ภายในใจของสตรีแซ่เฉินฉินผู้น้องยังคงขุ่นเคือง ครั้นเห็นบุตรสาวของตนร้องไห้น้ำตานองจึงพึมพำว่า “แม่หนูอิ๋งเพียงพูดเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยค มีหรือจะแพร่งพรายไปถึงหูคนสกุลเหอ? อีกไม่นานแม่หนูอิ๋งก็จะให้แม่สื่อแนะนำคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ให้ไปนั่งคุกเข่าให้สะใภ้ที่ถูกสกุลตกอับซื้อตัวมาเช่นนั้น ต้องอับอายขายหน้าเพียงใดกัน”
เฉินเกินฝูเอ่ยตำหนิเสียงเบา “เ้าพูดให้น้อยลงสักหน่อยเถิด พี่ใหญ่รักใคร่เอ็นดูแม่หนูอิ๋งไม่ต่างจากอาโหรว ยังคงเป็เพราะวาจาโสมมเ่าั้ของแม่หนูอิ๋งที่ไม่รู้จักหนักเบา คนในครอบครัวเดียวกันอย่างพวกเราเป็คนตักเตือนย่อมต้องดีกว่าภายหน้าตกอยู่ในกำมือของผู้ที่หมางใจกัน”
เฉินอิ๋งร้องไห้จนดวงตาทั้งคู่บวมแดง สตรีแซ่เฉินฉินเอ่ยปลอบโยนเพื่อไกล่เกลี่ย “อาโหรว พาน้องสาวไปพักผ่อนในห้องก่อนเถิด ที่ท่านลุงใหญ่ของเ้าลงมือหนักไปเสียหน่อยก็เพราะกลัวว่าแม่นางเมิ่งจะไม่ยอมเลิกราและนำคำพดเ่าั้ไปกล่าวยุแยงต่อหน้านายท่านเหอ เข้าใจความลำบากใจของท่านลุงใหญ่ของเ้าด้วยเถิด”
เฉินโหรวจูงมือเฉินอิ๋งพานางเดินกลับห้อง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เมื่อสองวันก่อนสกุลหลี่ให้คนส่งเสื้อแพรปีกจักจั่น [1] ที่ทำเป็เสื้อคลุมฤดูร้อนสีสันงามตามาให้ หากอาอิ๋งสวมจะต้องงามมากแน่ๆ”
เฉินอิ๋งกำลังอยู่ในวัยรักสวยรักงาม ครั้นได้ยินว่าเฉินโหรวจะยกเสื้อแพรปีกจักจั่นให้นางจึงหยุดร้องไห้ แย้มยิ้มทันใด เพียงแต่ภายในใจยังคงเคียดแค้นอวี๋เจียวอย่างยิ่ง
เมื่อสตรีแซ่เฉินฉินผู้น้องได้ยินคำกล่าวของเฉินโหรว ความไม่พอใจที่มีต่อเฉินเกินเซิงพลันจางหาย สีหน้าผ่อนคลายลงไม่น้อย
สตรีแซ่เฉินฉินเอ่ยเสียงเบาอย่างโล่งใจ “พี่ใหญ่ของเ้าถูกอวี๋ฉี่เจ๋อบังคับจนไร้หนทางจึงต้องทำเช่นนี้ เราเป็คนครอบครัวเดียวกัน อย่าได้หมางใจกันเพราะคนนอกเลย”
สตรีแซ่เฉินฉินผู้น้องหัวเราะ “จะเป็ไปได้อย่างไรกันเ้าคะ ท่านกับพี่ใหญ่ปฏิบัติต่อแม่หนูอิ๋งไม่ต่างจากบุตรในไส้ เมื่อครู่ข้าแค่ต่อว่าไม่กี่ประโยคด้วยความปวดใจเท่านั้นเ้าค่ะ”
คนทั้งสองพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าแซ่เฉินเดินเหินไม่สะดวก เมื่อครู่ได้ยินเสียงทะเลาะกันในลานเรือนนางจึงตะเบ็งเสียงร้องออกไป แต่กลับไอออกมาอย่างหนักจนเกือบสิ้นลม เมื่อเห็นลูกสะใภ้ทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง นางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าได้ยินเสียงเ้าใหญ่มีโทสะรุนแรง เหตุใดจึงทุบตีแม่หนูอิ๋งเล่า?”
