สมองของหลินฟู่อินหยุดทำงานไปชั่วขณะ ราวกับโลกหยุดหมุนไปด้วยเช่นกัน นางไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร ดวงตาเบิกกว้าง…
“โอ๊ย… เจ็บนะ!” ท่ามกลางความตกตะลึงไม่รู้ตัว หวงฝู่จินลงมืออย่างรวดเร็วพอๆ กับตอนรุกเข้าโจมตี กัดริมฝีปากนางเสียแรงจนเด็กสาวร้องออกมา
เ้าหวงฝู่จินนี่!
กล้าดีอย่างไรมากัด!
กัดปากนาง! สมองเขาต้องป่วยไปแล้วแน่!
จากนั้นนางจึงสงสัย อันนี้คือจูบใช่หรือไม่? เขาชอบนางหรือ?
ยามนี้นางจับริมฝีปากล่างที่โดนกัดจนเืไหลหยด คิดเยาะหยันในใจ แน่สิ ผู้ชายสูงส่งขนาดนี้น่ะหรือจะมาชอบต้นถั่วงอกอย่างนาง ไม่เป็วิทยาศาสตร์เอาเสียเลย!
แต่เื่ถูกกัดนี่รับไม่ได้
หลินฟู่อินสูดลมหายใจเข้าลึก บอกกับตัวเอง ก็แค่กัดไม่ใช่หรือไง? ไม่ใช่เื่ใหญ่ นางเป็หมอ เื่อาการป่วยก็มีความรู้อยู่
เพราะฉะนั้นลืมเื่นี้ไปเสีย คิดถึงที่ยังมีส่วนแบ่งห้าสิบในร้อยส่วนจากผลกำไรของชาดหิมะหลอม อย่างไรชาดนั่นเพิ่งเข้าเมืองชิงหยางมาได้ไม่กี่วันก็เล่นเอาไฉ่จือไจต้องปิดตัวจากเมืองนี้ นางมั่นใจว่าอีกหน่อยกิจการต้องดีขึ้นแน่ โดยเฉพาะกับชาวเป่ยหรงที่ชอบชาดทาหน้า!
หลินฟู่อินสะกดจิตตัวเองอย่างดุดัน เพื่อก้อนเงินวิบวับๆ ครั้งนี้ทนกับเขาไปก่อน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
หวงฝู่จินกัดริมฝีปากเด็กสาวรุนแรง มองหยดเืสีแดงที่ค่อยๆ หยดลงมาบนปลายนิ้วขาวที่กำลังแตะริมฝีปาก สีแดงและขาวตัดกันเด่นชัดดูงามตา สีหน้าโง่งมของนางทำให้ความโกรธในใจเขาเลือนหาย
กัดริมฝีปากผู้อื่นแล้วกลับไร้ซึ่งร่องรอยความรู้สึกผิด ยิ่งไม่มีวี่แววไม่พอใจ ทว่ากลับเป็ความตื่นเต้นและโล่งใจ
เขารอจะให้หมากตัวน้อยนี้รู้ตัวแสดงธาตุแท้ออกมา แต่เหตุใดเขาจึงเห็นร่องรอยโมโหในแววตานางค่อยๆ จางหายไปแทน?
