ลู่ชิงซานไม่ได้ให้ลิงขาวขโมยกระเป๋าตังค์เป็ครั้งแรกจริงๆ เพราะอย่างที่เขาว่า แม้ปัจจุบันจะมีคนรวยอยู่ไม่น้อย แต่คนส่วนมากกลับยิ่งมีเงินก็ยิ่งขี้เหนียว ดูการแสดงลิงจบแล้ว ขนาดเงินหยวนสักเหรียญก็ยังไม่อยากให้ ส่วนลู่ชิงซานก็เป็เพียงนักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น ที่บ้านไม่มีรายได้อื่น จึงจำเป็ต้องลงมือกับพวกคนรวยที่ขี้เหนียวพวกนั้น
แต่ลู่ชิงซานก็ยังเป็คนที่มีคุณธรรมอยู่บ้าง เขาไม่ขโมยคนจน ไม่ขโมยคนที่ดูการแสดงจบแล้ว ‘ให้เงิน’ ดังนั้นพวกคนที่ให้เงินแล้วจะได้ยันต์ลิงไป เ้าลิงขาวจะไม่ขโมยคนที่มียันต์ลิงแน่นอน
ความจริงแล้ว นี่เป็มารยาทที่นักแสดงเปิดหมวกในยุทธภพสืบทอดกันมาจนเป็ธรรมเนียม สมัยก่อนเมื่อถึงเทศกาลก็จะมีนักแสดงเปิดหมวกที่ไปทำการแสดงตามหมู่บ้านต่างๆ ในชนบท ไปทำการแสดงเพื่อเป็สิริมงคลให้แต่ละหมู่บ้าน หลังจากที่แสดงเสร็จ นักแสดงเปิดหมวกพวกนี้ก็จะให้ยันต์ลิงกับคนในหมู่บ้าน เพื่อเสริมสิริมงคล อยู่เย็นเป็สุข และความเจริญรุ่งเรือง แน่นอนว่า ยันต์ลิงพวกนี้พวกเขาไม่ได้ ‘ให้’ ฟรีๆ มีเพียงบ้านที่ให้เงินเท่านั้นที่จะได้รับยันต์ลิง จากนั้นคนพวกนี้จะเอายันต์ลิงติดไว้หน้าบ้าน ยันต์ลิงจะเสริมสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองได้จริงรึเปล่านั้น เรายังไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยจะไม่มีของหายแน่นอน เพราะบ้านไหนที่ไม่ได้ติดยันต์ลิง มักจะมีเงินทอง หรือข้าวของเครื่องใช้หายเป็ประจำ
ฉินหลางรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เป็เพราะนักแสดงเปิดหมวกพวกนั้นเล่นตุกติกนิดหน่อย เพื่อลงโทษคนที่ดูการแสดงแล้วแต่ไม่ยอมให้เงินพวกนั้น ถ้าหากไม่ลงโทษละก็ ต่อไปจะมีใครให้เงินนักแสดงเปิดหมวกพวกนี้อีก
ทั้งคู่เดินกลับมาถึงหน้าท่ารถอย่างรวดเร็ว ลู่ชิงซานชี้ไปยังห้องประชาสัมพันธ์ของท่ารถ แล้วส่งสัญญาณให้เ้าลิงขาว เมื่อเ้าลิงขาวเห็นแล้ว ก็รีบเอากระเป๋าตังค์ปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างรวดเร็ว แล้วเข้าไปใกล้ห้องประชาสัมพันธ์เรื่อยๆ เพื่อเตรียมโยนกระเป๋าตังค์เข้าไปในห้องประชาสัมพันธ์ แบบนี้คนที่กระเป๋าตังค์หาย จะได้ไปรับคืนที่ห้องประชาสัมพันธ์ได้
“เ้าหนู! แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ—”
ในขณะที่เ้าลิงขาวกำลังปีนขึ้นไปบนหลังคา ‘พี่แช่น้ำร้อน’ ที่ทำกระเป๋าตังค์ตกก็มาถึง และยังจ้องมาที่ลู่ชิงซานตาเขม็ง พุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจว่าลู่ชิงซานเป็คนเอากระเป๋าตังค์เขาไป “ไอ้เด็กเวร! แกกล้ามาทำการแสดงลิงบนหัวฉันเหรอ! แม่ม แกอยากตายใช่ไหม? แกรู้ไหมว่าพ่อฉันเป็ใคร?”
