“กึก” หลี่ลั่ววางถ้วยลงบนโต๊ะ เสียงออกจะหนักไปสักเล็กน้อย
ท่านย่าหลี่ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ และหลี่ต้านิว[1]หยุดชะงักลงในทันใด มองไปที่หลี่ลั่ว ท่านย่าหลี่มีความกังวลใจยิ่ง “เสี่ยวเป่าเอ๋อร์[2] เป็อะไรไป?” หลี่ลั่วคือแก้วตาดวงใจของนาง เส้นผมน้อยลงไปสักเส้นนางก็รู้สึกปวดใจ
“ไม่กินแล้ว พวกท่านเสียงดังเกินไป ทะเลาะวิวาทกันจนข้าปวดหัวขอรับ” หลี่ลั่วพูดเสียงเย็น
เพียงได้ยินว่าปวดหัวเท่านั้น ท่านย่าหลี่กลับคิดไปถึงาแบนศีรษะของเขา นางจึงหันไปถลึงตาใส่อวิ๋นเหนียงครั้งหนึ่ง และพูดกับหลี่ต้านิวอย่างดุดันว่า “หากยังกล้าขโมยเนื้อแห้งของน้องชายเ้ามากินอีก ข้าจะถอนฟันของเ้าให้หมดปาก” แล้วจึงหันกลับมาพูดกับหลี่ลั่วอย่างอ่อนโยน “เป่าเอ๋อร์คนดีกินข้าวเถิด ย่าไม่เสียงดังแล้ว”
“ไม่กินแล้ว กินอิ่มแล้ว” หลี่ลั่ววางตะเกียบและถ้วยลงบนโต๊ะ เดินกลับห้องของตัวเองไป ก่อนเข้าห้องยังพูดอีกว่า “ท่านย่า ท่านอายุมากแล้ว อย่าได้โมโหบ่อยเลย โมโหไม่ดีนะขอรับ”
ได้ยินหลานชายเอาใจใส่ตัวเองถึงเพียงนั้น ท่านย่าหลี่รู้สึกอุ่นวาบในใจ “ย่ารู้ ย่าเข้าใจแล้ว”
หลังจากที่หลี่ลั่วตื่นขึ้นมา เนื่องจากต้องพันผ้าพันแผลไว้จึงต้องโกนผม ด้วยเื่นี้จึงทำให้อวิ๋นเหนียงผู้เป็มารดาถูกท่านย่าหลี่ตีไปด้วยด่าไปด้วย หลี่ลั่วทอดถอนใจ ในที่สุดเขาก็คิดตกจึงไม่คิดอยากจะตายอีก แต่การดำเนินชีวิตในลักษณะนี้ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร การดำเนินชีวิตของคนทั้งครอบครัวอาศัยเพียงแรงงานของผู้หญิงไม่กี่คน มันเป็ชีวิตที่กินไม่อิ่มและกินไม่ดี เมื่อเห็นมือทั้งคู่ที่หยาบกร้านของพวกนางและสภาพผิวพรรณที่ขาดโภชนาการจากอาหารแล้วคิ้วของหลี่ลั่วก็ขมวดแล้วขมวดอีก จึงได้แต่เดินเข้าไปพักผ่อนในห้อง
“มีคนอยู่หรือไม่? เหล่าไท่ไท่[3]บ้านสกุลหลี่อยู่หรือไม่?” เสียงของผู้ใหญ่บ้านดังเข้ามาจากประตูบ้านสกุลหลี่ ตามมาเสียงของคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา “อ้อ กำลังกินข้าวกันอยู่รึ”