สีหน้าสงบของนางทำให้เขารู้สึกราวกับตัวเองต่อยลงบนนุ่นนุ่มๆ
แน่นอนว่าหลินฟู่อินไม่รู้ ในตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของเป่ยหรงยังมีพิธีกรรมแสดงความรักอยู่ นั่นคือการกัดริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้เืเข้าปากตัวเอง คือการใช้เืหมั้นหมายเป็สื่อกลาง…
บรรยากาศกระอักกระอ่วนยาวนาน กระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งคู่ต่างหันขวับไปมอง
“แม่นางหลินอยู่หรือไม่เ้าคะ? ข้ามาจากโรงหมอสกุลหลี่ ฮูหยินขอให้ท่านแวะไปที่โรงหมอวันนี้ด้วยมีเื่จะปรึกษาเ้าค่ะ” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งพูดั้แ่นางยังไม่ทันก้าวไปเปิดประตู
หลินฟู่อินถอนใจโล่งอก ที่แท้หลี่ฮูหยินก็ให้คนมาหานางนี่เอง
นางมองหวงฝู่จินที่มองนางกลับ ไม่คิดจะหลบแม้แต่น้อย
เด็กสาวมองเขาด้วยสายตาแข็งทื่อ ไม่มีทางเลือก ได้แต่กล่าวว่า “เ้าค่ะ ข้าจะเปิดประตูให้หมัวมัวก่อน” จากนั้นนางกัดฟันพูดเสียงหงุดหงิดใส่บุรุษที่มือยังคงวางอยู่บนบ่านาง “ยังอีก เอามือออกไป!”
ดูเหมือนหวงฝู่จินจะไม่ได้ยิน
ฝั่งสตรีด้านนอกได้ยินคำตอบของหลินฟู่อินก็รีบร้อนพูด “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ไม่เป็ไร ข้ายังต้องไปตลาดผักซื้ออาหาร ไม่เข้าไปข้างในเ้าค่ะ แม่นางหลินคงยุ่งอยู่”
พูดจบก็จากไป…
หลินฟู่อินผ่อนลมหายใจโล่งอกอีกครั้ง
เมื่อมีคนที่หลี่ฮูหยินสั่งให้มาถ่ายทอดข้อความเข้ามาขัด บรรยากาศจึงมิได้กระอักกระอ่วนเหมือนก่อนหน้านี้อีก
หวงฝู่จินยังรักษาท่าทีใจเย็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลินฟู่อินโมโห ลอบกัดฟันเบาๆ
“ไม่ยักรู้ว่าคุณชายมีนิสัยชอบกัดชาวบ้านเสียด้วย” สุดท้ายก็ยากที่จะเก็บถ้อยคำ เมื่อหวงฝู่จินละมือออกจากบ่า หลินฟู่อินก็แขวะเขา “กัดคนอื่นไม่ใช่นิสัยที่ดีเท่าไรนัก!”
หวงฝู่จินหัวเราะหึ กล่าวเสียงเรียบ “เพราะข้าโกรธเ้า อีกหน่อยขอเพียงเ้าไม่โมโหใส่ข้า ข้าย่อมไม่กัดเ้าอีก”
“หากผู้อื่นโกรธท่าน ท่านก็จะกัดด้วยหรือ?”
“คนอื่นที่โกรธข้าล้วนแต่กลายเป็ศพไปนานแล้ว”
“อ้อ เช่นนั้นต้องขอขอบคุณความใจกว้างของคุณชายเป็อย่างสูงเ้าค่ะ”
“เ้าเป็คู่ค้าของข้า ข้าย่อมไม่้าให้ผู้อื่นนำไปพูดกันว่าเ้าโดนฆ่าเพราะเื่ส่วนแบ่ง”
ทั้งสองยังต่อปากต่อคำกันอีกหลายยก แต่ดูไปแล้วราวกับเด็กๆ เถียงกัน สิ่งที่พูดออกมาไม่มีเื่ไหนเป็ประโยชน์สักคำ ไม่มีใครกล่าวถึงเื่น่าอายก่อนหน้า คล้ายกับพร้อมใจกันไม่พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
แต่พอหลินฟู่อินลองคิดย้อนดู ตอนที่เถียงกันเหมือนว่าหวงฝู่จินจะไม่ได้พูดเอาเปรียบนางแม้แต่น้อย