เมื่อเห็นลู่ชิงซานไม่สะทกสะท้าน ‘พี่แช่น้ำร้อน’ ก็ยื่นมือไปขยุ้มคอเสื้อของลู่ชิงซาน พร้อมกับพูดอย่างโอหังว่า “บิดาจะส่งเด็กเวรอย่างแกไปสถานีตำรวจ! เชี่ย!”
ปัง!
ลู่ชิงซานตบฝ่ามือของ ‘พี่แช่น้ำร้อน’ แรงๆ เพื่อปัดมือเขาออก เจ็บราวกับถูกงูกัดจนเ้าหมอนั่นต้องรีบดึงมือกลับ
‘หมัดทะลุฝ่ามือ!’ ฉินหลางแอบชื่นชมในใจ ทันทีที่ลงมือก็ดูออกแล้วว่าเป็มืออาชีพรึเปล่า ลู่ชิงซานลงมือรวดเร็วราวสายฟ้า แรงราวกับคิงคอง นี่เป็หมัดทะลุฝ่ามือที่ถูกต้อง และที่สำคัญดูเหมือนลู่ชิงซานจะฝึกจนคล่องแคล่วมากแล้วด้วย ‘พี่แช่น้ำร้อน’ คนนี้ลงมือกับลู่ชิงซาน ไม่ต่างอะไรกับการหาเื่เจ็บตัว!
เป็อย่างที่คิดไว้ หลังจาก ‘พี่แช่น้ำร้อน’ ถูกตบฝ่ามือไปหนึ่งทีแล้ว ก็เหิมเกริมน้อยลงทันที แต่ในปากยังคงโอหังอยู่ “แม่ม ไอ้เด็กเวร แกรู้ไหมว่าบิดาเป็ใคร? บิดาเป็คนของแก๊งชิงหวน แม่ม แกกล้าลงมือกับฉัน ระวังไว้เดี๋ยวฉันจะฆ่าคนทั้งบ้านแกจนหมด!”
ในแววตาลู่ชิงซานแผ่รังสีอำมหิตมากกว่าเดิม จ้อง ‘พี่แช่น้ำอุ่น’ ตาเขม็งพร้อมกับพูดว่า “แน่จริง แกลองพูดอีกรอบ!”
‘พี่แช่น้ำร้อน’ ถูกสายตาอำมหิตของลู่ชิงซานสะกดเอาไว้ ไม่กล้าพูดโอหังอีก ในเวลานี้เอง โทรศัพท์ของ ‘พี่แช่น้ำอุ่น’ ก็ดังขึ้น สายนี้น่าจะโทรมาจากประชาสัมพันธ์ของท่ารถ เพื่อแจ้งให้เขาทราบว่ากระเป๋าตังค์ของเขาตกอยู่ในท่ารถ มีคนเก็บได้แล้วเอาไปไว้ที่ห้องประชาสัมพันธ์ เมื่อ ‘พี่แช่น้ำร้อน’ ได้ยินว่าเจอกระเป๋าตังค์ของตนเองแล้ว ก็พูดอย่างเต็มปากเต็มคำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว แต่ว่าเขาไม่มีทางขอโทษลู่ชิงซานแน่นอน จึงสบถอย่างเย็นเยือกก่อนจะรีบพุ่งไปที่ห้องประชาสัมพันธ์ของท่ารถ
“เชี่ย! แล้วเงินในกระเป๋าของฉันล่ะ! พวกแกเอาเงินในกระเป๋าตังค์บิดาไปแล้ว…ข้างในมีเงินอยู่ตั้งสองพันกว่าหยวน! ขนส่งจะต้องชดใช้ให้ฉัน!”
