“แต่ว่า...หลังจากนี้คงมีเื่ให้ต้องออกหน้าแล้วละพ่ะย่ะค่ะ”
“เื่อะไรหรือ?” หลินหร่านเอ่ยถาม
สีหน้าของลุงตงเริ่มแสดงออกถึงความลังเล
ท่านอ๋องเคยบอกว่าห้ามมิให้เื่เหล่านี้มากวนใจพระชายาเด็ดขาด ทว่า ตราบใดที่ตำหนักนี้ยังอยู่ในเมืองหลวง เื่เหล่านี้จึงยากนักที่จะหลีกเลี่ยง
อีกทั้งตนเองเป็ถึงผู้ทำหน้าที่พ่อบ้านของตำหนัก เขาจะต้องคอยดูแลทุกเื่ในตำหนักนี้
“วันมะรืนเป็วันที่สามเดือนสาม เทศกาลรำลึกถึงพระจักรพรรดิ และเป็เทศกาลชมดอกไม้ที่ฮองเฮาทรงจัดขึ้นปีละครั้งอีกด้วย เมื่อถึงเวลานั้น เหล่าสมาชิกในครอบครัวของทหารชนชั้นต่างๆ จะพากันเข้าร่วมงานเลี้ยงของเทศกาลชมดอกไม้พร้อมคอยติดตามฮองเฮา ตามประเพณีแล้ว พระองค์จำเป็ต้องเข้าร่วมพ่ะย่ะค่ะ และราชสาส์นเรียกตัวจากวังหลวงก็ได้ส่งมาถึงแล้ว”
เื่นี้ลุงตงไม่กล้าที่จะบอกกับอวี้ฉู่จาวอีก จึงทำได้เพียงมาคอยเตือนหลินหร่านเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้น...ก็ต้องไป” หลินหร่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบตกลง
“อ่า เดี๋ยวกระหม่อมจัดเตรียมให้พ่ะย่ะค่ะ” ลุงตงรู้สึกปลื้มใจ แต่ก่อนจะถอยออกมาก็ได้เอ่ยทิ้งท้ายไว้ “เื่นี้ท่านอ๋องยังไม่ทรงทราบ พระชายาลองเจรจากับท่านอ๋องอีกทีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ลุงตงไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแต่อย่างใด แต่ที่ให้หลินหร่านเป็คนพูด เพราะอย่างไรเื่นี้ทั้งคู่ก็ต้องปรึกษากันก่อนอยู่แล้ว
และการที่ให้หลินหร่านเป็ฝ่ายเจรจากับอวี้ฉู่จาวเองคงดีกว่าให้เขาไปคุยเองเป็แน่
“ประเดี๋ยวข้าจะคุยเื่นี้กับท่านอ๋อง” หลินหร่านรับคำ
หลังจากลุงตงถอยออกไป หลินหร่านก็ได้พาติงหร่วนเข้ามาในห้องตำรา
“พระชายาจะเสด็จไปจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” ติงหร่วนถาม สิ่งที่ลุงตงเอ่ยออกมา เขาก็พอจะเข้าใจความหมายดี
เทศกาลชมดอกไม้
มาคิดดูแล้วส่วนใหญ่ผู้ที่ไปร่วมงานก็คงเป็หญิงสาวทั้งหลาย นับแต่สมัยโบราณมาแล้วที่หญิงสาวจากตำหนักหลังคือสิ่งที่น่ากลัว
หากพระชายาของพวกเขาเข้าไปละก็ ต้องถูกหญิงสาวเ่าั้แทะจนแม้แต่กระดูกอาจไม่เหลือ
หลินหร่านหยิบตำราเกี่ยวกับการแพทย์ลงมาจากชั้นหนังสือแล้วส่งให้ติงหร่วน จากนั้นเงยหน้ามองหาตำราเล่มอื่นต่อ
“ราชสาส์นจากฮองเฮาเช่นนี้ ไม่ไปได้ด้วยหรือ” หลินหร่านมองเหม่ออยู่พักหนึ่งถึงตอบกลับ
เขาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่สีหน้ากลับฉายชัดถึงความเศร้าใจทันที
