอดกลับ
ทั้งสองยืนกอดกันอยู่นานจนปัณณวีร์ค่อยๆ เป็ฝ่ายดันศิลาออกห่าง ศิลาจึงพูดขึ้น
“พี่เข้ามาหาผมเองนะ แล้วจะผลักผมออกหรอ”
“ศิ กลับเถอะแล้วก็รีบไปอาบน้ำสระผมเดี๋ยวไม่สบาย” ปัณณวีร์รีบเปลี่ยนเื่ เพราะเป็เขาที่ใจอ่อนเอง
“พี่บอกเองว่าเราห้ามเจอกันอีก เราไม่ห่างกันแล้วได้ไหม” ศิลาผละออกห่างแล้วเอ่ยถาม ไม่สนใจประโยคเมื่อครู่
“ศิ” ปากน้อยๆ กำลังจะตอบว่าตกลงเพราะเห็นหน้าที่ดูเศร้าเสียใจของศิลาก็ใจอ่อน แต่เสียงบีบแตรรถก็ดังขึ้นมาก่อนทำให้ทั้งสองหันไปมอง
“จะยืนกันอีกนานไหม รีบขึ้นมาเลยทั้งสองคน” ศรุตะโออกมาจากรถหลังจากลดกระจกลง พอเห็นว่าฝนตกแล้วแต่ศิลายังไม่กลับมาจึงขับรถมาหา เดาได้ไม่ยากว่าน้องชายจะอยู่ที่ไหนเพราะไม่ได้เอากุญแจรถมาด้วยตอนที่ออกจากห้อง ศรุตเลยลองมาที่นี่ก่อนที่แรกแล้วก็เจอเข้าพอดี
หลังจากที่ขึ้นรถมาภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ ปัณณวีร์กับศิลานั่งที่เบาะหลังกันทั้งคู่ ศรุตจึงมองผ่านกระจกแล้วออกรถโดยไม่พูดอะไรเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่จอดรถของคอนโดเป็ปัณณวีร์ที่ทำท่าจะลงไปก่อน
“พี่วีร์” ศิลาคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ได้ทัน “ที่ผมถามพี่”
“รอก่อนเถอะศิ พี่ขอเวลาอีกหน่อย ที่มาเจอวันนี้ก็เพราะบังเอิญเท่านั้น ขอบคุณนะรุต” ศิลาเหมือนมือไม้ไม่ค่อยมีแรง แค่ปัณณวีร์ดึงมือกลับเบาๆ ก็หลุดจากการจับกุมได้โดยง่าย พอในรถเหลือแค่สองพี่น้องศรุตจึงพูดขึ้น
“พี่ไม่เคยเห็นน้องชายพี่ดูอ่อนแอขนาดนี้ แน่นอนว่าคนเรามี่เวลาที่อ่อนแอแต่ก็อย่านานเกินไปนะ รีบกลับมาเป็ตัวเองได้แล้ว”
“เป็ตัวเองแบบไหนครับ แบบที่ไม่มีพี่วีร์ใช่ไหมที่แม่อยากเห็น” ศรุตนึกสงสารน้องชายอยู่ไม่น้อย แผนการนี้เขาเป็คนคิดไม่ใช่ว่าไม่สงสารศิลา เพียงแต่ทำไปก็เพื่อเ้าตัวเหมือนกัน จากนี้จะได้ไม่ต้องมามีปัญหาซ้ำๆ แบบนี้กับคนเป็แม่อีก
“อีกหน่อย อีกหน่อยอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ วันนี้แม่ก็ดูจะมีแววตาอ่อนลงนะตอนศิเดินออกมา” ศิลาได้แต่บอกกับตัวเองว่าให้รอ ก็แค่ห่างกันพวกเขายังไม่ได้เลิกกัน อย่างน้อยก็ยังดีกว่าที่คนพี่บอกว่าจะเลิกในตอนแรก