สตรีแซ่เฉินฉินผู้น้องเล่าเื่ใส่สีตีไข่ “ล้วนเป็เพราะสะใภ้เสริมมงคลของคุณชายห้าสกุลอวี๋ก่อเื่ขึ้นมาเ้าค่ะ นางช่างมีหน้ามีตาเสียจริง แม่หนูอิ๋งแค่ว่านางไม่กี่ประโยค คุณชายห้ากลับรีบร้อนมาปกป้องนางด้วยท่าทางขุ่นเคือง ยังบังคับให้แม่หนูอิ๋งของพวกเราคุกเข่าขอโทษนางด้วยเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าแซ่เฉินได้ฟังพลันกำมือทุบลงบนเตียง “แค่สะใภ้ของจวนที่ตกต่ำจนต้องขายตนเองนางหนึ่ง ยังกล้ารังแกคุณหนูสกุลเฉินของพวกเรา สกุลอวี๋ของพวกเขามีหน้ามีตาถึงเพียงนี้จากที่ไหนกัน....”
กล่าวยังไม่ทันจบพลันไอออกมาอีกครั้ง สตรีแซ่เฉินฉินรีบยกกระโถนเข้ามาข้างหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าไอจนหายใจไม่ทัน ร่างซูบผอมจนเห็นกระดูกงองุ้มก่อนจะคายเสมหะเหนียวข้นออกมา
สตรีแซ่เฉินฉินใบหน้าถอดสีทันทีที่เหลือบเห็น ในเสมหะเหนียวข้นสีเขียวนั้นมีเืปนออกมาอย่างน่าตระหนก นางรีบร้องเรียกเฉินเกินเซิงทันที
เพราะท่านผู้เฒ่าเฉินจากไปเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าแซ่เฉินจึงเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองด้วยความยากลำบากไม่น้อย นางกัดฟันอดทนต่อความลำบากเพื่อส่งเฉินเกินเซิงไปร่ำเรียน และเพราะเฉินเกินเซิงพอมีความรู้จึงได้เป็ผู้นำหมู่บ้านชิงอวี่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกตัญญูต่อมารดายิ่งนัก
ครั้นได้ยินว่ามารดาชราของตนไอเป็เื เขาจึงเตรียมไปเชิญอวี๋เจียวกลับมาตรวจอาการให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง ทว่าถูกฮูหยินผู้เฒ่าห้ามเอาไว้อย่างเฉียบขาด
“ร่างกายของข้า ข้าย่อมรู้ดี หากสะใภ้ที่ขายตนของจวนตกต่ำผู้นั้นมีวิชาหมอยอดเยี่ยมจริง ร่างกายของเ้าห้าคงหายดีไปนานแล้ว เ้าอย่าลดเกียรติไปอ้อนวอนนาง อาโหรวยังไม่ออกเรือน อาอิ๋งก็ยังไม่ทันหมั้นหมาย ข้ายังต้องมีชีวิตอยู่!” ฮูหยินผู้เฒ่าแซ่เฉินแสบลำคอไม่น้อย นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
เฉินเกินเซิงทำได้เพียงปล่อยผ่านไป ได้แต่เร่งให้สตรีแซ่เฉินฉินไปต้มยาตามเทียบยาที่ได้มาก่อนหน้านี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่า
หลังพวกอวี๋เจียวทั้งสามคนกลับจวนต่างไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเื่ที่เกิดขึ้นในจวนสกุลเฉิน กลับเป็อวี๋หรูไห่ที่เอ่ยถามสองสามประโยคเพราะห่วงเงินค่ารักษา อวี๋เจียวบอกเพียงว่าสกุลเฉินดูแคลนหมอหญิง ไม่ยินดีให้นางตรวจอาการของฮูหยินผู้เฒ่าแซ่เฉิน
อวี๋หรูไห่เอ่ยพลางยิ้มประจบ “อีกประมาณหนึ่งเดือนในหมู่บ้านก็ต้องส่งส่วยแล้ว เ้ารองกับเ้าสี่ยังต้องซื้อพู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึกและอาภรณ์ใหม่จำนวนหนึ่ง ในมือของปู่มีเงินอยู่ไม่มากนัก แม่หนูเมิ่ง เ้าช่วยออกเงินเพิ่มอีกสักหน่อย”
ตาเฒ่าหนังหน้าหนาผู้นี้คิดวางแผนจะเอาเงินค่ารักษาในมือของอวี๋เจียวออกมา