เพียงครู่เดียว เสียงตะคอกอย่างโกรธเคืองของพี่แช่น้ำร้อนก็ดังขึ้น
ลู่ชิงซานหันมายิ้มเจื่อนๆ แล้วบอกฉินหลางว่า “ในกระเป๋าตังค์เ้าหมอนั่นมีเงินแค่ 19-20 หยวนเท่านั้น”
ฉินหลางหัวเราะเสียงดัง พูดในใจ ‘พี่แช่น้ำร้อน’ นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย
ตอนนี้เ้าลิงขาวกลับมาอยู่บนไหล่ของลู่ชิงซานแล้ว ทั้งคู่จึงรีบไปที่บ้านของลู่ชิงซานทันที
บ้านของลู่ชิงซานอยู่ริมแม่น้ำที่ติดกับอำเภอหนานผิง ที่นี่มีบ้านหลังเล็กๆ เพียงไม่กี่หลัง รอบข้างเต็มไปด้วยโพรงหญ้า โดยเฉพาะหญ้าแพรกจะเขียวขจีเป็พิเศษ หน้าบ้านมีแปลงปลูกผักเล็กที่อยู่ 2-3 แปรง ถัดออกไปหน่อยก็เป็เขื่อนและแม่น้ำแล้ว
ฉินหลางรู้ว่าที่นี่น่าจะเป็บ้านของลู่ชิงซาน เขามองที่แปลงผักเล็กๆ หน้าบ้าน ผักที่ปลูกเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก ดูก็รู้ทันทีว่าดูดซึมสารอาหารไม่ได้
“ฉันเป็คนปลูก” ลู่ชิงซานพูดอย่างเขินอาย
“ฉันก็คิดว่างั้นแหละ” ฉินหลางหัวเราะคิกคัก “ที่นี่เป็บ้านของนายใช่ไหม?”
ลู่ชิงซานพยักหน้า “ในบ้านมีแค่คุณปู่กับฉัน คุณปู่ชื่อโหวกุยหยุน”
“ท่านคือ?”
“ฉันเป็เด็กกำพร้า คุณปู่รับเลี้ยงฉันไว้ั้แ่เด็ก” ลู่ชิงซานอธิบาย
“ชิงซาน ที่บ้านมีแขกมาเหรอ?” ในเวลานี้เอง ข้างในบ้านมีเสียงที่ทรงพลังดังขึ้น “เธอเป็เพื่อนที่โรงเรียนชิงซานเหรอ? ไม่ใช่สิ เวลานี้ยังไม่เลิกเรียนนี่นา!”
‘เยี่ยมเลย!’ ฉินหลางแอบชื่นชมในใจ เพราะแม้ว่าเสียงที่ดังออกมานั้นจะดูแก่ชรามาก แต่กลับเต็มไปด้วยพลัง—ต้องเป็ยอดฝีมือแน่นอน!
แต่พื้นฐานวรยุทธ์ของลู่ชิงซานไม่เลว เห็นได้ชัดว่าต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะ ที่แท้ยอดฝีมือคนนั้นก็คือคุณปู่ของเขานั่นเอง ฟังเพียงเสียงของชายชรา ก็รู้แล้วว่าวรยุทธ์ของชายชราไปถึงขั้นกำลังภายในแล้ว ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!
