“ ในยุคโบราณ หาก้าให้ใต้หล้าเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม จะต้องทำให้แต่ละแคว้นมีคุณธรรมก่อน แต่หาก้าให้ผู้คนในแคว้นมีคุณธรรม ก็ต้องปลูกฝังคนในครอบครัวให้มีคุณธรรมก่อน หาก้าให้คนในครอบครัวมีคุณธรรม ต้องปลูกฝังที่ตนเองก่อน หาก้าให้ตนเองเป็ผู้มีคุณธรรม ก็ต้องขัดเกลาจิตใจตนเองก่อน หาก้าให้ตนเองมีคุณธรรมในจิตใจ ก็ต้องปลูกฝังคุณธรรมในความคิดก่อน หาก้าให้ตนเองมีความคิดที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ก็ต้องเข้าใจคุณธรรมให้ถ่องแท้ก่อน และการที่เราจะเข้าใจคุณธรรมอย่างถ่องแท้ได้ ก็คือต้องเข้าใจและแยกแยะผิดชอบชั่วดีของทุกสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ได้ เมื่อรู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว ก็จะมีจิตสำนึกที่ดี มีจิตใจที่บริสุทธิ์ เป็ผู้ประพฤติตนดี ครอบครัวมีแบบแผน บ้านเมืองเป็ระเบียบ ใต้หล้าก็จะสงบสุข ไม่ว่าโอรส์หรือราษฎรทั่วไป ล้วนต้องเริ่มต้นจากการปกครองจิตใจตนก่อน หากปกครองตนไม่ได้ ก็จะไม่สามารถปกครองครอบครัว ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้ ที่หนาก็คือบาง ที่บางก็คือหนา สิ่งที่ตาเห็นมิใช่สิ่งที่เป็อยู่ นี่คือความต่างอย่างไร คือรู้อย่างไรคือรู้แจ้ง”
เื่นี้เป็ความรู้พื้นฐานยังไม่ถือว่ายาก ฉะนั้นิหลานจึงเลือกบทที่ยากขึ้นไปอีกระดับ “ผืนดิน”
“หากดินไม่ดี พืชผักไม่งอกงาม หากน้ำไม่ดี เต่าปลาไม่เติบโต หากลมปราณไม่ดี สรรพชีวิตก็จะอ่อนแอ หากใต้หล้าโกลาหล ผู้คนก็จะไร้ซึ่งระเบียบแบบแผน ในขณะเดียวกันดนตรีพิธีการก็พลันเสื่อมถอย คร่ำครวญแต่ไม่นุ่มนวล รื่นเริงแต่ไม่รื่นรมย์ ละเลยกฎเกณฑ์ เมามายจนลืมตน ในที่กว้างหน้าไหว้หลังหลอก ในที่แคบมากด้วยตัณหา อิสระเสรีจนเพิกเฉยต่อคุณธรรมและพิธีการอันดี ด้วยเหตุนี้สุภาพชนจึงมีเกียรติเพราะพบได้ยาก”
ิหลานยังไม่ปักใจเชื่อ จึงเอ่ยถึงบทที่ยากขึ้น “พิธีเซ่นไหว้”
“เครื่องบูชาพร้อมเพรียง เสียงดนตรีโหมกระหน่ำ ร่ายรำพริ้วไหว ฝ่าาทรงยืนเด่นเป็สง่าอยู่ด้านทิศบูรพา สวมเหมี่ยนฝูเหมี่ยนกวน [1] นำขุนนางซ้ายขวาร่วมกราบไหว้บูชาผู้ล่วงลับ โอรส์ถวายเครื่องบูชา หวังใต้หล้าร่มเย็น กราบไหว้บูชา หวังให้ราษฎรป็นสุข ทรงยืนเด่นเป็สง่าอยู่ด้านทิศบูรพา สวมเหมี่ยนฝูเหมี่ยนกวน นำขุนนางซ้ายขวาร่วมกราบไหว้บูชาผู้ล่วงลับ หวังให้ปวงประชาทั่วแคว้นผาสุก
ิหลานถามคำถามต่อไม่หยุด แต่ทว่าิหยวนยังตอบได้อย่างผ่อนคลายและคล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งท่อง บางครั้งวิเคราะห์ ท่าทางเป็ธรรมชาติเหมือนกำลังสนทนากับอาจารย์และสหาย แต่ยิ่งิหลานฟังมากเท่าไรก็ยิ่งใมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ลูกหลานในตระกูล โดยเฉพาะเ้าสามที่่นี้ความสามารถก้าวหน้าไปมาก หากมีเด็กคนนี้คอยช่วยเหลือ เขาก็คงไม่จำเป็ต้องกังวลเื่การเรียนของบุตรชาย
“เ้าบอกว่าเ้าได้ศึกษาตำราชุนชิวจั่วซื่อจ้วนแล้วใช่หรือไม่?”