ท่านย่าหลี่มองผู้ใหญ่บ้านแล้วมองไปเห็นผู้ติดตามผู้ใหญ่บ้านอีกหลายคน เห็นพวกเขาสวมอาภรณ์งดงามประณีตมีราคาจึงมิค่อยกล้าที่จะเอ่ยวาจาออกไป ได้แต่กะพริบดวงตาคมกริบคู่นั้น ไม่อาจคาดเดาจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของผู้ใหญ่บ้าน “ข้าวนั้นกินเสร็จแล้ว ผู้ใหญ่บ้านมีกิจอันใดหรือ?” พร้อมกับส่งสายตาให้พวกลูกสะใภ้เก็บโต๊ะกินข้าวให้เรียบร้อย
“ข้าขอทำหน้าที่แนะนำเสียหน่อย ท่านนี้คือนายอำเภอ ท่านนี้คือคุณชายหลี่แห่งจวนจงหย่งโหวจากเมืองหลวง” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว
นายอำเภอในสายตาของหญิงชราฐานะยากจนอย่างท่านย่าหลี่นับว่าเป็คนที่มีอำนาจวาสนา ซ้ำยังได้ยินว่าอีกคนมาจากเมืองหลวง ท่านย่าหลี่ถึงกับสะดุ้งใ อย่าว่าแต่ท่านย่าหลี่เลย แม้กระทั่งหญิงสาวและเด็กเล็กในบ้านก็ล้วนใแทบสิ้นสติ ทุกคนต่างมายืนอยู่ข้างๆ ท่านย่าหลี่ เวลานี้ท่านย่าหลี่ผู้อยู่ในวัยครึ่งร้อยท่านนี้กลับเป็เสาหลักที่พึ่งของพวกนาง
“เหล่าไท่ไท่ไม่ต้องกลัว” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยต่อ “คุณชายหลี่มาเยือนครั้งนี้ เพียงแค่้าถามเหล่าไท่ไท่เื่หนึ่ง”
“ให้ข้าเป็คนพูดเถิด” คุณชายหลี่ท่านนี้อยู่ในวัยสามสิบโดยประมาณ รูปร่างแข็งแรง สายตาคู่นั้นทอประกายคมเฉียบ ทว่ากลับมีความเมตตาปรากฏอยู่ด้วย “เหล่าไท่ไท่เชิญนั่งลงเถิด เื่ที่ข้าอยากจะถามนั้นเกี่ยวกับลูกชายลิ่ง[4]และหลานชายของท่านเท่านั้น”
ได้ยินว่าเกี่ยวกับลูกชายและหลานชาย ท่านย่าหลี่พลันขมวดคิ้ว สายตาทอประกายวาบ อย่าว่าแต่ท่านย่าหลี่ คนในสกุลหลี่ที่อยู่ในที่นั้นทั้งหมดต่างก็คิดถึงเพียงเื่เดียว “ท่าน....พวกท่านอยากถามเื่อะไร?”
คนระดับคุณชายหลี่ เพียงสังเกตเห็นสีหน้าของท่านย่าหลี่ก็รู้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามรู้จุดประสงค์ในการมาที่นี่ครั้งนี้ของตนเอง “เหล่าไท่ไท่อย่าได้ตื่นตระหนก ก่อนที่จะมาเยือนบ้านสกุลหลี่ ข้าได้สอบถามทางผู้ใหญ่บ้านจนแน่ชัดแล้ว คุณชายสี่ หลี่ลิ่งรับราชการเป็ทหารในกองทัพซีเป่ย สี่ปีก่อนในตอนที่กองทัพซีเป่ยให้วันลาหยุดเพื่อให้เขากลับบ้าน เขาได้อุ้มทารกเพศชายกลับมาด้วยคนหนึ่ง มีเื่เช่นนี้หรือไม่?”