อวี๋เจียวจ้องมองเขาอย่างเ็าครู่หนึ่ง เหยียดยิ้มพลางกล่าวว่า “มีเพียงตระกูลที่ขาดศีลธรรมจึงจะให้สตรีหาเลี้ยงคนในจวน พี่รองกับพี่สี่ล้วนแต่เป็ผู้ที่กำลังจะเข้าสอบขุนนาง หากเื่นี้แพร่งพรายออกไปคงจะเป็ที่น่าหัวเราะแก่ผู้อื่น ในเมื่อท่านรับข้าเป็หลานสาวแล้ว มีเหตุผลอะไรมาขอเงินส่วนตัวของหลานสาวกันเ้าคะ”
วาจาที่เอ่ยออกมาทำเอาอวี๋หรูไห่ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งโต้แย้งอะไรไม่ได้ จึงไม่อาจทำตัวเป็ตระกูลตกอับที่ตระหนี่จนคิดจะเอาเงินส่วนตัวของเด็กผู้หญิงมาใช้ ยามนี้อวี๋เจียวคือแม่นางในจวนสกุลอวี๋ ทั้งยังอายุน้อยที่สุด ไม่มีเหตุผลใดที่นางต้องหาเลี้ยงบรรดาพี่ชาย อวี๋หรูไห่รู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งใดเรียกว่ายกก้อนหินทับเท้าตนเอง เพราะเกรงว่าจะทำให้อวี๋เจียวขุ่นเคือง เขาจึงไม่กล้าบีบบังคับให้อวี๋เจียวเอาเงินออกมา ทำได้เพียงปล่อยผ่านไปเท่านั้น
อวี๋เจียวหันไปเอาเงินให้สตรีแซ่ซ่งสองตำลึง ระยะนี้ให้นางไปซื้อเนื้อในตำบลบ่อยครั้งเพื่อปรับเปลี่ยนอาหารการกินในจวนให้ดีขึ้น ถึงแม้จวนสกุลอวี๋จะมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีกว่าสกุลอื่นๆ อยู่บ้าง แต่น้อยครั้งนักที่จะได้กินเนื้อ นางกำลังอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ไม่อยากทำให้ตนต้องลำบากนัก
ถึงแม้ว่าอวี๋ฉี่เจ๋อจะรูปร่างสูงโปร่ง ทว่าร่างกายยังคงผอมบางอย่างยิ่ง นางช่วยบำรุงรักษาร่างกายให้เขาไม่ใช่เพราะอยากรักษาโรคเท่านั้น แต่ยังอยากบำรุงร่างกายของเขาให้สุขภาพดี บุรุษควรมีร่างกายกำยำสักหน่อยจึงจะดี
สตรีแซ่ซ่งรับเงินของอวี๋เจียว นางจับจ่ายอย่างเต็มที่ เข้าไปซื้อเนื้อในตำบลอยู่เป็ประจำ ครั้นเห็นบนโต๊ะอาหารมีเนื้อสัตว์ทุกวัน แม้สตรีแซ่อวี๋โจวกับสตรีแซ่จ้าวจะบ่นสตรีแซ่ซ่งว่าสุรุ่ยสุร่าย แต่พวกนางก็ยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อยทุกมื้อ
ต้นเหยาเฉ่าที่ถูกอวี๋เจียวเลี้ยงไว้ในโถใส่น้ำอย่างทะนุถนอมนั้นเจริญเติบโตเป็อย่างดี ทุกห้าวันอวี๋เจียวจะเด็ดใบต้นเหยาเฉ่ามาหนึ่งใบเพื่อมาต้มยาให้อวี๋ฉี่เจ๋อ วันคืนผ่านพ้นไปอย่างสุขสงบ บางครั้งมีคนไข้มาขอรับการรักษา ทว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร เมื่ออวี๋เจียวจัดเทียบยาให้ ต่างก็หายดีในเวลาอันรวดเร็ว ผู้คนในหมู่บ้านต่างเปลี่ยนมาเรียกอวี๋เจียวว่าท่านหมอเมิ่ง
หลังจากฝนตกลงมาอีกหลายต่อหลายครั้ง ชั่วพริบตาเดียววันเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเดือนเจ็ด อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเล็กน้อย ผู้คนภายในหมู่บ้านต่างง่วนอยู่กับการเพาะปลูกข้าว
วันนี้อวี๋ฝูหลิงมาขอร้องอวี๋เจียวด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ท่านย่าสกุลเฉินร่างกายทรุดลงเป็อย่างมาก ไอเป็เืติดต่อกันหลายวัน เฉินโหรวมาร้องไห้อ้อนวอนข้า อยากให้เ้าไปช่วยตรวจดูสักหน่อย”
..........
เชิงอรรถ
[1] “ซูซาตันอี” (素纱禅衣) หรือเสื้อแพรปีกจั๊กจั่น คือเสื้อคลุมตัวเดียวทองจากเส้นด้ายไหมเรียบๆ เสื้อคลุมลักษณะนี้เป็การแต่งกายชาวจีนยุคแรก สันนิษฐานว่าเป็เสื้อคลุมชั้นนอกของเสื้อสตรี
