เฉียนจี้หวั่งยื่นมือขึ้นห้ามจ้าวจือจุ่นที่คิดอยากอธิบาย “เ้าเองไม่ต้องพูดให้มากความ เื่ทั้งหมดอยู่ในสายตาข้า ข้าขอถามพวกเ้า พวกเ้าแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าจ้าวจือชิงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย?”
“คือ คือว่าคนกระอักเืจะยังไม่ตายได้หรือ?” จ้าวเหลยหน้าตกตะลึงและถามกลับไปทั้งอย่างนั้น
เฉียนจี้หวั่งเองก็ดูออก เกรงว่าจ้าวเหลยคนนี้จะรู้เื่ไม่มากนัก ฉับพลันจึงโบกมือและมองไปทางหลี่ชุนฮัว
หลี่ชุนฮัวที่รับรู้ถึงสายตา รู้ว่าตนจำต้องเอ่ยปาก “นั่นสิ คนกระอักเืแล้วยังไม่ตายหรือ? ก็เหมือนไก่ที่ถูกเชือด กระอักเืก็ต้องตายสิ”
มือในแขนเสื้อของหลี่ชุนฮัวขยับยุกยิกไม่หยุดอย่างคนทำอะไรไม่ถูก เ้าหน้าที่เหล่านี้จากไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่บ้านสกุลลั่ว
“จ้าวจือจุ่น เ้าว่าอย่างไร?”
จ้าวจือจุ่นที่ถูกเรียกชื่อรู้ว่าใต้เท้าเฉียนมีความเคลือบแคลงสงสัยในใจ คำตอบของเขาเกี่ยวพันถึงว่าเขาจะหลุดพ้นกับเื่นี้ได้หรือไม่
เขาพินิจชั่วครู่ก่อนจะยกมือคำนับและเอ่ย “ข้าน้อยมิได้แน่ใจว่าพี่ใหญ่จำต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ลมปราณและโลหิตคือรากฐานของคน ตอนนี้กระอักเืก็เท่ากับลมปราณถูกขับออก แม้ว่าจะไม่อันตรายต่อชีวิต แต่เกรงว่าคงทำลายถึงแก่นปราณและส่งผลร้ายแรงต่อร่างกาย”
คำพูดกำกวมของเขาทำให้เฉียนจี้หวั่งสบถอย่างเ็าในใจ อายุเยาว์วัยไม่ฝึกฝนเื่ดี แต่กลับมาเล่นแร่แปรธาตุต่อหน้าตนเอง ภาพความประทับใจที่มีต่อจ้าวจือจุ่นค่อนข้างแย่กว่าเดิม น้ำเสียงที่พูดก็ยิ่งเ็าไปหลายระดับ “เมื่อเป็เช่นนี้ เช่นนั้นก็รอกันเถอะ”
......
ภายในห้องโถง ลั่วจิ่งเฉินในฐานะลูกชายคนโต อยู่กับหยางหนิงและเฉียนจี้หวั่ง ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกับลั่วจิ่งเฉินก็ถูกดึงดูดเพราะความรู้และทัศนวิสัยของเขา คนเช่นนี้ไม่สมควรถูกกลบฝังไปเช่นนี้
ทั้งสามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่ในบ้าน คนสกุลจ้าวที่อยู่ด้านนอกถูกลมหนาวเย็นพัดจนตัวสั่น แม้จะอยากกลับไป แต่กลับถูกทหารด้านนอกประตูขวางไว้ไม่ให้กลับ
บวกกับลั่วจิ่งซีที่มีไหวพริบในการต่อสู้ จึงคอยปรนนิบัติน้ำชาร้อนและน้ำร้อนให้แก่มือปราบและทหารที่เฝ้าเวร อย่างชานม เกาลัดและของว่างในบ้านก็นำออกมาต้อนรับไม่น้อย คนเหล่านี้ย่อมคุมคนสกุลจ้าวเข้มงวดกว่าเดิมแน่นอน
จวบจน่เวลาไก่ขัน หลิงชางไห่ถึงออกจากห้อง พอออกมาก็เห็นคนสกุลจ้าวที่แทบจะสบถขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเ็า
“หึ่ม!” เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธแค้นขณะไปห้องโถง ในห้องโถงมีข้าวต้มหมูอุ่น เมื่อเห็นเขาเข้ามา ลั่วจิ่งเฉินก็รีบยกข้าวต้มอุ่นมาให้เขาทันที
“หลานชายคนโตข้าใส่ใจที่สุด!”
หลิงชางไห่รับข้าวต้มมา เฉียนจี้หวั่งกลับคิดไม่ถึงว่าสกุลลั่วมีความเกี่ยวดองกับหลิงชางไห่เช่นนี้ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ควรรบกวน จึงพักความคิดไว้ก่อน
รอจนหลิงชางไห่กินอย่างอิ่มหนำสำราญ เฉียนจี้หวั่งถึงกล้าถาม “จ้าวจือชิงเป็อย่างไรบ้าง? เป็อะไรมากหรือไม่?”