“คุณชาย ประเดี๋ยวหากข้าว่างจะลองตรวจท่านดีๆ อีกครั้ง ดูเหมือนตรงนี้ท่านจะมีปัญหา” เห็นว่าเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้สักที หลินฟู่อินจึงพูดด้วยความโมโห ชี้ไปที่หัวของชายหนุ่มด้วยท่าทางเสียดสี
ดวงตาหวงฝู่จินมืดครึ้มอีกครั้ง
“อ้อ ใช่ ข้าจะบอกท่านพอดี” หลินฟู่อินมีประสบการณ์แล้ว รู้ว่าเวลาอีกฝ่ายสายตาครึ้มลงเช่นนี้คือกำลังจะโมโห นางไม่อยากโดนกัดซ้ำจึงได้รีบเปลี่ยนไปคุยเื่กิจการทันที “ชาดที่ข้าได้มานี้มาจากแม่นางฉินที่เชี่ยวชาญด้านการขายชาดของไฉ่จือไจ ข้ากำลังลองดูว่าสินค้าของไฉ่จือไจใช้ดีเพียงใด แล้วก็ตั้งใจว่าจะขอให้ท่านไปคุยกับแม่นางเยว่ให้มอบสูตรผลิตของไฉ่จือไจให้ที ข้าจะได้นำมาเปรียบเทียบกันได้”
ประโยคนี้เป็การบอกเขาทางอ้อมว่าชาดเหล่านี้นางได้มาจากที่ใด ซึ่งเป็สิ่งที่อยากทำอยู่แล้ว
“แม่นางฉิน?” หวงฝู่จินมองหน้าเด็กสาว เป็สตรี…
นี่เขาเพิ่งจะกินน้ำส้มสายชูเพราะสตรีผู้หนึ่ง?
คอของชายหนุ่มแข็งทื่อและหดลงไปเล็กน้อย
เห็นสีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก หลินฟู่อินจึงคิดว่าเขาคงไม่อยากจะแบ่งปันกรรมวิธีการผลิตชาดที่คนของตัวเองเชี่ยวชาญ ถึงอย่างไรแม่นางเยว่ก็เป็คนของเขา ทุกสิ่งที่แม่นางเยว่รู้ย่อมเป็ทรัพย์สินของชายหนุ่ม จะไม่อยากให้นางรู้ก็ไม่แปลก
“อ้อ ถ้าไม่อยากแบ่งก็ช่างเถอะ” หลินฟู่อินไม่ฝืน อย่างไรนางก็ไม่คิดจะทำการค้าด้านเวชสำอางกับผู้อื่นอีก ในเมื่อหวงฝู่จินไม่อยากบอก แสดงว่าชายหนุ่มคงคิดจะเข้าสู่ธุรกิจนี้ในภายหลังกระมัง
“พรุ่งนี้เหล่าลิ่วจะเอามาให้เ้า” หวงฝู่จินตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น รับปากอีกครั้งอย่างง่ายดาย
หลินฟู่อินสับสนอยู่บ้าง แต่จากนั้นนางก็พูดด้วยน้ำเสียงเ้าเล่ห์เ้ากล “ถ้าอย่างนั้นข้าบอกไว้ก่อน ต่อให้ข้าอ่านสูตรลับของไฉ่จือไจแล้ว ข้าก็ไม่ให้ผลประโยชน์ท่านหรอกนะ!”
หวงฝู่จินมองหน้านาง เ้าเด็กขี้งกนี่!
“ท่านกัดข้า” นางกะพริบตา ท่าทียังคล้ายหงุดหงิด หวงฝู่จินจึงยกสองมือขึ้นยอมแพ้ “ได้ๆ ตามใจเ้าเถอะ”
ดีจริงๆ หลินฟู่อินลืมความเ็ปบนริมฝีปาก รู้สึกว่าโดนกัดครั้งนี้ไม่เสียเปล่า อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้อีกหน่อยหวงฝู่จินเข้ามาพัวพันกับกิจการเวชสำอางในอนาคต
“ข้าหิวแล้ว ทำกับข้าวเถอะ”
“อืม รอก่อน ข้ามีเื่จะพูด” หลินฟู่อินว่า
“ว่ามา”
“อีกหน่อยข้าอยากให้แม่นางฉินคอยช่วยข้า แต่ตอนนี้นางคงขายของให้ไฉ่จือไจไม่ได้แล้ว ข้าจึงบอกให้นางไปรับชาดของร้านอื่นๆ มา ลองรับชาดหิมะหลอมมาขายดู นางเห็นด้วย ข้าจึง…” หลินฟู่อินเล่าเื่ที่ตกลงกับแม่นางฉินให้อีกฝ่ายฟัง จากนั้นจึงสรุปจบ “ท่านจะตกลงลดราคาชาดหิมะหลอมลงอีกหนึ่งอีแปะหรือไม่?”
