หั่วอี้หัวเราะฮ่าๆ ออกมาอย่างมีความสุข“รู้อยู่แล้วว่าไฉ่เอ๋อร์จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เ้าทำได้จริงๆ ด้วย เื่นี้ดีนักดีเหลือเกิน”
เขาลุกขึ้นยืนก่อนเดินไปมาในห้องหลายก้าว ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
เวลานี้ในใจของนางจ้าวมืดมน นางนึกว่าจะรับได้รับรางวัลจากท่านแม่ทัพอย่างน้อยที่สุดก็คือได้รอยยิ้มจากเขา แต่ไม่คิดว่าแม้ท่านแม่ทัพจะยิ้ม กลับคล้ายไม่ได้ยิ้มให้นาง
จนกระทั่งหั่วอี้โพล่งออกมาคำหนึ่ง “ไฉ่เอ๋อร์ เ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิดอีกสักพักข้าจะไปหาเ้า” จากนั้นเขาก็ออกประตูไปทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
นางจ้าวเคยชินกับการปั้นหน้าให้ดีอยู่เสมอ แต่ยามนี้นางกลับขบกรามแน่นมองเขม็งไปที่ประตูห้องหนังสือทั้งที่หั่วอี้เดินจากไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วแต่นางยังคงรู้สึกคล้ายว่าหากยังจดจ้องอยู่เช่นนั้นก็อาจได้เห็นหั่วอี้กลับมา
เหมยเซียงที่อยู่นอกประตูเห็นว่าท่านแม่ทัพออกไปแล้วนางยังไม่ทันคารวะทักทาย ท่านแม่ทัพก็เดินสาวเท้ายาวๆ จากไปไกล
เหมยเซียงเห็นดังนั้นจึงชะโงกหัวเข้าไปดูภายในห้องหลายคราแต่กลับไม่ได้ยินเสียงฮูหยินใหญ่ร้องเรียก จึงคิดว่านางควรเข้าไปดูในห้องหนังสือให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือคอยอยู่ข้างนอกต่อไปดี
ในขณะที่เหมยเซียงกำลังลังเลอยู่นอกประตู นางจ้าวก็ออกมาพอดีนางก้าวออกมาจากห้องไม่หยุดเหมือนตอนที่นางมา เดินไปพูดไปว่า “กลับกัน”
เหมยเซียงมองท่าทีพยายามแต่โรยแรงของนางจ้าวแล้วคิดถึงท่านแม่ทัพที่รีบร้อนจากไปเมื่อครู่จึงไม่เอ่ยปากถามอย่างเข้าใจเหตุการณ์
ท้องฟ้าอึมครึมยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นก็มีฝนเม็ดโตคล้ายทะลุผ่านมวลเมฆดำสาดเทลงมาตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่มากับสายฟ้าแลบ
เม็ดฝนเท่าเม็ดถั่วเหลืองตกลงมาบนพื้นและชายคา เกิดเสียงกระทบดังไปทั่วพร้อมกับสาดซัดเข้าไปในหัวใจของนางจ้าว
มิรู้ว่าเมื่อครู่ท่านแม่ทัพจงใจมองผ่านความทุ่มเทของนางหรือไม่คิดว่ายามนี้คงรีบไปขอรับความดีความชอบกับองค์หญิงนั่นแล้วกระมัง
นับแต่องค์หญิงมาถึง ท่านแม่ทัพก็ราวกับเปลี่ยนเป็คนละคนท่าทีที่เขาไม่ไยดีต่อสตรีคล้ายไม่เคยปรากฏกับตัวองค์หญิง ไม่มีสตรีใดสามารถเข้าตาและทำให้เขาร้อนรนอย่างที่เป็ต่อองค์หญิงมาก่อนหรือว่าท่านแม่ทัพจะต้องใจองค์หญิงเข้าแล้วจริงๆ
นางจ้าวเร่งเดินไปพลางนึกถึงความเปลี่ยนแปลงของท่านแม่ทัพในระยะนี้
“ฮูหยินใหญ่เ้าคะ ระวังอย่าให้ต้องฝนนะเ้าคะ” เหมยเซียงกางร่มและประคองฮูหยินใหญ่เอาไว้ให้ดี