"สรุปว่ายังไงครับคุณกนก"
"นั่นสิคะ ไหนคุณมั่นใจว่าปัณณวีร์จะยอมเซ็นสัญญากับทางเรา"
"ดูคุณจะมั่นใจเกินไปหน่อย สุดท้ายคู่แข่งก็ได้ตัวเขาไปซะแล้ว น่าเสียดายละครเื่นั้น"
"ใช่ คิดว่าถ้าเราดันต่อ ก็อาจจะมีโอกาสดึงเรทติ้งขึ้นมาได้ ด้วยบทของละครที่เด่นและแปลกใหม่ ไม่เน้นการตบตีแย่งแฟนกัน ฉันว่าเราพลาดแล้วละค่ะ"
คณะกรรมการของบริษัทต่างพากันยิงคำถามและพูดคำพูดที่ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของกนกผิดพลาด จากที่ก่อนหน้านี้ตัวเองก็ตามน้ำเห็นด้วยไม่มีใครคัดค้านอะไร พอไม่เป็อย่างที่กนกบอกไว้ก็ไม่มีใครพูดถึงหรือคิดถึงวันนั้นเลยว่าตัวเองก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด ปล่อยให้กนกได้ทำตามแผนที่บอกเอาไว้ ซึ่งนอกจากไม่เป็ไปตามคาดแล้วยังส่งผลเสียต่อบริษัทหนักเหมือนกัน
ศรุตไม่พูดไม่จาอะไรเพราะเื่นี้ต้องให้คนที่ผูกแก้เอาเอง กนกเตรียมใจไว้บ้างแล้วว่าต้องเป็แบบนี้ ซึ่งเธอยอมรับว่าเป็ความผิดของเธอที่เอาอารมณ์และเื่ส่วนตัวเป็ใหญ่
"เื่นี้ฉันมั่นใจเกินไปจริงๆ ไม่คิดว่าการบีบบังคับปัณณวีร์แบบนี้ทำให้เขาไปทางอื่น" ไม่ใช่ไม่รู้ รู้แต่คิดอยากใช้เหตุผลนี้มาจัดการปัณณวีร์เท่านั้น
"แล้วแบบนี้จะทำยังไงต่อล่ะครับ ปัณณวีร์ทำละครให้บุญบวรแบบนี้ดึงตัวมาคงยากแล้ว" คณะกรรมคนหนึ่งอายุเกือบ 50 พูดขึ้น กนกเองไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไง เมื่อเห็นคนเป็แม่เงียบไปครู่ใหญ่ ศรุตจึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้หากไม่ช่วยพูดก็จะดูใจร้ายไปหน่อย
"ปัณณวีร์ยังไม่ได้เซ็นสัญญากับทางนั้น บางทีเราอาจจะมีโอกาสดึงเขามาทำละครให้เราได้อีกนะครับ" กนกหันมองลูกชาย ศรุตจึงมองสบตาแล้วกวาดตามองคณะกรรมการ
"ปัณณวีร์ไม่ชอบผูกมัด เขาอยากจะทำงานเป็อิสระ ผมคิดว่ายังไงบุญบวรก็คงอยากจะรั้งตัวเขาไว้กับบริษัท ดังนั้นเราก็ให้ข้อเสนอเขาให้กลับมาทำให้เราเหมือนเดิมแบบไม่ต้องเซ็นสัญญาอย่างที่เคยทำมา"
"แล้วเราจะเอาอะไรมามั่นใจว่าเขาจะไม่ไปที่อื่นอีกอย่างเช่นคราวนี้" ศรุตยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับ
"ผมว่าผมมีวิธีดึงตัวปัณณวีร์เอาไว้และผมก็มีวิธีพาปัณณวีร์กลับมาทำงานให้เราได้" ทุกคนในที่ประชุมต่างมองหน้ากันไปมาและพูดคุยเสียงเบาเหมือนจะหาข้อสรุป
"วิธีอะไรคะ"
"วิธีนี้มันเป็ความลับครับ ทุกคนจะยังไม่เชื่อก็ไม่เป็ไร รอให้ผมทำให้ดูก็ได้ครับ แต่คงจะบอกวิธีกับทุกท่านไม่ได้ และขอรับรองว่าวิธีของผมไม่ทำให้บริษัทต้องเสียหายหรือว่าต้องขาดทุนอย่างแน่นอน"
กนกมองลูกชายคนโตที่เสนอความคิดเห็นทำให้เธอไม่ต้องตอบคำถามของเหล่าคณะกรรมการ และมันก็ได้ผลเพราะทุกคนต่างก็ให้ศรุตได้ลองทำตามที่พูด
"วิธีอะไรของลูก" กนกเอ่ยถามหลังจากทุกคนออกจากห้องประชุมไปแล้ว เหลือเพียงตัวเธอและศรุตที่กำลังจะเดินไป ศรุตจึงหันมาตอบก่อน
"วิธีที่ผมเคยใช้นั่นแหละครับ แม่อาจจะยังไม่รู้ว่าที่วีร์ไม่ไปไหน ไม่ทำละครให้ที่อื่นไม่ใช่เพราะว่าบริษัทมีบุญคุณอะไรนักหนากับเขาหรอกครับ แต่เพราะเขาทำเพื่อศิลาต่างหาก ที่แม่ชอบเอาเื่ที่เขาไปทำงานให้กับคู่แข่งมาใช้เป่าหูศิลา มันไม่ได้ผลหรอกนะครับเพราะศิลาก็รู้ดีว่าที่วีร์ไม่ไปเพราะเพื่อเขาทั้งนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้มาวินได้ยื่นข้อเสนอที่ใครเห็นก็ต้องอยากจะไปอยู่กับทางนั้นให้ แต่มันก็ซื้อวีร์ไม่ได้หรอกครับ"
กนกนิ่งไปแล้วถามว่า "แล้วครั้งนี้ที่ไปล่ะ คือจะไม่ทำเพื่อศิแล้วงั้นหรอ"
"เพราะแม่ไม่ใช่หรอครับที่บีบบังคับเขา แกล้งเขาทุกอย่าง บีบเขาทุกทาง หากวีร์เซ็นสัญญากับแม่เขาคงถูกแม่บีบมากกว่านี้ไงครับถึงได้ไม่ยอม ความเสียหายครั้งนี้เกิดจากแม่ทั้งหมดเลยนั่นแหละครับ"
เป็อีกครั้งที่กนกถูกลูกชายคนโตพูดย้ำความผิดพลาดของเธอและเดินจากไป ปล่อยให้เธออยู่กับความรู้สึกผิดที่เริ่มเกาะกินใจเข้ามาบ้างแล้วตอนนี้
"ตอนนี้ศิกลับมาทำงานแล้วแต่ก็รับงานน้อยลง เห็นว่าถ่ายละครเื่นี้เสร็จจะพักยาว ถึงจะบอกว่ากลับมาปกติแล้วแต่ก็ไม่ปกติหรอก เหมือนหุ่นยนต์มากกว่า" ศรุตพูดถึงบุคลิกของน้องชายที่หลังจากตากฝนวันนั้นก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็ศิลา แต่เป็ศิลาในแบบฉบับที่ไม่มีปัณณวีร์เหมือนตอนนั้นมากกว่า….