“ได้” หวงฝู่จินไม่ได้ใส่ใจ
จะอวดว่าตอนนี้ชาดหิมะหลอมเผยแพร่ไปทั่วแดนใต้ของเป่ยหรงแล้วก็ว่าได้ เขาเพิ่งสั่งให้ตวนมู่เฉิงตั้งโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในเมืองหลักของเป่ยหรงหลายเมืองเพื่อความรวดเร็วในการขยายชาดหิมะหลอมไปยังตอนเหนือ หรือก็คือทั่วแคว้นเป่ยหรง
ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจจำนวนเงินเล็กน้อยแค่นี้สักนิด ยิ่งเด็กสาวเป็ฝ่ายเข้ามาบอกเองเช่นนี้ด้วยแล้ว
“เมื่อตวนมู่เฉิงกลับมาข้าจะบอกเขาให้” น้ำเสียงของหวงฝู่จินยิ่งอ่อนโยน ทำให้หลินฟู่อินสับสนเข้าไปอีกว่าตกลงเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“ข้ารับปากเ้าแล้ว เหตุใดยังไม่ไปทำกับข้าวอีกเล่า?”
หลินฟู่อินไม่มีทางเลือก ได้แต่ต้องเข้าครัวเป็แม่ครัวน้อย พอทำกับข้าวเสร็จนางก็ไปล้างหน้า ก่อนจะหยิบเอายาแก้บวมกับยาทาแผลออกมาแล้วค่อยๆ ทาลงบนริมฝีปากล่างด้วยความระมัดระวังอยู่หน้ากระจกทองเหลือง
ยาทาแก้บวมกับยาทาแผลที่นางทำเองนี้ใช้ง่ายมาก พอทาถูแล้วนวดๆ อยู่ครึ่งนาทีก็เกือบจะหายแล้ว หลงเหลือไว้เพียงรอยกัดที่บ่งบอกว่าเคยเกิดเื่อะไรขึ้น
หลินฟู่อินหยิบกรรไกรอันเล็กออกมาเล็มหนังปากที่ถลอกออก จากนั้นค่อยๆ ทาชาดทาปากที่ได้จากแม่นางฉิน เท่านี้ก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว
พอพวกเหล่าลิ่วกับตวนมู่เฉิงกลับมา ทั้งสองไม่กล้ามองหน้าผู้เป็นายแม้แต่แวบเดียว ได้แต่มองหลินฟู่อินเท่านั้น…
เห็นร่องรอยอยากรู้อยากเห็นในแววตาของคนทั้งสอง หลินฟู่อินก็รู้แล้วว่าสองคนนี้คิดอะไรกันอยู่ ในใจอดหงุดหงิดไม่ได้ เ้านายของพวกเ้าก่อเื่เดือดร้อนให้ผู้อื่น คนยังมีแก่ใจมารับชมงิ้วอยู่อีก อยากจะเอาจานข้าวขยี้หน้าจริงๆ!
