เมื่อหลิงอีได้ยินคำของอวิ๋นซีก็ถึงกับอึ้งไปในทันที “ตายแล้ว? นางตายได้อย่างไร? ” สำหรับเขาแล้ว สตรีผู้นั้นเป็สตรีที่แตกต่างไม่เหมือนใคร ทั้งยังทำให้เขาเป็ต้องเฝ้ารอมาหลายปีเพียงนี้ นี่นางตายแล้ว?
นอกจากหลิงอีแล้ว คนที่เหลือทั้งสิบหกคนเองก็มองมาเช่นกัน ขณะที่อวิ๋นซีตอบคำด้วยรอยยิ้มเ็าแฝงความบ้าเื “ครอบครัวข้าถูกคนใส่ร้าย ทำให้ต้องโทษฆ่าล้างตระกูล ไม่ว่าจะพ่อแม่ พี่ชาย คนในตระกูล คนสนิท หรือคนข้างกายของข้า พวกเขาล้วนถูกสังหาร ไม่มีใครเหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
เมื่อทุกคนได้ยินแล้วต่างก็พากันมองอวิ๋นซีอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อพิศไปแล้ว คนเบื้องหน้าพวกเขายังดูเด็กเพียงนั้น แต่กลับต้องพบเจอความทุกข์ทรมานมากมายเพียงนี้?
บุรุษที่มีรูปลักษณ์หล่อเหลางดงามผู้หนึ่งก้าวออกมา เขามองไปยังอวิ๋นซี ถามเสียงขรึม “แล้วเหตุใดยามนั้นท่านจึงไม่มาหาพวกเรา? ”
“ตอนนั้นเื่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไปจนตัวข้าเองก็ตั้งรับไม่ทัน” นางพลิกตัวลงจากหลังม้า มองคนตรงหน้า คนคนนี้คือหลิงซาน เขาเคยเป็ทหารคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของบิดาเฉียวอวิ๋นซี เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนไปล่วงเกินใครเข้า สุดท้ายจึงถูกตัดสินให้รับโทษของทางทหารด้วยการโบยร้อยที ทว่า ในตอนที่เขากำลังจะสูญเสียขาไปนั้น เป็เฉียวอวิ๋นซีที่บังเอิญติดตามพี่ชายไปค่ายทหารได้พบเห็นเข้า
วิธีการช่วยเหลือของนางนั้นง่ายมาก ยามนั้นเพียงทำให้เหมือนว่าเขาขาหักไปจริงๆ หลังจากนั้นเมื่อคนถูกขับออกจากค่ายทหาร นางก็เข้าไปช่วยรักษาให้จนขาของเขาหายเป็ปกติด้วยมือของนางเอง ส่วนในตอนนี้เขาได้รับตำแหน่งเป็ท่านสามแห่งหอรุ่งอรุณ เมื่อสามปีก่อนรับผิดชอบงานข่าวสาร แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังรับผิดชอบหน้าที่นี้อยู่หรือไม่
“ถ้าเช่นนั้น ในตอนนี้ท่านมาหาพวกเราเพื่ออันใดกัน” หลิงซานมองนางแล้วเอ่ยถาม คนตรงหน้านี้จะใช่คนที่รักษาขาของเขาจนหายดีผู้นั้นจริงๆ หรือ? ถึงแม้ยามนั้นหลันเอ๋อร์จะไม่ได้บอกกล่าวสิ่งใด แต่เขาก็รู้ดีว่า คนที่รักษาขาให้เขาในตอนนั้นไม่แน่อาจจะเป็นายท่านที่แท้จริง แต่บุคคลตรงหน้าผู้นี้หาใช่คนในตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม คนในตอนนั้นเป็สตรี เมื่อเทียบกับตอนนี้สตรีนางนั้นก็น่าจะอายุราวๆ ยี่สิบกว่าแล้ว แต่ก็น่าสงสัย เพราะหากไม่ใช่ แล้วเมื่อครู่อีกฝ่ายจะสามารถบอกเล่าประวัติของแต่ละคนออกมาได้อย่างไร ทั้งยังรู้ถึงเื่บางเื่ที่มีแค่พวกเขากับหลันเอ๋อร์เท่านั้นที่รู้