“เ้าลองถูกคนวางยาพิษดูสิ? ดูสิว่าเ้าจะเป็อะไรมากหรือไม่!”
“เขาถูกคนวางยาพิษจริงหรือ?”
“การวินิจฉัยของข้า เ้ายังไม่เชื่อหรือ? ยาพิษชนิดนี้ออกฤทธิ์ช้า อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาห้าปี ส่วนที่ว่าเหตุใดถึงออกฤทธิ์ตอนนี้ เดาว่าคงมีคนทนรอไม่ไหวแล้วใช้ยาปริมาณมาก”
“เดิมทีข้ากำลังถอนพิษให้เขาช้าๆ ใครจะรู้ว่าเพิ่งหายตัวไปไม่กี่วัน พิษก็ออกฤทธิ์ พิษชนิดนี้จำต้องใช้ปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้นถึงจะได้ผลลัพธ์เช่นนี้”
คำพูดของหลิงชางไห่ทำให้เฉียนจี้หวั่งคิดได้มากมาย พิษชนิดออกฤทธิ์ช้า หาก้าวางยาย่อมต้องเป็คนใกล้ตัว อีกทั้งเป็การวางยาพิษที่ระยะเวลายาวนานเพียงนี้ เช่นนั้นจะต้องเป็การวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ
แวบแรกที่เฉียนจี้หวั่งคิดถึงก็คือคนสกุลจ้าว โดยเฉพาะข่าวที่ผู้ใต้บังคับบัญชาสืบรู้มาจากหมู่บ้านชิงเหอยิ่งเป็เครื่องพิสูจน์ หลายปีมานี้ชีวิตดีๆ ของจ้าวจือชิงก็มีเพียงแค่่ที่คนของราชสำนักมาตรวจสอบ แต่เวลาส่วนมากมักจะไม่ได้ทานอิ่ม กระทั่งแหล่งพักอาศัยก็ไม่มี
หากเื่เหล่านี้เป็จริง คนสกุลจ้าวใช้วิธีใดในการวางยาพิษจ้าวจือชิง? แต่จริงอย่างที่คนสกุลจ้าวกล่าวมา การที่จ้าวจือชิงตายไป เช่นนั้นการยกเว้นภาษีกับเงินทองทุกปีของครอบครัวเขาก็จะหายไป เหตุใดจึงต้องวางยาพิษเขาด้วย
คิดไม่ตก คิดไม่ตก!
หลิงชางไห่มองดูท่าทีพินิจอย่างลึกซึ้งของเฉียนจี้หวั่ง เหมือนกับที่เ้าหนุ่มจ้าวจือชิงคาดเดาไว้ไม่ผิด หรือว่าจ้าวจือชิงจะผ่านเคราะห์กรรมและมีโชควาสนาจนสติสมประกอบแล้ว?
“พวกเ้าทราบหรือไม่ว่าจี้ฉงเหวินคือผู้ใด?” เพียงคำพูดเดียวของหลิงชางไห่นำมาซึ่งความตื่นใของลูกชายสกุลลั่ว
เนื่องจากคนสกุลลั่วถือว่าจี้ฉงเหวินได้ตายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครกล่าวถึงคนผู้นี้กับหลิงชางไห่มาก่อน แต่มีเฉียนจี้หวั่งเป็ผู้ตอบ
“ที่ท่านถามหมายถึงจี้ฉงเหวินแห่งสำนักศึกษาหลวงในเมืองหลวงหรือ?” เฉียนจี้หวั่งมองเขาและถาม หลิงชางไห่ออกจากเมืองหลวงั้แ่สามปีก่อน เวลานั้นจี้ฉงเหวินยังไม่ได้เลื่อนขั้นจนถึงตำแหน่งตอนนี้ ดังนั้นการไม่รู้จักจึงเป็เื่ปกติมาก
หลิงชางไห่ส่ายหน้า “ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรว่าเขาคือใคร แต่จ้าวจือชิงพึมพำถึงชื่อนี้ตอนที่สะลึมสะลือ เดิมทีคิดว่าเป็คนที่นี่ ใครจะรู้ว่าดันเป็คนเมืองหลวง”
“ไม่ไม่ไม่” เฉียนจี้หวั่งโบกมือต่อเนื่อง “จี้ฉงเหวินมิใช่คนพื้นที่เมืองหลวง ตอนนั้นหลังจากสอบได้จอหงวนก็ถูกเลขาธิการเฉินอวี๋เต้าจับเป็เขย ่นั้นเป็เื่เล่าสนุกสนานในเมืองหลวง นับั้แ่ครั้งนั้น คนผู้นี้ก็มีที่ยืนมั่นคงในเมืองหลวง”