นางเลิกคิ้วใส่หวงฝู่จินที่ทำหน้านิ่ง หลินฟู่อินรู้สึกยากจะทานทนกับอาหารมื้อนี้ขึ้นมา จึงได้รีบๆ เคี้ยวข้าว คีบถั่วขึ้นมากินนิดเดียวก่อนจะวางทั้งถ้วยทั้งตะเกียบลง
นางไม่อยากคุยกับคนพวกนี้แล้ว จึงได้เข้าห้องตัวเองไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินไปยังโรงหมอของสกุลหลี่
“นายท่าน คุณหนูเป็อะไรไปขอรับ สีหน้าดูเคร่งเครียดไม่น้อย” เหล่าลิ่วอดใจไม่ได้ จึงได้เอ่ยปากถามผู้เป็นาย ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยแล้วถามต่อ “ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”
ถึงตวนมู่เฉิงจะมองว่าเ้าโง่เหล่าลิ่ววอนตายอีกแล้ว ทว่าตัวเขากลับไม่อาจข่มไฟแห่งความอยากรู้ที่ลุกโชนในใจลงได้ จึงหยุดตะเกียบแล้วเงยหน้ามองผู้เป็นาย
เขาเฝ้าดูนายท่านเติบโตขึ้นมา แต่เื่เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้จะเฉลียวฉลาดเพียงใดก็ไม่อาจคาดเดาหาเบาะแสสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนายท่านกับคุณหนูหลินได้
เห็นผู้เป็นายนิ่งสงบใจเย็นยิ่งนัก และแม่นางหลินดูอารมณ์ไม่ดีนัก ดูไปแล้วไม่ค่อยแปลก อย่างมากที่สุดก็คล้ายกับทั้งสองคนทะเลาะกัน
แต่หากเป็แค่การโต้เถียงกันเฉยๆ ก็ดูธรรมดาเกินกว่าจะมีอะไรให้สนใจ
“เ้ายุ่งหรือไม่?” หวงฝู่จินหันไปมองเหล่าลิ่ว “จากนี้ไปเ้าติดตามคุณหนูหลิน”
“หา?” เหล่าลิ่วชะงัก ะโพรวดจากเก้าอี้ลงไปคุกเข่าบนพื้นในพริบตา ตะกายไปจับขาหวงฝู่จินเอาไว้ “นายท่าน เหล่าลิ่วจะไม่พูดมากแล้วขอรับ เมตตาผู้น้อยด้วยเถอะขอรับ!”
“เ้าไม่อยากปกป้องคุณหนูหลิน?” สีหน้าหวงฝู่จินยังไม่เปลี่ยน แต่น้ำเสียงกลับเย็นเยียบแล้ว
ตวนมู่เฉิงตัวแข็งยามััได้ถึงพายุที่กำลังก่อตัวในน้ำเสียง เขารีบลงไปคุกเข่าด้วยทันที “นายท่าน เหล่าลิ่วตัวตะกละนี่จะไม่อยากปกป้องคุณหนูหลินได้อย่างไรขอรับ? คนเพียงกลัวนายท่านจะไม่้าแล้วเท่านั้น”
เหล่าลิ่วกลัวเื่นี้จริงๆ พอเห็นหัวหน้าถึงกับช่วยเขาก็ดีอกดีใจพยักหน้าหงึกหงักให้หวงฝู่จิน
น้ำเสียงของชายหนุ่มจึงอ่อนลง กล่าวเสียงเบา “ช่างเถอะ เอาไว้คุยกันทีหลัง พวกเ้าลุกขึ้น”
ทั้งสองคนจึงได้กล้าลุกขึ้นตามคำสั่ง ต่างฝ่ายต่างหันหน้ามองกันอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าผู้เป็นายจะพูดอะไรอีก
พอหลินฟู่อินมาถึงโรงหมอสกุลหลี่ ลูกศิษย์คนหนึ่งก็วิ่งไปแจ้งหลี่อี้ ชายหนุ่มรีบวางสมุนไพรที่กำลังชั่งน้ำหนักอยู่ลงทันที จากนั้นก็ดึงตัวศิษย์คนนั้นเอาไว้ให้ช่วยชั่งน้ำหนักสมุนไพรแทนเขาไปก่อน
ชายหนุ่มเดินออกมา พอถึงตัวหลินฟู่อินก็พานางไปหลังร้าน มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครจึงถามเสียงต่ำ “ฟู่อินยัง้าไขมันสัตว์อยู่หรือไม่? แม่นางฉินเพิ่งให้คนส่งจดหมายมาถามข้าเื่นี้”
“่นี้ยังไม่ต้องใช้เ้าค่ะ พี่หลี่อี้บอกแม่นางฉินว่าประเดี๋ยว้าแล้วจะแจ้งอีกครั้ง” หลินฟู่อินคิดๆ แล้วจึงตอบ
“ได้ เช่นนั้นข้ากลับไปจะให้คนส่งจดหมายให้” หลี่อี้พยักหน้า จากนั้นมองหลินฟู่อินแล้วเอ่ยถาม “ได้ยินว่า่นี้เ้ายุ่งมาก เพราะแบบนี้จึงไม่ต้องใช้ไขมันสัตว์หรือ?”