“ท่าน....ท่านจะมาแย่งหลานชายไปจากข้าไม่ได้ ข้าเลี้ยงหลานของข้ามาสี่ปี” แม้ว่าท่านย่าหลี่จะมีความเกรงกลัว แต่ถ้าเป็เื่ที่เกี่ยวกับหลานชาย นางยังคงพูดชัดถ้อยชัดคำเสียงดังฟังชัด
ดูจากรูปการณ์เช่นนี้ คงจะเป็ความจริงแน่แล้ว “ถ้าไม่มีอะไรผิดไปจากที่คาด ทารกเพศชายคนนั้นคือคุณชายของครอบครัวข้า เป็ตี๋ชื่อจื่อ[5]ของจวนจงหย่งโหว และบัดนี้ฝ่าาได้ปูนบำเหน็จยศเป็จงหย่งโหว[6]” คุณชายหลี่ยิ้มๆ “ข้ารู้ดีว่าไท่ไท่[7]ตัดใจจากหลานชายไม่ได้ แต่ว่าคุณชายมีชาติกำเนิดสูงส่ง สิ่งแวดล้อมที่นี่ไม่เหมาะสมที่จะให้คุณชายเจริญเติบโต อีกประการหนึ่ง จวนโหวตามหาเขามาเป็เวลาสี่ปี ฝ่าาก็ทรงรอเขามาเป็เวลาสี่ปีแล้วเช่นกัน”
หลี่ลั่วยืนแอบฟังอยู่หน้าประตู ได้ยินถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง เขารู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมา หันหลังกลับคิดที่จะจัดกระเป๋า เขาไม่้าใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้ กินข้าวก็ยังกินไม่ลงแม้แต่คำเดียว แต่ทว่า...เมื่อมองไปรอบๆ ห้องที่โกโรโกโสแห่งนี้ เดิมทีก็ไม่มีกระเป๋าอยู่แล้ว
“ไม่ได้ ข้าไม่สนใจว่าจะโหวเหฺยหรือไม่โหวเหฺย หาก้าแย่งหลานชายของข้าไปก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน” ท่านย่าหลี่ลุกขึ้นยืน หยิบไม้กวาดที่อยู่ข้างกำแพงมาขับไล่ผู้คน “ออกไป พวกเ้าไปซะ ไม่ว่าใครก็แย่งหลานชายของข้าไปไม่ได้”
[1] นิว (妞) แปลว่า ลูกสาว เป็คำเรียกเด็กผู้หญิงในเชิงเอ็นดู มักใช้กันในแถบพื้นที่ทางตอนเหนือของจีน ต้านิวใช้เรียกลูกสาวคนโต เอ้อร์นิวใช้เรียกลูกสาวคนรอง เสี่ยวนิวใช้เรียกลูกสาวคนเล็ก และในบางกรณีก็มีคนนำมาใช้ตั้งเป็ชื่อลูกสาวด้วยเช่นกัน
[2] เป่าเอ๋อร์ (宝儿) ผู้ใหญ่ในบ้านมักใช้เรียกลูกหลานในเชิงเอ็นดู ใช้ได้ทั้งกับเด็กหญิงและเด็กชาย เป่า หมายถึง ของล้ำค่า
[3] เหล่าไท่ไท่ (老太太) เป็คำเรียกหญิงชราในเชิงเคารพ
[4] ลิ่งหลาง (令郎) คำว่าหลางมักใช้เรียกลูกชาย เช่น ต้าหลาง หมายถึงลูกชายคนโต เอ้อร์หลาง หมายถึงลูกชายคนรอง หรืออาจจะใส่ต่อท้ายชื่อของลูกชาย เช่น ลิ่งหลาง บิดาของหลี่ลั่วในเื่ ด้วยความที่หลี่ลิ่งเป็บุตรคนที่สี่ จึงสามารถเรียกว่า ซื่อหลาง ก็ได้
[5] ตี๋ชื่อจื่อ (嫡次子) หมายถึงบุตรชายคนที่สองที่กำเนิดโดยภรรยาเอก ตี๋จื่อ หมายถึงบุตรที่กำเนิดโดยภรรยาเอก
[6] จงหย่งโหว (忠勇侯) จง หมายถึงซื่อสัตย์ หย่ง หมายถึงความกล้าหาญ โหวคือบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่ขุนนางที่มีความชอบ บรรดาศักดิ์ของขุนนาง แบ่งเป็ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน (เทียบกับบรรดาศักดิ์ไทย คือ เ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน)
[7] ไท่ไท่ (太太) เป็คำสุภาพที่ใช้เรียกสตรีที่แต่งงานแล้ว ข้างหน้าจะใส่สกุลของสามี เช่นในเื่ท่านย่าแต่งเข้าบ้านสกุลหลี่จึงเรียกขานว่า “หลี่ไท่ไท่” หรือบางกรณีจะใส่แซ่เดิมของสตรีเข้าไปด้วยก็ได้ แต่ต้องขึ้นนำด้วยแซ่ของสามีเพื่อเป็การให้เกียรติสกุลฝั่งสามี