ขั้นกำลังภายใน หมายถึง ‘กำลังภายใน’ บางคนก็เรียกว่า ‘กำลังลึกลับ’ เมื่อวรยุทธ์ก้าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าก้าวไปยังอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้ว ทว่าจอมยุทธ์ที่ฝึกมาถึงขั้นกำลังภายในแล้ว ล้วนคุ้นเคยกับวิธีการดูแลสุขภาพ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเจ็บป่วยง่ายๆ ดังนั้นฉินหลางจึงเดินเข้าไปในบ้านของลู่ชิงซานด้วยความสงสัย
ในบ้านลู่ชิงซานมีข้าวของเครื่องใช้เพียงไม่กี่ชิ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเดียวในบ้านก็คือทีวีขาวดำขนาด 14 นิ้ว นี่เป็สิ่งเดียวที่โหวกุยหยุนจะใช้ฆ่าเวลาได้ เพราะว่าตอนนี้โหวกุยหยุนนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง มีมือเพียงข้างเดียวที่ยังขยับได้บ้าง นอกจากนั้นเขาก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนส่วนอื่นของร่างกายได้อีก ถึงแม้ผมของชายชราจะเป็สีขาวไปหมดแล้ว แต่ชายชรายังคงเต็มไปด้วยพลังชีวิต โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ยังคงให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอยู่
“เอ๋ เ้าหนูเธอเป็ชาวยุทธ์เหรอ?”
โหวกุยหยุนหันหลังให้ฉินหลาง แต่กลับฟังเพียงเสียงเดินก็รู้แล้วว่าฉินหลางมีวรยุทธ์
“คุณปู่หูดีมากเลยครับ!” ฉินหลางกล่าวชม
ในตอนนั้นเองลู่ชิงซานหันเก้าอี้ของชายชรากลับไปหาฉินหลาง ทำให้ชายชรามองเห็นใบหน้าฉินหลางได้ชัดเจน สายตาของชายชราหยุดอยู่ที่ตัวของฉินหลาง ในดวงตาเป็ประกายแวววาว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความใ “เอ๋! เป็ท่านั่งม้าที่ยอดเยี่ยมมาก! หยั่งรากลึกลงไปในดิน มั่นคงดั่งขุนเขา นี่เป็วรยุทธ์ของสำนักหรือลัทธิไหนเหรอ?”
“ขอโทษครับคุณปู่ ผมรับปากอาจารย์ไว้ว่าจะไม่บอกใครครับ แต่ว่า ‘ต้าเซิ้งจู’ ของคุณปู่ก็ยอดเยี่ยมมากเหมือนกันครับ ไม่อย่างนั้นท่ายืนของลู่ชิงซานก็คงไม่มั่นคงขนาดนี้” ฉินหลางกล่าวยอชายชรา เขาเคยได้ยินตาเฒ่าพิษพูดว่า คนที่จะฝึกหมัดลิงนั้นล้วนต้องฝึกซ้อมต้าเซิ่งจู้มาก่อนทั้งนั้น เป็พื้นฐานที่จำเป็ต้องฝึกซ้อม
“ตาถึง!” โหวกุยหยุนหัวเราะเสียงดัง จากนั้นสีหน้าเขาก็สลดทันที “น่าเสียดาย ตอนนี้อายุมากแล้ว มือเท้าใช้งานไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว ฝึกวรยุทธ์มาครึ่งชีวิต สุดท้ายแล้วกลับไม่ได้ใช้ประโยชน์”
“ใครบอกว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์ คุณปู่รักษาตัวจนหายแล้ว วรยุทธ์ก็กลับมามีประโยชน์แล้ว” ฉินหลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“นั่นสิครับ! ฉินหลางมาที่นี่ เพื่อรักษาให้ปู่หายนะครับ!” ลู่ชิงซานรีบพูดเสริม
“รักษา?” โหวกุยหยุนก็มีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง เขาเห็นฉินหลางอายุยังน้อย จึงไม่ค่อยจะเชื่อเขานัก
“พูดว่ารักษาโรค แต่ความจริงแล้วคือรักษาอาการาเ็ ถูกไหมครับ?” ฉินหลางพูดด้วยรอยยิ้ม
รักษาอาการาเ็กับรักษาโรค แม้มันจะต่างกันเพียงนิดเดียว แต่ความหมายของทั้งสองคำนั้นกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง โหวกุยหยุนได้ยินฉินหลางพูดอย่างนั้น ในแววตาก็เต็มไปด้วยความใและความนับถือ “งั้นรบกวนคุณหมอเ้าฉินช่วยตรวจให้ปู่อย่างละเอียดด้วย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้