“ข้าใช้เ้าค่ะ ประเดี๋ยวได้เื่ได้ราวดีๆ แล้วจะบอกท่าน” หลินฟู่อินไม่อยากให้หลี่อี้รู้ว่านางใช้ไขมันสัตว์ในการทำชาดหิมะหลอม ทั้งยังไม่อยากเปิดเผยเื่ที่ตัวเองร่วมมือกับหวงฝู่จินจึงต้องสร้างเื่ปกปิดไปก่อน
หลี่อี้ไม่ได้สงสัยอะไร เห็นนางตอบเช่นนี้ก็พยักหน้า
จากนั้นจึงยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วเกลี้ยกล่อม “ตอนนี้เ้าก็เป็ท่านหมออัจฉริยะแล้วยังจะมีเวลามาหาของพวกนี้อยู่อีก เหตุใดไม่หยุดเสียเล่า?”
“ตอนนี้ยังไม่มีเวลา ประเดี๋ยวค่อยคิดทีหลังก็ได้นี่เ้าคะ” หลินฟู่อินหัวเราะพลางส่ายหน้า “อย่าล้อข้าเล่นเลยเ้าค่ะ หมออัจฉริยะอะไรกัน?”
หลี่อี้เสียงเข้มเล็กน้อย “เหตุใดจะไม่ใช่เล่า? ญาติผู้หญิงของข้าที่ได้เ้ารักษาใน่นี้มิใช่พากันบอกว่าเทียบยาของเ้ารักษาได้ผลหรอกหรือ? หากรักษาได้ทุกโรคทุกครั้งจะไม่เรียกว่าหมออัจฉริยะได้อย่างไร?”
“เกินจริงไปแล้วเ้าค่ะ อีกหน่อยพี่หลี่อี้อย่าพูดเช่นนี้อีกเลยนะเ้าคะ” หลินฟู่อินยิ้ม เห็นท่าทีไม่เห็นด้วยในสายตาหลี่อี้ นางก็พูดด้วยท่าทีจริงจัง “อันที่จริงยาพวกนั้นไม่ใช่ยาจริงที่ใช้รักษาโรคเ้าค่ะ แต่ก็ได้ผลอยู่บ้าง ทว่าคำพูดผู้คนยิ่งพูดไปยิ่งกลายเป็เื่ลึกลับ พวกเรารู้เอาไว้ แต่คงรับไว้ไม่ได้ อย่างไรเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า”
“อืม ฮูหยินพูดถูกจริงๆ เ้าไม่เหมือนคนได้สมญาหมออัจฉริยะแม้แต่น้อย” ฟังคำของหลินฟู่อิน หลี่อี้ก็กล่าวชมว่านางถ่อมตน จากนั้นจึงส่ายหน้า “โอ ใช่แล้ว ฮูหยินยังรอเ้าอยู่ ประเดี๋ยวข้าจะพาไปพบนาง”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ข้ารู้ทางอยู่ พี่หลี่อี้ดูยุ่งๆ พี่ไปก่อนเถอะ” หลินฟู่อินยิ้ม
หลี่อี้จึงได้กลับไปหน้าร้านด้วยท่าทีไม่เต็มใจนัก
สีหน้าหลินฟู่อินครึ้มลง
สมญาหมออัจฉริยะนี้ไม่ใช่เื่ดีอะไร แต่เป็เหมือนใบดาบที่จ่อคอต่างหาก
ข่าวลือจากปากคนห้ามยาก โชคดีที่นางอยู่เพียงแถบชายแดนต้าเว่ย ไม่ใช่ในเมืองหลวงที่เป็ศูนย์กลางอำนาจ แม้แถบนี้จะเป็ย่านการค้าระหว่างสองแคว้นทว่าคนใหญ่คนโตส่วนมากมีแต่พวกพ่อค้าที่ทำมาค้าขายจึงดีกว่าเมืองหลวงเล็กน้อย สามารถก้าวไปทีละก้าวได้