ศิลาเริ่มควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ใน่พักหนึ่งอาทิตย์นั้นก่อนจะกลับไปทำงานต่อและได้ขอโทษทุกๆ คนที่เขาทำให้เสียเวลากัน แม้ทุกคนจะสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็อะไรถึงได้ดูเศร้านักแต่ก็ไม่มีใครพูดหรือถามอะไรมาก
"พอแล้วได้ไหม เอาจริงคืออยากเลิกทำั้แ่วันนั้นแล้วอ่ะ" ปัณณวีร์ถามขึ้น หากว่าวันนั้นศรุตไม่มาก่อนเขาคงตอบตกลงศิลาไปแล้ว
"อย่าเพิ่งนะ รออีกหน่อยเถอะวีร์ คิดว่าอีกไม่นาน ทางนี้ก็เร่งใส่ไฟให้คุณแม่เหมือนกัน ยิ่งศิลาไม่กลับบ้านเลยั้แ่ตอนนั้นและก็ไม่คุยไม่รับสายจากแม่เลยแบบนี้ยิ่งดี แม่ต้องยอมแน่ๆ เห็นสภาพของศิลาแบบนี้"
"นี่นายเป็พี่ชายยังไงเนี่ย ไม่สงสารน้องเลยรึไง ฉันเห็นน้องที่กองถ่ายก็สงสาร พวกนายสองคนจะทำอะไรกันแบบนี้ก็ควรจะบอกศิลาหน่อยสิ เล่นกับความรู้สึกศิลาแบบนี้ไม่ดีเลย" น้ำหนึ่งบ่นออกมา วันนี้เธอแวะมาเล่นกับปัณณวีร์พอและบังเอิญว่าศรุตก็มาหาปัณณวีร์เหมือนกัน
"สงสารสิ ศิลาเป็นักแสดงก็จริง แต่กับเื่นี้เขาแสดงได้ไม่เหมือนหรอก และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมแสดงด้วย ก็ให้ตัวเลือกวีร์ไปแล้วไงว่าจะบอกหรือไม่บอกศิ ซึ่งวีร์ก็เห็นด้วยกับฉันว่าไม่บอกจะดีกว่า เพราะหากว่าบอกศิลาไม่ยอมทำตามแน่นอนและเขาจะเลือกที่จะตัดขาดกับแม่เพื่อวีร์แน่ๆ"
"ไม่อยากให้เป็แบบนั้นไง" ปัณณวีร์พูดขึ้น
"งั้นก็ต้องรอ รออีกหน่อยเชื่อเถอะ" ในตอนแรกพวกเขาแทบไม่มีความเชื่อเลยว่าวิธีนี้จะสำเร็จ กลัวอยู่ไม่น้อยเพราะปัณณวีร์ไม่กล้าจะหาเื่ทะเลาะกับคนน้อง
ดีที่มีเื่ของมาวินเข้ามา ศรุตรู้ทุกอย่างเพียงแต่ไม่พูดไม่บอกก็เท่านั้นเพื่อจะให้เป็ไปตามแผนที่วางไว้ พวกเขารู้ดีว่าตัวเองผิดที่เล่นกับความรู้สึกศิลาแบบนี้ หลายต่อหลายครั้งที่ปัณณวีร์ลังเลใจ ไม่อยากจะทำแต่ศรุตก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่ามันเป็วิธีที่เร็วที่สุดในตอนนี้ หากจะให้ทั้งสองพิสูจน์ความรักให้แม่เห็นและเชื่อก็คงใช้เวลาไม่น้อย หรือกว่ากนกจะเชื่อว่าความรักของทั้งสองไม่ใช่แค่ความลุ่มหลงไปวันๆ อาจจะได้ทะเลาะกันจริงๆ ขึ้นมาก็ได้
"ถ้าศิรู้เื่หลังจากนี้เราจะเป็ยังไง" ปัณณวีร์เป็กังวลตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักศิลาถึงได้ปล่อยให้ศิลาเสียใจได้ แต่เพราะรักเลยไม่อยากให้ศิลาต้องมาเลือกระหว่างตัวเองกับแม่ เขารู้ดีกว่าใครว่าศิลา้าแม่มากแค่ไหน แม้จะทำเหมือนไม่สนใจแต่จริงๆ ศิลารักกนกเช่นกัน เพียงแต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองแม่ลูกมันห่างกันออกมาเรื่อยๆ โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ตัว ห่างกันโดยศิลาเองที่ทำเป็เฉยชากับทุกสิ่ง กนกเองก็ไม่ได้ใส่ใจลูกชายอย่างที่ปากบอกว่ารักและห่วงศิลา
ทำแบบนี้ไม่ใช่แค่ตัวศิลาที่เสียใจ ปัณณวีร์เองก็เสียใจไม่ต่างกัน ต่างกันแค่ปัณณวีร์รู้ว่าเื่นี้คือเื่ที่เขาแสดงอยู่ไม่เป็จริง แต่ถึงศิลาไม่รู้อะไรเลย ราวกับคนที่ถูกปิดหูปิดตา...