สุดท้ายจึงเอ่ยออกมาอีก “แต่ว่าเื่นี้ ข้าต้องคุยกับท่านอ๋องเสียก่อน ข้า...คงทำตามที่ท่านอ๋องบอก”
ติงหร่วนพยักหน้ารับแล้วนำตำราการแพทย์เดินตรงไปทางโต๊ะอ่านตำรา ก่อนที่เขาจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
พระชายาไม่ได้ออกไปนอกตำหนักนานแล้ว เื่ราวด้านนอกจึงไม่ค่อยรู้มากนัก
ไม่รู้ว่ามันเริ่มั้แ่เมื่อไรที่ทั่วเมืองหลวงเริ่มพูดถึงเื่ราวของหลินหร่าน พระชายาชายที่สามารถให้กำเนิดทายาทได้นับว่าเป็สัตว์ประหลาด ทำให้ผู้คนค่อยๆ พากันหวาดกลัว
เื่นี้ติงหร่วนได้ยิน่ที่ออกไปนอกตำหนัก ซึ่งดูๆ แล้ว ข่าวลือเื่นี้คงแพร่ออกไปอีกนานเป็แน่
ติงหร่วนรายงานให้อวี้ฉู่จาวรับทราบแล้ว ท่านอ๋องบอกว่าไม่เป็ไร และบอกเขาว่าไม่ต้องใส่ใจเื่นี้ อีกทั้งยังกำชับอีกว่าห้ามบอกเื่นี้กับพระชายา
ในเมื่อท่านอ๋องรับสั่งมาเช่นนั้น เขาจึงทำได้แค่ลืมเลือนเื่นี้ไปเสีย สนใจเพียงราชสาส์นของฮองเฮา
ไม่จำเป็ต้องคิดถึงเื่อื่น เพราะวันนี้ก็ไม่รู้ว่าด้านนอกตำหนักจะมีข่าวลืออะไรลอยเข้ามาอีก
.........
อีกด้านหนึ่ง ในการสอบสวนฉินฉือกับบุตรชายที่หน่วยงานต้าหลี่
อวี้ฉู่จาวเข้าร่วมการสอบสวนในครั้งนี้เพื่อเป็พยานว่า ‘จ้าวเซียนที่เข้าสอบจองหงวนกับจ้านเซียนผู้ที่เข้ารับตำแหน่งไม่ใช่คนเดียวกัน’
เื่ราวทั้งหมดสรุปได้ว่า ฉินฉือไม่ได้กระทำความผิดในการซื้อขายตำแหน่งจองหงวน อีกฝ่ายให้คะแนนในการสอบตามความเป็จริง
ส่วนเื่ที่ดินของฉินข่ายนั้น ฉินฉือไม่มีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
สุดท้ายแล้วตระกูลฉินฉือถูกรักษาเอาไว้ได้ แต่ฉินฉือก็ได้สูญเสียตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายขวาไปเพราะการคุมสอบที่ไม่โปร่งใส่ในปีนั้นและการรับสินบนของบุตรชาย
ฉินข่ายจึงกลายเป็แพะรับบาป ซึ่งตัวเขาจะได้รับโทษภายหลังผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วง
จากเื่ราวในครั้งนี้ องค์ชายห้าอวี้ฉู่หลิงคือฝ่ายที่สูญเสียเป็อย่างหนัก เพราะอัครเสนาบดีฝ่ายขวาเทียบเท่ากับกำลังครึ่งหนึ่งของเขาเลยทีเดียว
สำหรับพระสนมลี่ นอกจากจะรู้สึกเห็นใจตระกูลของตนแล้ว กลับยิ่งรู้สึกโกรธแค้นฮองเฮาทวีคูณ
อวี้ฉู่หลิงรู้สึกเ็ปยิ่งนัก ราวกับตัวเขาต้องกัดฟันกลืนลงท้องตนเองอย่างไรอย่างนั้น
ถูกหน่วยงานต้าหลี่กับฮ่องเต้ฉงเต๋อตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เขาจึงเลือกที่จะถอนตัวออกมา เื่นี้ั้แ่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ทำการแทรกแซงใดๆ ผลสุดท้ายจึงจบลงเช่นนี้
“ท่าน ท่านตา…”
.........