พอเดินมาจนถึงเรือนของหลี่ฮูหยิน คนก็พาลูกสะใภ้มารอต้อนรับนางที่ประตูวงจันทร์อยู่แล้ว
หลินฟู่อินเห็นคนมารับด้วยตัวเองเช่นนี้ก็รีบก้าวไปทักทาย
“หลี่ฮูหยิน ไม่ได้เจอกันหลายวัน เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?” หลินฟู่อินมองสีหน้าอีกฝ่ายแล้วถามด้วยท่าทีสนิทสนม
หลี่ฮูหยินเป็คนอารมณ์ดี คล้องแขนหลินฟู่อินเข้าเรือนไปพูดไป “ขอบคุณเ้าจริงๆ ั้แ่ดื่มยาที่เ้าจัดให้ ไม่เพียงร่างกายดีขึ้น ทว่าตัวข้าก็กระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดิม รู้สึกราวกับเด็กลงอย่างไรอย่างนั้น”
หลินฟู่อินเห็นว่าหลี่ฮูหยินดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าเปล่งประกายราวกับเป็คนละคน
การรักษาโรคทางนรีเวชให้สตรีผู้หนึ่ง สามารถเปลี่ยนจิตใจคนได้ ทำให้เหมือนได้ชีวิตใหม่ นี่คือสิ่งที่ทำให้หลินฟู่อินทอดถอนใจ ตัดสินใจแล้วว่าอีกหน่อยป้ายการค้าของตัวเองต้องมาแนวนี้แหละ เชี่ยวชาญด้านรักษาโรคสตรีกับโรคอื่นๆ ที่มีโอกาสได้พบ
เมื่อก่อนนางคิดอยากรักษาส่วนใหญ่เป็เพราะความเห็นแก่ตัว อยากจะใช้เส้นสายสร้างอนาคต แต่ตอนนี้นางได้รักษาหลี่ฮูหยิน วังฮูหยินและได้ยินเื่ราวในสกุลเฝิง จิตใจจึงได้เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อก่อนรักษาคนนับเป็ความเมตตา ตอนนี้นางรู้สึกว่าความเมตตาของนางเปลี่ยนไปในเชิงคุณภาพ
“ฟู่อิน ข้ามีสองเื่จะบอกเ้า” หลี่ฮูหยินไม่รู้ว่าหลินฟู่อินคิดอะไรอยู่ เห็นมุมปากยกขึ้นน้อยๆ กับรอยยิ้มบนใบหน้าก็คิดว่าหลินฟู่อินยินดีไปกับนาง นางจึงยิ่งดีอกดีใจ
หลินฟู่อินมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง รอให้อีกฝ่ายกล่าว
“มาเถอะ ดื่มชาก่อน นี่เป็ชาิเฉียนหลงจิ่ง [1] อยากลองดื่มดูสักหน่อยหรือไม่?” หลี่ฮูหยินกล่าว ท่าทางราวกับกำลังเสนอสมบัติล้ำค่า
เื่ชาพวกนี้หลินฟู่อินมีความรู้อยู่บ้างเล็กน้อย ผู้อำนวยการของแผนกสูติศาสตร์และนรีเวชที่นางอยู่ในชาติก่อนรักการดื่มชา ชาหลงจิ่งนี้ว่ากันว่าเป็ตัวอันดับต้นๆ ของชา
หลินฟู่อินรีบมองชาในกากระเบื้องเคลือบด้วยความใส่ใจเพื่อรักษาหน้าอีกฝ่าย ใบชาแผ่ออกดูอ่อนโยนในน้ำร้อน สีเขียวสวยงามยิ่งนัก นางพยักหน้า