“ขอรับ”
“อ่านจบแล้วหรือ?”
“ผู้น้อยไม่กล้าโป้ปดฝู่จวิน พึ่งอ่านถึง ‘าเฉิงผู' ขอรับ”
“ดี เช่นนั้นเ้าคิดเห็นอย่างไรกับประโยคที่ว่า ‘คิมหันตฤดู ย่างเข้าเดือนสี่ แคว้นจิ้น ฉี ซ่ง ฉิน และฉู่รบกันที่เฉิงผู กองทัพฉู่เป็ฝ่ายพ่ายแพ้'” ิหลานจงใจถามคำถามยากๆ และเป็คำถามที่อธิบายไม่ได้ “เหตุใดแคว้นฉู่ถึงพ่ายแพ้?”
“เรียนฝู่จวิน ผู้น้อยความคิดตื้นเขิน” ิหยวนตอบอย่างไม่ลังเล ราวกับว่าเขาคิดคำตอบไว้ในใจตั้งนานแล้ว “เหล่าเ้าขุนมูลนายของชาวจงหยวนล้วนเป็สุภาพชน เป็บัณฑิตผู้เปี่ยมความรู้ ส่วนแคว้นฉู่เป็ดินแดนของชาวหมาน รู้จักแค่การรบราฆ่าฟัน แม้แคว้นฉู่จะเอาชนะได้ด้วยพละกำลัง แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่อาจใช้พละกำลังเอาชนะไปได้ตลอด ตามแิหวาอี๋ [2] ที่มีมานาน พวกคนป่าเถื่อนอย่างชาวหมานย่อมต้องพ่ายแพ้ให้เหล่านักปราชญ์”
“นี่มันแิแบ่งแยกเชื้อชาติชัดๆ!”
ิหลานถอนหายใจ ถูกชาวหูรุกรานจนต้องอพยพมาทางใต้ ผู้ใดมีความทะเยอทะยานแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องถือเอาการได้กลับทางเหนือเป็ความปรารถนาแรก ไม่ว่าผู้ใดล้วนมีใจตรงกัน ิหลานก็เหมือนกัน ทว่าตอนนี้เขาเพียง้าให้เด็กคนนี้เป็สหายสนิทของบุตรชาย
แต่เขารู้ดีว่าแม้ฉลาดตอนเด็ก ก็ใช่ว่าโตขึ้นจะประสบความสำเร็จ การอบรมสั่งสอนลูกหลานจึงไม่ควรยกย่องชมเชยง่ายๆ คนหนุ่มสาวอารมณ์ไม่มั่นคง หากได้ยินคำพูดดีๆ มากเกินไปอาจหลงได้ใจ และหลงระเริงจนลืมพัฒนาตนเอง ฉะนั้นอย่าได้ชื่นชมเขามากเกินไป
“เยี่ยเก้อเอ๋อร์เป็คนเย่อหยิ่งและชอบโอ้อวดมาแต่ไหนแต่ไร ทว่ากลับมีความสัมพันธ์อันดีกับเ้า” เขาหมายถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ทุกวันนี้พวกบัณฑิตชอบใช้คำอุปมาในบทสนทนา มักพูดอ้อมค้อมแฝงความนัย มีเพียงคนธรรมดาที่พูดกันตรงๆ
“เรียนฝู่จวิน คุณชายสามเป็คนจิตใจดี ไม่รังเกียจที่ผู้น้อยยากจน เห็นผู้น้อยเป็สหายผู้หนึ่ง คอยชี้แนะผู้น้อย แบ่งปันเสื้อผ้าอาหาร ช่วยเหลือเื่เงินเป็บางครั้ง เป็สุภาพชนที่ใจดีมาก ผู้น้อยรู้ฐานะตนดี ไม่กล้าปีนขึ้นที่สูง”
ไม่มีบิดาคนใดจะไม่ชอบที่ได้ยินคนอื่นยกย่องบุตรของตน ิหลานเองก็เช่นกัน แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่เขาก็ยังอดยิ้มไม่ได้ “เขาเป็อย่างไรข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เ้ากลับยกยอเขา ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่า่นี้เขามีความรู้ความก้าวหน้าขึ้นจริง และดูเหมือนจะเป็ความดีความชอบของเ้า พวกเ้าสองคนได้มาเป็สหายร่วมสำนักถือเป็โชคชะตา ไม่ต้องกังวลเื่ฐานะที่แตกต่าง ต่อไปพวกเ้าจะต้องช่วยเหลือกันและกัน ก้าวหน้าไปด้วยกันถึงจะดี”