แม้เสียงลมเสียงฟ้าจะดังะเืเลื่อนลั่น แต่ดีที่ฝนเม็ดโตสาดเทลงมาเพียงพักหนึ่งก็กลายเป็บางเบาไร้ซุ่มเสียงที่ให้ความชุ่มชื้นกับสรรพสิ่งเท่านั้น
ไม่รู้เช่นกันว่าที่ท่านแม่ทัพรีบออกไปเมื่อครู่นั้นเพื่อไปหาองค์หญิงหรือเพราะยังมีงานราชการอื่นต้องออกไปทำ
นางจ้าวเดินกลับไปถึงเรือนเฉินจื่อแล้วแต่ยังคงคิดถึงว่าท่านแม่ทัพจะไปที่ใด
ปรากฏว่าััที่หกของสตรีนั้นแม่นยำนักหลังจากหั่วอี้รีบออกจากห้องสมุดก็ตรงปรี่ไปยังหอหั่วเยี่ยน ระหว่างทางที่เร่งเดินไปในสมองก็เอาแต่คิดว่าเมื่อองค์หญิงรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตให้นางไม่ต้องอยู่ในห้องเก็บฟืนแล้วนางคงดีใจไม่เบา
คิดไปคิดมาเขาก็รอจะเดินกลับไม่ไหวจึงใช้พลังยุทธ์ะโขึ้นไปบนหลังคา อาศัยแรงรับจากหลังคาและต้นไม้ใหญ่ะโไปหลายครา พร้อมทั้งเร่งวิ่งไปทางหอหั่วเยี่ยน
ยามเมื่อเขาะโลงมาจากหลังคาหอหั่วเยี่ยนนั้นอวี้จิ่นเห็นว่าฝนจวนจะตกจึงกำลังเก็บอาหารที่จัดไว้ให้องค์หญิงในลานบ้านกลับเข้าไปในห้อง ซึ่งนางไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนร่วงลงมาจากท้องฟ้าตอนที่หั่วอี้ลงมาถึงพื้นทำเอานางใจนหน้าถอดสี ถาดที่ถืออยู่ในมือพลันร่วงพื้นเสียงดังโครมครามแสบหู
ส่วนนางก็ร้อง “อ๊ายๆๆ…” ไม่หยุด
ยังร้องออกมาได้ไม่เท่าไร เมื่อเห็นว่าคนที่มาเป็ท่านแม่ทัพนางก็เอาแต่นิ่งเหม่อขวัญกระเจิงอยู่ตรงนั้นแต่ก็เพราะเสียงร้องดังของนางจึงทำให้หลิ่วจิ้งที่อยู่ในห้องต้องวิ่งออกมาดู
จนหลิ่วจิ้งออกจากประตูมาเห็นว่าหั่วอี้และอวี้จิ่นสองคนอยู่กลางลานบ้านอวี้จิ่นเอามือปิดปาก ส่วนหั่วอี้กำลังจ้องอวี้จิ่นด้วยใบหน้าถมึงทึง
เสียงกรีดร้องลั่นของอวี้จิ่นก็ทำให้หั่วอี้ใเช่นกันเดิมทีเขาคิดจะถามนางว่าตอนนี้องค์หญิงอยู่ที่ใด คิดไม่ถึงว่าอวี้จิ่นกลับเห็นเขาเป็โจรไปเสียได้ชายหนุ่มจึงได้แต่กลอกตามองฟ้าพูดจาไม่ออก
เดิมทีเขาเพียงอยากมาพบองค์หญิงให้ไวๆ เพื่อบอกข่าวดีว่าเื่ที่นางต้องถูกขังในห้องเก็บฟืนนั้นถูกยกเลิกแล้วที่ใดจะคิดว่ากลางลานบ้านมีอวี้จิ่นอยู่ ทั้งยังคล้ายว่าถูกเขาทำให้ใอีกด้วย
“ท่านแม่ทัพ นี่พวกท่านกำลัง…” หลิ่วจิ้งมีหรือจะคิดว่าหั่วอี้โรยตัวลงมาจากฟ้านางจึงมิอาจไม่คิดว่าเหตุใดอวี้จิ่นจึงต้องร้องลั่นอย่างหวาดกลัวส่วนท่านแม่ทัพก็มีสีหน้าหนักอึ้งเช่นนี้
“อะแฮ่มๆ ไม่มีเื่ใด ไม่มีเื่ใด แค่อวี้จิ่นขวัญอ่อนไปหน่อยเท่านั้น”
หั่วอี้พูดพลางเดินเข้าไปหาหลิ่วจิ้ง
‘พิลึกนัก เหตุใดจึงรู้สึกอย่างกับข้าถูกองค์หญิงจับได้คาเตียงว่ามีสตรีอื่น’ หั่วอี้คิดในใจ สีหน้าพลันลนลานไม่เป็ปกติขึ้นมา
หั่วอี้เดินผ่านหลิ่วจิ้งและตรงปรี่เข้าไปในเรือนยกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม
หลิ่วจิ้งยักไหล่ ค่อยตามเขาเข้าเรือนไป