ตอนนี้ในสมองของหลิงซานกำลังครุ่นคิดถึงความเป็ไปได้สองประการ หนึ่ง การคาดเดาในตอนนั้นของตนอาจผิดพลาดไป สตรีนางนั้นไม่ใช่คุณชายหลิงเซียว แต่เป็คนตรงหน้านี้ต่างหากที่ใช่ หรือความเป็ไปได้ประการที่สองก็คือ หลันเอ๋อร์และคุณชายหลิงเซียว [1] มิอาจสู้คนผู้นี้ได้ จึงถูกเขาบังคับข่มขู่จนได้ทราบเื่ราวความลับมากมายเช่นนี้
อวิ๋นซีมองคนตรงหน้าไปเรียบๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา “หลิงซาน เ้าจำไม่ได้แล้วหรือ ในตอนนั้นเ้าใช้ความตายของตนมาสาบานกับข้าว่าจะติดตามข้า ทั้งที่เหตุการณ์นั้นเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่ปี แต่ตัวเ้ากลับหลงลืมไปแล้วหรือ? ”
ตอนที่หลิงซานได้ยินถ้อยคำที่ว่า ‘ใช้ความตายมาสาบานว่าจะติดตาม’ คนก็ถึงกับอึ้งไปในทันที เพราะนั่นเป็คำที่เขาเคยเขียนไว้ในจดหมายที่ส่งไปถึงคุณชายหลิงเซียว ถ้าเช่นนั้น ชายผู้นี้ก็คือคุณชายหลิงเซียวจริงๆ น่ะหรือ? ทว่าคนตรงหน้านี้ดูแล้วก็เพิ่งจะสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น
“เอาละ ข้าไม่ได้มาเพื่อพูดจาไร้สาระ เพราะเหตุผลหลักที่มาเจอพวกเ้าที่นี่ก็คือ ตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว ของอาจยังเหมือนเดิม แต่คนอาจไม่เหมือนเดิม ข้าอยากจะรู้ว่า ในใจของพวกเ้ายังคงยึดมั่นในสิ่งที่ตนตั้งใจไว้เมื่อกาลก่อนอยู่หรือไม่ อีกทั้ง ยามนี้ข้ากลับมาแล้ว พวกเ้าจะยังคงเป็พวกเ้าอยู่หรือไม่ เหล่าคนที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อหลิงเซียว” นางกวาดสายตามองดูทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ จากนั้นจึงถามเสียงขรึม
ทุกคนมองหน้ากันไปมา โดยไม่มีใครพูดอะไร จากนั้นจึงพากันคุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้น และเป็หลิงอีที่พูดขึ้น “ตอนนั้นคุณชายหลิงเซียวเคยพูดไว้ว่า หากได้เห็นหยกหลิงเซียวเมื่อใดให้ถือเสมือนเจอนายท่าน พวกเราล้วนเป็กองกำลังที่จะคอยสนับสนุนคุณชาย เป็มือซ้ายขวาของคุณชาย ดังนั้น แน่นอนว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานสักเท่าใดก็จะยังภักดีต่อหอรุ่งอรุณ”
ไม่ว่าคนตรงหน้านี้จะเป็คุณชายหลิงเซียวในตอนนั้นหรือไม่ แต่ความภักดีที่มีมาแต่แรกเริ่มนั้นจะไม่แปรเปลี่ยน อีกทั้ง เขาก็ยังเชื่อว่า ต่อให้บุรุษผู้นี้จะไม่ใช่ผู้มีพระคุณในตอนนั้น แต่คนจักต้องเป็คนสนิทอย่างยิ่งของอีกฝ่าย มิเช่นนั้น หยกหลิงเซียวนี้คงจะมาอยู่ในมือของผู้อื่นมิได้แน่