เห็นเด็กสาวพยักหน้าหลี่ฮูหยินก็อารมณ์ดียิ่ง นั่งมองอีกฝ่ายค่อยๆ จิบชาด้วยความใส่ใจ
“กลิ่นหอมยาวนานของใบชา บางเบา นุ่มละมุนรสชาติสง่างาม ชาดีเ้าค่ะ!” หลินฟู่อินกล่าว เสแสร้งทำท่าทางตามพวกคุณชายทั้งหลายในยุคโบราณ
“โอ ฟู่อินเป็ผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง” หลี่ฮูหยินถูมือไปมา แหงนหน้าหัวเราะแล้วชี้ใบชาในถ้วยด้วยท่าทีตื่นเต้น “ฟู่อินรู้หรือไม่? ิเฉียนหลงจิ่งนี้ นายท่านผู้เฒ่าที่บ้านข้ามอบให้”
ก่อนหน้านี้เวลาพูดถึงท่านปู่หรือนายท่าน คนมักใช้คำว่านายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ แต่ตอนนี้กลับใช้คำว่านายท่านผู้เฒ่าบ้านข้า ทำให้หลินฟู่อินััได้ว่าต้องมีอะไรแน่นอน
หลี่ฮูหยินปิดปากหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาทอประกายยิ้มแย้ม จากนั้นก็ชี้ตัวเอง “นายท่านผู้เฒ่าตั้งใจตกรางวัลให้ข้า เร่งร้อนส่งมาเชียวละ”
หลินฟู่อินเข้าใจแล้ว เื่ก็คือหลี่ฮูหยินเป็ลูกสะใภ้ที่โดนรังเกียจมาโดยตลอด ยามนี้ได้รับการยอมรับจากผู้เฒ่าสกุลหลี่แล้ว
“ยินดีกับฮูหยินด้วยเ้าค่ะ!” หลินฟู่อินลุกขึ้นยกสองมือประสานแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
หลี่ฮูหยินยิ่งอารมณ์ดี โบกมือไปมา “รีบนั่งลงเถอะ เ้ากับข้าไม่ต้องสุภาพกันหรอก!” ชะงักไปครู่หนึ่งก็ยิ้ม “พูดถึงเื่ตกรางวัลเป็ใบชานี้แล้วก็ต้องขอบคุณฟู่อินอีกแล้ว! จะว่าไป เ้านับเป็ดาวนำโชคของบ้านสกุลหลี่จริงๆ”
“ฮูหยินชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ” หลินฟู่อินยิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่ผิดสักนิด!” หลี่ฮูหยินยืนกราน “ยังจำวันที่เ้าออกความเห็นให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
----------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ิเฉียนหลงจิ่ง (明前龙井) หมายถึง ชาหลงจิ่งที่เด็ดและคั่วก่อนเทศกาลชิงิ (เชงเม้ง/เทศกาลไหว้บรรพบุรุษ) ชาหลงจิ่งที่เก็บและคั่วใน่นี้จะมีสีเขียวและใส ใบเท่ากันส่องประกาย เมื่อต้มแล้วต้นอ่อนและใบจะเหยียดออกเป็สีเขียวสดใสงดงาม รสชาติหวานอร่อย เข้าปากแล้วนุ่มนวล หอม ทำให้รู้สึกสดชื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้