“องค์หญิง ฮูหยินผู้เฒ่าบอกวาท่านไม่ต้องอยู่ในห้องเก็บฟืนแล้วเพียงแต่…”
หั่วอี้ลังเลขึ้นมาเขาไม่รู้ว่าหากบอกองค์หญิงว่าเพื่อเป็การหลบเลี่ยงความวุ่นวายก่อนนางจ้าวจะคลอดเขาจึงไม่อาจแต่งงานกับนางตามสัญญา เช่นนี้นางจะเอะอะโวยวายใส่เขาหรือไม่
ในความนึกคิดของหั่วอี้ เท่าที่เขาเคยคบหากับสตรีมา หากสตรีไม่ได้ดั่งใจพวกนางก็จะตามราวีไม่ยอมหยุดซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เห็นถึงความสนใจที่สตรีมีต่อเขาและเขาก็มีความสุขที่ััได้ว่าตนเป็ที่้า
เพียงแต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลิ่วจิ้ง หั่วอี้กลับลังเลไม่มั่นใจเขาไม่อยากเห็นแววตาผิดหวังขององค์หญิง ชั่วอึดใจนั้นเขาจึงมิได้เอ่ยต่อไปว่าฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจอย่างไร
“ท่านแม่ทัพมีเื่ใดก็พูดมาตามตรงเถิดเ้าค่ะ”หลิ่วจิ้งยิ้มหยันอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มสดชื่นดั่งลมแห่งวสันตฤดู
นางเห็นท่าทีลังเลของหั่วอี้ก็คาดเดาได้แล้วว่าจะต้องมีเื่ที่ไม่ส่งผลดีกับนางเป็แน่
“องค์หญิงอย่าเพิ่งร้อนใจ อย่างไรเสียจ้าวไฉ่เอ๋อร์ก็จวนจะคลอดแล้วท่านก็รออีกไม่กี่เดือนให้นางคลอดเสียก่อน พวกเราจึงค่อยแต่งงาน”
หั่วอี้พูดพลางจ้องมองหลิ่วจิ้ง หวังจะเห็นอะไรในดวงตาของนางบ้าง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผิดหวังก็คือ เมื่อหลิ่วจิ้งฟังเขาพูดจบก็ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มมิเปลี่ยนคล้ายปัญหาเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับนางแม้แต่น้อย
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะท่านแม่ทัพ ไม่ว่าจะเป็เวลาใดก็ตาม เื่นี้เกี่ยวพันถึงธูปเทียนกราบไหว้[1] ของท่านแม่ทัพ ความปลอดภัยของฮูหยินใหญ่ย่อมสำคัญที่สุด”
ท่าทีตอบสนองของหลิ่วจิ้งราบเรียบนัก แต่กลับคิดอยู่ในใจว่าเมื่อภูผาไม่มาหาข้าข้าก็ต้องเป็ฝ่ายไปที่ภูผาเอง [2] ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจรอจนนางจ้าวคลอดบุตรก่อนจึงค่อยมากำหนดฐานะของนางได้หากนางจ้าวคลอดบุตรชายออกมาตามคำของหมอผู้นั้นจริงเื่ในทำนองมารดาได้ดีเพราะบุตรก็มีพบเห็นอยู่ดาษดื่นยิ่งไปกว่านั้นยังเห็นได้ว่าฐานะของสตรีในแคว้นชางอี้ก็ช่างเลื่อนลอยไร้แก่นสารนักหาก้าจะอยู่ในจวนแม่ทัพอย่างมั่นคงแล้ว นางย่อมมิอาจไม่่ชิงตำแหน่งฮูหยินเอกแห่งจวนแม่ทัพนี้มาให้จงได้
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ธูปเทียนกราบไหว้ หมายถึง ทายาทที่เป็บุตรชายคนโตซึ่งเป็ผู้เดียวที่จะสามารถจุดธูปกราบไหว้ต่อบรรพบุรุษได้ตามความเชื่อของธรรมเนียมจีน
[2] เมื่อภูผาไม่มาหาข้า ข้าก็ต้องเป็ฝ่ายไปที่ภูผาเอง หมายถึง ไม่เอาแต่นั่งรอ แต่เร่งลงมือทำเอง