“ดีมาก” อวิ๋นซีอมยิ้ม พยักหน้า “เช่นนั้น ขั้นแรก สิ่งที่พวกเ้าต้องทำคือการละทิ้งสถานะในตอนนี้ทั้งหมด เพื่อเข้าไปยังนครหานโจว จากนั้นก็ไปพำนักที่เฉียวชุนจวีที่ตั้งอยู่ในหูถงก่างที่เมืองฝั่งตะวันตก ขอแค่พวกเ้านำบัตรประจำตัวหอรุ่งอรุณออกมา คนเฝ้าประตูก็จะให้พวกเ้าเข้าไปโดยทันที พวกเ้าพำนักอยู่ที่นั่นไปก่อนสักสองวัน เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะไปหาพวกเ้าเอง” เมื่อพูดจบนางก็พลิกกายขึ้นม้า ขบคิดชั่วครู่แล้วจึงมองไปยังหลิงอี นางพูด “ร่างของหลันเอ๋อร์ถูกฝังไว้ที่หานโจว เ้าอยากจะแวะไปหานางสักครั้งหรือไม่? ”
หลิงอียังไม่ทันได้ตอบก็มีคนในกลุ่มพวกเขาะโตอบเสียงดัง “ข้าไป ข้าไป”
“ไสหัวไป” หลิงอีมองไปยังคนเตี้ยๆ คนหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเ็าเกรี้ยวกราด “ข้าไป”
“ดี ่ต้นยามเซินของวันมะรืน เ้าไปรอที่นอกเมืองก่อน จากนั้นจะมีคนพาเ้าไป อีกทั้ง นางจะเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในปีนั้นทั้งหมดให้เ้าฟัง” เมื่อพูดจบ อวิ๋นซีก็หวดม้า มุ่งหน้าไปยังหานโจว
ตอนนี้นางทำได้แค่คิดหาวิธีให้คนเหล่านี้มารวมตัวกัน จากนั้นค่อยดูว่าความสามารถของพวกเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว ซึ่งสิ่งเดียวที่ตอนนี้นางยังกังวลก็คือ ความเคลือบแคลงในใจคน แน่นอนว่า นางหวังเพียงความกังวลที่มีจะเป็แค่การคาดเดาสุ่มๆ ที่ไม่มีทางเป็จริง อย่างไรเสีย ตัวนางก็ไม่อยากสงสัยพวกเขาอย่างที่สุด
เมื่ออวิ๋นซีกลับมาถึงสวนชิงเฟิง ภายในห้องนี้ยังคงเงียบสงัดเช่นเดิม ทว่า ตอนที่นางกำลังจะเปลี่ยนอาภรณ์นั่นเอง จู่ๆ นอกประตูก็มีเสียงะโเสียงหนึ่งลอดเข้ามา “อาซี”
นั่นเป็เสียงของซือถูเวย อวิ๋นซีเกิดสงสัยว่า เหตุใดคนถึงมาได้? นางรีบถอดชุดบุรุษออกแล้วจึงนำไปเก็บซ่อน จากนั้นก็นอนลงบนเตียง แสร้งว่าเพิ่งตื่นนอน
“พระชายาเพคะ คุณหนูซือถูมาขอเข้าพบเพคะ” ด้านนอกประตูมีเสียงของเซียงเอ๋อร์ลอดเข้ามา ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามกดเสียงให้เบาลงอย่างที่สุดแล้ว แต่อวิ๋นซีก็ยังคงได้ยินชัดเจน
ชั่วขณะนั้นนางกำลังคิดว่าคนจะมาที่นี่เพื่อทำอันใด? แต่ก็ไม่วายให้เซียงเอ๋อร์นำคนเข้ามา
เซียงเอ๋อร์ยิ้มรับ จากนั้นเปิดประตู เดินนำซือถูเวยเข้ามา ทันทีที่เห็นอวิ๋นซียังเอนกายอยู่บนเตียง แม้นางจะอดประหลาดใจไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอันใดให้มากความ “พระชายาเพคะ ท่านจะลุกจากบรรทมเลยหรือไม่? ให้บ่าวช่วยท่านชำระกายเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนหรือไม่เพคะ? ”