ณ วังหลวง ห้องบรรทมในพระราชวังเจี่ยวเยวี่ยของพระสนมลี่
“รักษาชีวิตไว้ได้ก็ดีแล้ว ส่วนท่านน้าฉินข่ายของเ้าคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” สีหน้าของพระสนมลี่ช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว
ผิวหน้าไม่เต่งตึงดังที่เคยเป็ ลูกปัดดอกไม้ที่ประดับอยู่บนหัวก็ลดลงไปกว่าครึ่ง หากเป็เมื่อก่อนคงไม่มีใครอวดโฉมความงามกับนางได้
หลังจากคดีของจ้าวเซียนถูกเปิดโปง ฮ่องเต้ก็ไม่มาที่วังของนางอีกเลย แม้จะยังระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ ในคืนวานได้ และมักให้คนนำของกำนัลมาส่งให้อยู่เสมอ แต่กลับไม่มาพบนางอีก ไม่แม้แต่จะหยิบยื่นโอกาสให้นางได้เอ่ยอะไรบ้าง
“ตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายขวาของท่านตาเ้าไม่เหลือแล้ว ภายภาคหน้าคงทำได้เพียงช่วยเหลือเ้าอยู่ในมุมมืด ส่วนด้านหน้านี้อาจต้องเป็เราสองคนแม่ลูกที่ช่วยเหลือกันเอง เ้าก็ต้องสู้ เข้มแข็งให้มากขึ้น ตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน ต้องพยายามลดบทบาทลงบ้าง”
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะพยายาม”
เดือนนี้อวี้ฉู่หลิงถูกกระทำไม่น้อย ทุกๆ วันต้องคอยระแวงและหวาดกลัว
เมื่อก่อนเขาได้รับทั้งความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มอบให้ผู้เป็มารดา อีกทั้งตำแหน่งของผู้เป็ตายังสูงส่ง สิบกว่าปีมานี้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ไม่มีเื่อะไรให้ต้องมาคอยกังวลใจแม้เพียงนิด
ทว่าวันนี้…มาลองคิดดูดีๆ เขายังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ ดังนั้น เื่ที่เขายังไม่เข้าใจจึงยังมีอีกมากโข
นอกจากนี้ ยิ่งได้รู้ว่าการค้าตงเยวี่ยของตระกูลฉินสูญหายไปแล้ว อวี้ฉู่หลิงยิ่งรู้สึกอยากแก้แค้น เขายังเหลืออะไรอยู่อีกหรือไง
.........