“ขอรับ เป็ความ้าฝู่จวิน ศิษย์ไม่กล้าปฏิเสธ”
“นายอำเภอคนใหม่มาถึงแล้ว สิ้นเดือนนี้จะมีการจัดประชุมที่สวนจื่อหยวน ผู้มีความสามารถจากทุกอำเภอในเมืองนี้จะมาเข้าร่วม รวมถึงบัณฑิตผู้มีความรู้มากคุณธรรมอีกจำนวนไม่น้อย แต่ละจวนจะพาลูกหลานของตนไปด้วย เ้าก็ติดตามเยี่ยเก้อเอ๋อร์ไปด้วยเถิด ไปเรียนรู้ด้วยกัน ถือเป็การเก็บเกี่ยวประสบการณ์”
……
“เป็อย่างไรบ้างๆ ท่านพ่อข้าว่าอย่างไรบ้าง?” ิเยี่ยที่รออยู่ข้างนอกรีบรุดเข้ามาถาม
“ฟู่จวินบอกว่า…” ิหยวนส่ายหัวพลางมองหน้าเขา “บอกให้ข้าคอยจับตาดูท่าน ไม่ให้ท่านทำเื่ไร้สาระอีก”
“ห้ะ? แน่หรือ? ให้เ้าดูแลข้า? แต่่นี้ข้าก็ไม่ได้ก่อเื่...” ิเยี่ยสีหน้าไม่สู้ดีเพราะเกิดความกังวล
กลัดกลุ้มอยู่นาน แต่พอเห็นิหยวนหัวเราะคิกคักก็รู้ว่าเขาถูกหลอก จึงวิ่งไล่เตะอีกคน “นี่เ้ากล้าหลอกข้าหรือ!”
“ฮ่า!!! คุณชายสามโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย!”
ิหยวนเคยผ่านความเป็ความตายมาแล้ว ตอนนี้เขาเติบโตในครอบครัวยากจน แต่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็กเข้าไปทุกวัน ยากที่จะเห็นเขาวิ่งเล่นกับเพื่อนอย่างวันนี้ ความรู้สึกเป็สิ่งที่ควบคุมได้ยากจริงๆ วันนี้เขาได้มาหลายสิ่ง ไม่เพียงแต่จะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ แต่ยังได้รับความเมตตาจากฝู่จวิน มอบที่ดินสิบหมู่แก่ครอบครัวเขา แม้จะยังเป็ที่นาผืนเดียวกัน แต่ครอบครัวเขาไม่ต้องจ่ายค่าเช่าอีกต่อไป และผลผลิตทั้งหมดก็จะเป็ของครอบครัวเขา ตอนนี้เขาไม่ใช่บุตรชายของคนงานอีกต่อไป แต่เป็บุตรชายของชาวนา
---------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เหมี่ยนฝูเหมี่ยนกวน (冕服冕冠) หมายถึง ฉลองพระองค์ระดับสูงสุดสำหรับใช้ในพิธีการสำคัญ
[2] แิหวาอี๋ (华夷之辩) หมายถึง กฎการแบ่งแยกเชื้อชาติ หวาคือชาวฮั่นหรือชาวจงหยวน อี๋คือชาวเผ่าอื่นๆ ชาวฮั่นเชื่อว่าดินแดนจงหยวนที่ตนอาศัยอยู่คือศูนย์กลางของโลก เชื่อว่าภาษา วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของตนดีที่สุด ส่วนเผ่าอื่นๆ เป็ชนเผ่าป่าเถื่อน และด้อยพัฒนา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้