“เหมือนว่าหลายปีก่อนผู้ที่รับผิดชอบการเยี่ยมเยียนทหารผ่านศึกจะมีลูกศิษย์ของจี้ฉงเหวินเป็ผู้รับผิดชอบมาโดยตลอด โดยกล่าวอ้างอย่างดูดีว่าเพื่อเป็การฝึกฝนความสามารถให้แก่ลูกศิษย์…”
เฉียนจี้หวั่งพูดไปและชะงักกะทันหัน หรือว่าเื่นี้ของจ้าวจือชิงจะเกี่ยวข้องกับจี้ฉงเหวิน
ไม่ได้ เื่นี้เขายังต้องสืบให้ละเอียด หากเกี่ยวพันกับจี้ฉงเหวินจริง เช่นนั้นเื่นี้ก็ไม่ใช่เื่เล็กๆ
“ข้ายังมีธุระ ในเมื่อจ้าวจือชิงไม่เป็ไร ข้าขอไปทำธุระก่อน วันรุ่งขึ้นค่อยมาเยี่ยมเขา”
ตอนนี้เขารีบร้อนไปพิสูจน์การคาดเดาของตน ดังนั้นจึงเหลือเพียงทหารสองนายเฝ้าที่นี่ไว้ ส่วนตนก็พาคนมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านอื่น
หยางหนิงได้ยินชื่อของจี้ฉงเหวินและคุ้นเคยอย่างมาก “ไฉนข้าจึงจำได้ว่าจี้ฉงเหวินผู้นี้เหมือนจะสอบจากอำเภอเฉา ตอนนั้นในอำเภอคึกคักอย่างมาก พอคิดอย่างละเอียด จี้ฉงเหวินผู้นี้ออกจากหมู่บ้านอันชิ่งด้วยมิใช่หรือ”
“จิ่งเฉิน พวกเ้าพอจำได้หรือไม่?” ถามจบก็ส่ายหน้าต่อเนื่อง “ข้าลืมไป ตอนนั้นพวกเ้ายังเด็ก กระทั่งจิ่งเฉินก็ยังไม่เกิด ข้าคิดพลาดเอง”
หลายครั้งที่ลั่วจิ่งซีอยากพูดแทรก แต่กลับถูกลั่วจิ่งเฉินห้ามไว้ พวกเขาไม่อยากมีความเกี่ยวพันใดกับจี้ฉงเหวินอีก ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเป็ขุนนางที่มีอำนาจมากมายเพียงใด เพียงแต่สิ่งเดียวที่ไม่ดีก็คือ ตำแหน่งของคนผู้นี้กลับเป็ถึงบัณฑิตสำนักศึกษาหลวง หากตนเองสอบเคอจวี่ต่อ คงเลี่ยงไม่ได้ต้องเจอกับเขา
หลิงชางไห่คิดไม่ถึงว่าคำพูดที่จ้าวจือชิงให้ตนพูด กลับสร้างอิทธิพลต่อเฉียนจี้หวั่งมากมายเพียงนี้ ช่างเถอะ เขาเป็ชายชราขนาดนี้เื่อะไรต้องไปคิดมากกับความคิดของคนวัยหนุ่ม
ทว่าเ้าหนุ่มจ้าวจือชิงก็เหี้ยมโหดนัก เพียงเพื่อตัดความสัมพันธ์กับสกุลจ้าวอย่างเด็ดขาด ถึงขั้นยอมเสี่ยงด้วยวิธีนี้ หากมิใช่เพราะตนเองมีการเตรียมการล่วงหน้า เฮ้อ เ้าหนุ่มนี่ช่างมีความเชื่อใจต่อตนเองมากจริงๆ
นิสัยนี้ช่างเหมือนกับคนที่เขาเคยรู้จักในอดีตนี้จริงๆ
“พวกเ้าเป็อะไรไป?” หลิงชางไห่ได้สติ แต่กลับเห็นลั่วจิ่งซีกับลั่วจิ่งเฉินกำลังทำตัวประหลาดอยู่ กระทั่งไหลไหลน้อยที่ตามติดตนเองตลอดก็คว้าชายเสื้อของลั่วจิ่งเฉินไว้ไม่ปล่อยด้วยใบหน้าซีดขาวและประหม่า
ลั่วจิ่งเฉินเองก็รับรู้ว่าพวกเขาตัวเกร็งกันเกินเหตุ “บ่ายวันนี้ท่านแม่หมดสติเพราะคนสกุลจ้าว จนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้น พวกข้าจึงเป็ห่วงอยู่บ้าง”
“เื่ใหญ่เช่นนี้ เหตุใดไม่บอกข้า!” หลิงชางไห่ไม่มีแก่ใจจะพักผ่อนและรีบตรงไปห้องโถง
พี่หลิวเห็นเขาเข้ามาก็รีบบอกกล่าวคำพูด่บ่ายของหมอหลิวให้เขาฟังหนึ่งรอบ นางเห็นว่าสกุลลั่วมีเื่เกิดขึ้นมากมาย จึงยังไม่ได้กลับไปและดูแลชีเหนียงต่อ
-----