ณ ศาลาไม้ไผ่ด้านนอกหน่วยงานต้าหลี่ อวี้ฉู่จาวกำลังนั่งจิบชาโดยมีหรงจิ่งนั่งอยู่ข้างกาย
“ตาเฒ่าฉินฉือนั่นจิตใจโเี้เสียจริง” หรงจิ่งส่ายหัวพลางถอนหายใจ
มาลองคิดดู ท่าทีของฉินฉือในโถงด้านในเมื่อครู่ช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยินดียินร้าย ดูไม่แยแส โหดร้ายกับบุตรชายแท้ๆ ของตนเองถึงขั้นตัดความสัมพันธ์กัน
เริ่มต้นด้วยท่าทีจงเกลียดจงชัง ก่อนจะไม่นับญาติและกำจัดทิ้ง
“ช่างไร้ยางอายเสียจริง แม้แต่บุตรชายของตนเองก็ยัง...เฮ้อ แค่นึกถึงใบหน้าสิ้นหวังของฉินข่ายก็ทำให้กระหม่อมรู้สึกสงสารขึ้นมาแล้ว”
“แต่นี่เป็แผนของเ้าทั้งหมดมิใช่หรือ” อวี้ฉู่จาวเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ชู่ ท่านอ๋องต้องระวังพ่ะย่ะค่ะ ระวัง ถึงแม้ว่าเื่นี้กระหม่อมจะเป็คนวางแผน แต่กระหม่อมก็เป็เพียงคนที่ขีดเส้นเอาไว้ ตาเฒ่าฉินฉือเป็คนคิดตรึกตรองเื่นี้เอง ไม่ใช่เพราะท่านอ๋อง้าการค้าตงเยวี่ยของเขาหรอกหรือ กระหม่อมเพียงแค่หาทางพาเขามาหาท่านก็เท่านั้น แต่ว่า…”
แล้วหรงจิ่งก็เอ่ยต่อหลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “...อย่างไรกระหม่อมก็มีส่วนอยู่จริง เฮ้อ! พอพูดเช่นนี้กระหม่อมพลันรู้สึกละอายแก่ใจขึ้นมาเลย”
อวี้ฉู่จาวจิบชาเล็กน้อยก่อนกล่าว “ละอายแก่ใจ แต่ก็นับว่าได้ช่วยเหลือเขา”
“ใครพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่งเกิดความสงสัย
ก่อนที่อวี้ฉู่จาวจะทอดสายตามองไปยังตรอกเล็กๆ ที่ดูลึกและน่าสงสัยข้างๆ ป่าไผ่ หรงจิ่งจึงได้หันไปมองตามสายตา
มองจากระยะไกลจะเห็นเป็เพียงเด็กหนุ่มตัวเล็กบอบบางผู้หนึ่งกำลังเดินมา เมื่อเดินเข้ามาใกล้จึงได้มองเห็นใบหน้าชัดขึ้น
อีกฝ่ายเป็เด็กหนุ่มหน้าตาดี ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยการแต่งหน้าอ่อนๆ พวงแก้มสีลูกพีชช่างน่าดึงดูดชวนให้ผู้คนหลงใหล
เด็กหนุ่มสวมผ้าคลุมสีชมพูอ่อน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็น่าจะเป็ผู้ที่มาจากหอนางโลม และรูปลักษณ์เช่นนั้นทำให้เขาดูค่อนข้างขี้เล่น ไม่ค่อยจริงจังนัก
เด็กหนุ่มผู้นั้นเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าอวี้ฉู่จาวกับหรงจิ่ง ผ้าคลุมเขาพลิ้วไหว ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงบนพื้น
“ไป๋มู่ถวายบังคมท่านอ๋อง คารวะท่านหรง”
“ลุกขึ้นเถิด” อวี้ฉู่จาวเอ่ยออกมา
หรงจิ่งรู้สึกสงสัยเป็อย่างสูง เขามองไป๋มู่ที่เงยหน้าขึ้นแต่ไม่ได้ลุกขึ้นยืน ดวงตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยน้ำตา
น้ำตาที่คลออยู่ตรงหน่วยตายิ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงสารจับใจ
ไป๋มู่ผู้นี้ หรงจิ่งรู้จัก
เด็กหนุ่มคนนี้คือเด็กที่เขาเคยช่วยไว้ในวันที่หิมะตกหนัก เมื่อเห็นไป๋มู่เติบโตยิ่งเป็เด็กหนุ่มที่อ่อนหวานราวกับเด็กสาว ท่าทีที่ดึงดูดผู้คนเช่นนี้ ทำให้หรงจิ่งส่งเขาไปที่หอเหลียงชุน
---------------------------------------------