"โดนโกรธแน่ๆ แต่ไม่รู้จะมากน้อยแค่ไหน" ศรุตเตรียมพร้อมสำหรับผลลัพธ์ในครั้งนี้แล้ว ไม่เสียใจที่ทำลงไปหากว่ามันทำให้กนกเป็ฝ่ายที่ยอมและเห็นใจศิลา ศรุตก็พร้อมจะให้น้องชายโกรธ เห็นว่าเขาไม่ค่อยสนิทกับศิลาแต่ศรุตก็รักน้องชายมากเช่นกัน
"ก็สมน้ำหน้าอ่ะนะ ถ้าฉันเป็ศิลานะ พี่ชายแบบนายนี่ฉันจะทุบให้ตายเลย เ้าแผนการดีนัก" น้ำหนึ่งแขวะขึ้นมาหนึ่งยก
"หนิ ถ้าเธอเป็น้องฉันเนี่ย ฉันจะจับขี้เถ้ายัดปากั้แ่เกิดเลย ไม่ต้องโตมา" ศรุตเองก็ใช่จะยอมให้อีกฝ่าย
"ปากดี ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ปากเก่ง เถียงเก่งกว่าผู้หญิงอีก" เป็แบบนี้มาตลอดระหว่างศรุตกับน้ำหนึ่ง หากว่าเจอหน้ากันก็ต้องมีปะทะฝีปากกันสักหน่อย
"ถ้าเป็ผู้หญิงคนอื่นก็ไม่เถียงหรอกนะ แต่เป็ผู้หญิงแบบเธอนี่มันคันปากอยากเถียงมาก" ศรุตทำท่าจะเกาปากใส่น้ำหนึ่งทำเอาดาราสาวหงุดหงิดหยิบหมอนมาโยนใส่หน้า ปัณณวีร์ที่นั่งตรงกลางหลบทันไม่งั้นหมอนคงจะโดนเขาก่อน
"นี่! เถียงไม่ได้ก็ใช้ความรุนแรงหรอยัยบ๊อง"
"ทำไมล่ะ จะทำไมกล้าทำผู้หญิงหรอ" สีหน้าคนกวนยักคิ้วใส่อย่างผู้ชนะ เ้าของห้องมองทั้งสองคนสลับกันไปมาจึงได้พูดขึ้น
"ทะเลาะกันบ่อยแบบนี้เขาว่าลูกดกนะ"
ทั้งศรุตและน้ำหนึ่งหันมองปัณณวีน์เป็ตาเดียวกัน "ลูกอะไร ใครจะไปลูกดกกับคุณชายคาสโนวากันล่ะ"
"โลกนี้เหลือแค่เธอฉันก็ไม่เอา"
ปัณณวีร์ส่ายหน้าไปมาเบาๆ สองคนต่างฝ่ายต่างตั้งแง่และปากแข็งใส่กัน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะลงเอยหรือว่าบางทีอาจจะ้าตัวมากระตุ้นสักหน่อยละมั้งถึงจะรู้ใจตัวเองสักที ปัณณวีร์คิดทดเอาไว้ในใจ ไว้เสร็จเื่ของตัวเองก่อนจะช่วยให้ศรุตได้สมหวังบ้าง
ศิลากลับมาบ้านก็แค่มาทานข้าวเย็นเป็บางวัน ซึ่งคือวันที่อาธิปชวนมา ซึ่งก็เป็กนกที่ขอให้สามีชวนลูกมาทานข้าวด้วยเพราะศิลาไม่กลับบ้านเลย เจอกันที่บริษัทก็เหมือนจะห่างเหินกว่าเดิม ทำเหมือนเป็เ้านายกับลูกน้องไม่ใช่แม่กับลูกยังไงยังงั้น มาทานข้าวบ้านก็จริงแต่ก็พูดคุยไม่กี่คำ ถามก็ตอบ ไม่มีถามกลับราวกับหุ่นยนต์ กนกรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลูกชายว่าหลังจากเกิดเื่เป็ยังไง ต้องหยุดพักงานเกือบอาทิตย์เพราะผู้กำกับเห็นว่าไม่มีสมาธิเลย ฝืนถ่ายต่อไปก็จะทำให้เสียเวลามากกว่าจึงให้หยุดพักไปก่อนค่อยกลับมาทำงานใหม่ หลังจากนั้นพอกลับมาทำงานศิลาก็ทำมันได้ดี แต่ก็เป็อย่างที่เห็น จากที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้วตอนนี้ก็ยิ่งไปกว่านั้นอีก ไม่มีใครกล้าเข้าหน้าเลย
