“ท่านลุงอวิ๋น ขอบคุณที่คอยดูแลข้าตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ ข้าเองก็ไม่ใช่คนไร้หัวจิตหัวใจและยังจำได้ทั้งหมด หากวันหน้าท่าน้าให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใด ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน แต่ว่าเื่วันนี้ทำให้ข้าไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเราสองแม่ลูกคงจะไม่รอดเสียแล้ว ขอให้ท่านลุงโปรดเข้าใจและสนับสนุนข้า และอนุญาตให้ข้ากลับบ้านเถอะ”
“แม่นางติง เ้ากำลังพูดถึงอะไรกัน มันเป็ความเข้าใจผิดกันจริงๆ คนผู้นั้น...เขาไม่ได้ตั้งใจ” ท่านลุงอวิ๋นรีบพูดเกลี้ยกล่อมติงเหว่ย แต่ท่านป้าหลี่ก็ยืนอยู่ข้างๆ และด้านหลังก็ยังมีคนในห้องครัวที่ได้ยินการเคลื่อนไหวนี้ ต่างพากันชะโงกศีรษะออกมาด้อมๆ มองๆ เขาจึงพูดอะไรไม่ได้มากและรู้สึกร้อนใจจนอยากจะกระทืบเท้า
โชคดีที่ป้าหลี่ยังพอมีไหวพริบอยู่บ้าง นางประคองติงเหว่ยไปข้างหน้าพร้อมเกลี้ยกล่อมอย่างคลุมเครือว่า “แม่นางติง มีเื่อะไรกันทำไมไม่นั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกันดีๆ เสียก่อนล่ะ ในท้องเ้ายังมีเด็กอยู่ตั้งหนึ่งคน คงไม่ดีหากเ้าจะโมโห เดี๋ยวป้าประคองเ้าไปนั่งที่ห้องรับแขกในสวนก่อน หากเ้าจะลาออกจริงๆ ก็ยังต้องคำนวณเื่ค่าแรงให้เสร็จก่อน จากนั้นค่อยมาหยิบกระเป๋าเถอะ ใช้เวลาแค่เพียงไม่นานเองจริงไหม?”
ขณะที่นางพูดอยู่ก็กึ่งลากกึ่งประคองติงเหว่ยไปที่ห้องรับแขกในสวนที่อยู่ไม่ไกล และในที่สุดนางก็ปิดประตูและถอยออกไปท่ามกลางสายตาชมเชยของท่านลุงอวิ๋น
เสี่ยวฝูจื่อไล่ตามมาแล้วถามด้วยเสียงแ่เบาว่า “ท่านแม่ พี่ติงเป็ยังไงบ้าง นางถูกนายท่านลงโทษอย่างนั้นหรือ?”
ท่านป้าหลี่รีบปิดปากลูกชายของนางแล้วตำหนิเบาๆ ว่า “เ้าปิดปากไว้ให้สนิทเลยนะ สิ่งใดที่ไม่ควรถามก็ไม่ต้องถามให้มากความ รีบๆ กลับไปกินข้าวได้แล้ว ตอนบ่ายยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ”
เสี่ยวฝูจื่อไม่ยอมแพ้ยังอยากจะพูดต่อ แต่กลับโดนท่านแม่ของเขาตบหัวไปหนึ่งที
ท่านป้าหลี่ดึงลูกชายของนางออกมาและในที่สุดก็หันไปมองห้องรับแขกเล็กๆ อย่างไม่ค่อยสบายใจ ครอบครัวของนางก็มีชีวิตที่ยากลำบาก หากไม่เป็เพราะวันก่อนบังเอิญได้เจอกับท่านลุงอวิ๋นที่มาหาซื้อบ่าวไพร่ในเมือง พวกเขาก็คงไม่ได้มีชีวิตดีๆ อย่างในตอนนี้ เมื่อเห็นผู้าุโอวิ๋นกำลังลำบากใจ ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องช่วยสักหน่อย แต่ก็รู้สึกผิดต่อแม่นางติงเช่นกัน
……
ติงเหว่ยนั่งอยู่ในห้องรับแขกเล็กๆ ในสวนดอกไม้ นางก้มหน้ามองลวดลายที่ปักอยู่บนเสื้อของนางโดยไม่พูดอะไร ท่านลุงอวิ๋นไม่รู้จะทำอย่างไรจึงรินชาแก้วหนึ่งและยัดใส่ในมือของนางด้วยตนเอง จากนั้นจึงขอร้องนางอย่างแ่เบาว่า “แม่นางติง เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็ความผิดของหลานชายข้าเอง เ้าอย่าถือสาหาความกันเลยนะ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ มิเช่นนั้นคงไม่ลงไม้ลงมือและทำลายข้าวของเช่นนี้ จนเกือบจะทำให้เ้าได้รับาเ็ ตอนนี้ข้าก็ให้คนไปตามท่านหมอในจวนมาอยู่ เดี๋ยวเขาจะมาตรวจชีพจรให้เ้าในทันที หากว่าเกิดเหตุร้ายอะไรสกุลอวิ๋นของเราจะไม่หลบเลี่ยงอย่างแน่นอน”