“ไม่ต้องหรอก” อวิ๋นซีโบกมือไหวๆ จากนั้นจึงกล่าวต่อ “เวยเวยมิใช่คนนอก พบปะพูดคุยกับนางไม่จำเป็ต้องแต่งกายทางการให้มากพิธี”
เมื่อซือถูเวยได้ยินก็อมยิ้มมองอวิ๋นซี
รอจนกระทั่งเซียงเอ๋อร์ถอยออกไป ซือถูเวยก็รีบถามขึ้น “เป็เพราะการแท้งครั้งก่อนทำให้สุขภาพร่างกายเ้าไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ เพราะข้าได้ยินพวกสาวใช้บอกว่า เ้าหลับไปสองชั่วยามแล้ว พวกนางล้วนเป็ห่วงเ้า แต่ก็ไม่กล้าเข้ามา”
อวิ๋นซียิ้มบางๆ การแท้งทำให้ร่างกายไม่ค่อยดีอันใดกันเล่า นี่เป็เื่หลอกลวงคนทั้งสิ้น “ข้าไม่เป็ไร เพียงแต่สองสามวันนี้นอนหลับไม่ค่อยดี ทำให้เวลานอนของข้ายาวไปหน่อย” นางให้ซือถูเวยนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างเตียง “แล้วเหตุใด จู่ๆ วันนี้เ้าถึงได้ว่างมา ท่านลุงกับท่านป้ายังสบายดีอยู่หรือไม่? แล้วท่านปู่ซือถูเล่า สบายดีหรือ? ”
ในความทรงจำของเ้าของร่างเดิม คนตระกูลซือถูล้วนดีกับเ้าของร่างเดิมเป็อย่างยิ่ง ถึงแม้นางในตอนนี้จะต่อต้านความเป็สหายรักลึกซึ้งเหล่านี้อยู่นิดหน่อย แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกอันดีต่อซือถูเวยอยู่ส่วนหนึ่ง บางทีอาจเป็เพราะความทรงจำของเ้าของร่างเดิมกำลังส่งผลกระทบต่อความคิดความอ่านของนางอยู่กระมัง
“สบายดี ทุกคนสบายดี เพียงแต่ตอนนี้พวกเขากำลังกลัดกลุ้มใจเื่ของข้า...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของซือถูเวยก็ดำคล้ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็สีหน้าปลงๆ
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “หาคู่ให้เ้า? ”
“ก็ใช่น่ะสิ” จู่ๆ นางก็รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน “เ้ารู้หรือไม่? ท่านพ่อท่านแม่ข้าร้ายกาจเกินไปแล้ว เมื่อหลายปีก่อนตอนที่พวกเขาออกไปทำการค้าที่ต่างเมือง บังเอิญไปช่วยเหลือฮูหยินหลัวที่กำลังจะพาบุตรสาวกลับเมืองหลวงพอดี ดังนั้น ตอนนี้มีคนมาหาถึงบ้าน ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็เกิดมีใจคิดอยากจะผูกสัมพันธ์ อยากจะเกี่ยวดองกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ว่า ตัวข้านี้ แม้แต่คุณชายหลัวผู้นั้นเป็ผู้ใดก็ยังมิรู้เลย เ้าว่าข้าสมควรยินยอมให้ตัวเองไปแต่งให้ชายแปลกหน้าที่ยังมิรู้หน้ามิรู้ใจเช่นนี้ได้หรือ? ”
“ฮูหยินหลัว? ” เมื่อพูดถึงแซ่หลัว อวิ๋นซีก็นึกถึงถงจือแห่งหานโจว ใต้เท้าหลัว
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หลิงเซียว(凌霄)แปลว่า ดอกรุ่งอรุณ