ทานข้าวเสร็จศิลาก็กลับคอนโดเลย ไม่มีว่าจะค้างที่บ้าน ตอนไปก็แทบไม่ได้หันมองหรือสนใจกนกที่พยายามจะแสดงตัวตนให้ลูกได้เห็น แต่ศิลาก็ทำเหมือนไม่เห็นเหมือนกนกเป็อากาศไป
"ลูกเปลี่ยนไปมาก" กนกพึมพำออกมา คนที่ยืนข้างๆ อย่างอาธิปได้ยินจึงตอบกลับ
"นั่นคือสิ่งที่คุณอยากให้เป็อยู่รึเปล่า แล้วคุณเห็นรึยังว่าสุดท้ายลูกไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่คุณบอกว่ามันจะดี คุณอยากได้ลูกชายกลับมาแต่คุณก็อาจจะลืมนึกไปว่าผลลัพธ์มันมีสองทางเสมอ คุณอาจจะได้ลูกกลับมาหรืออาจจะเสียเขาไปก็ได้" อาธิปพูดให้เธอได้คิดต่อเอาเอง เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
"ฉัน..." ไม่ใช่แบบนี้ สิ่งที่เธอ้าเห็นไม่ใช่แบบนี้ เธอคิดเอาไว้ในหัวว่าศิลาต้องกลับมาเป็ลูกชายของเธอไม่ใช่ห่างออกจากเธอเรื่อยๆ แบบนี้จนเธอเองก็คว้าเอาไว้ไม่ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าปัณณวีร์จะมีผลต่อศิลาขนาดนี้
"ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคุณแต่มันก็อาจจะกลับมาได้เพราะคุณเหมือนกัน" อาธิปลูบไหล่ภรรยาเบาๆ เมื่อรถของศิลาพ้นสายตาไปแล้วจึงเดินกลับเข้าบ้านไป
ให้กนกเป็คนตัดสินใจว่าเพราะทุกอย่างตอนนี้ขึ้นอยู่ที่เธอจริงๆ ...
เย็นของวันถัดมา ปัณณวีร์กลับจากออฟฟิศ ่นี้เขากลับค่ำทุกวันเพราะว่าต้องเตรียมงานหลายอย่างก่อนจะเริ่มถ่ายทำละครเื่แรกที่ทำให้กับบริษัทบุญบวรซึ่งเป็คู่แข่งของเจทีเอ็น ซึ่งนอกจากจะทำงานแล้วยังต้องคอยหลบมาวินที่มักจะเข้ามาหาที่ออฟฟิศอยู่บ่อยครั้ง ปัณณวีร์รู้ว่ามาวินนั้นก็เป็เหมือนกับเขา ชอบผู้ชายเหมือนกันเพียงแต่อีกฝ่ายดูจะทำตัวเปิดเผยกว่าพวกเขาเสียอีก และในขณะที่ร่างสูงบางกำลังจะเดินเข้าลิฟต์แต่ได้ยินเสียงเรียกของใครคนหนึ่งดังขึ้นซะก่อน
"ปัณณวีร์" เ้าของชื่อหันไปมองก็เห็นเป็กนกที่ยืนอยู่ ใจของเขาเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายมาหาถึงที่ตามที่ศรุตคิดเอาไว้ ไม่ได้เรียกให้ไปหาเหมือนแต่ก่อน ในใจได้แต่ภาวนาให้การมาในครั้งนี้ของกนกเป็ไปอย่างที่พวกเขา้า เพราะปัณณวีร์เองอยากจะกลับไปขอโทษศิลาเต็มทนแล้ว
"ไปคุยกันหน่อยสิ"
TBC.