ติงเหว่ยเงยหน้าขึ้นมาและเห็นว่าใบหน้าของผู้าุโเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจริงๆ ไม่เหมือนแสร้งทำ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ ดังนั้นจึงพูดว่า “ท่านลุงอวิ๋น ไม่จำเป็ต้องไปเชิญท่านหมอมาหรอก เมื่อครู่ข้าเพียงแต่ถูกมุมโต๊ะชนนิดหน่อย ไม่ได้ถูกกระแทก น่าจะไม่เป็อะไร”
“อะไรนะ เ้าถูกขอบโต๊ะกระแทกเข้าอย่างนั้นหรือ!” ท่านลุงอวิ๋นใมาก ลุกขึ้นและรีบวิ่งไปที่หน้าประตูพลางะโเสียงดังว่า “รีบไปตามซานอีมาเร็วเข้า! ไปบอกเขาว่าหากช้าอีกเพียงแค่หนึ่งเค่อก็อย่าหวังว่าข้าจะให้สมุนไพรจางหลัวแก่เขาอีก!”
หลินลิ่วเดินมาถึงที่หน้าประตูพอดี เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดว่านายท่านของตนเกิดเหตุร้าย จึงรีบออกวิ่งอย่างสุดแรงทันที ผลปรากฏว่าไปชนเข้ากับซานอีที่กำลังสะพายกระเป๋าเข้ามาอย่างเร่งรีบพอดี
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างบน คนหนึ่งอยู่ข้างล่าง ราวกับกำลังแสดงเตี๋ยหลัวฮั่น [1] กันอยู่ คงไม่ต้องอธิบายว่าจะมีท่าทางที่แปลกประหลาดขนาดไหน ติงเหว่ยอดไม่ได้ที่จะแอบคิดในใจอย่างชั่วร้ายและหัวเราะดัง “คิกคิก” ออกมา
เมื่อท่านลุงอวิ๋นเห็นนางหัวเราะออกมาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่เขาตำหนิสองคนนั้นสองสามประโยคก็ไปหาหมอนผ้าดิ้น [2] ลายปักใบหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็ะโเรียกซานอีให้เข้ามาตรวจชีพจรให้แม่นางติงเหว่ย
ซานอีดูท่าทางอายุไม่เกิน 20 กว่าปี ปกติเขาอาศัยอยู่ในเรือนด้านหน้า ติงเหว่ยเองก็เคยพบหน้าเขาสองสามครั้งแล้ว นางได้ยินมาว่าเขาเอาแต่ค้นคว้าหาตำรับยาทั้งวัน เพื่อจะได้รักษาคุณชายอวิ๋นที่เ้าอารมณ์คนนั้นให้หายดี แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย วันนี้บางทีเขาคงมาที่นี่อย่างเร่งรีบ บนเสื้อแขนยาวของเขายังมีคราบของยาต้มสีน้ำตาลติดอยู่ บวกกับผมที่ยุ่งเหยิง และใบหน้าที่หมองคล้ำ รวมๆ แล้วดูทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ทักษะในการรักษาของเขาเห็นได้ชัดว่ามีฝีมือทีเดียว เขาวางสองนิ้วจับบนข้อมือของติงเหว่ยสักพักและพูดว่า “นางไม่มีอะไรผิดปกติ และไม่ส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ด้วย”
หลังจากพูดจบ เขาลุกขึ้นแล้วจะเดินจากไป ท่านลุงอวิ๋นโกรธมากจนกระชากคอเสื้อของเขาแล้วะโว่า “เ้าจะรีบไปไหน เด็กในครรภ์ของแม่นางติงเป็เช่นไรกันแน่ เติบโตอย่างสมบูรณ์หรือเปล่า? ต้องบำรุงร่างกายไหม หรือว่าต้องกินอันไทเย่า [3] สักหน่อยหรือไม่?”
“ไม่จำเป็!” ซานอีเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่นี้กำลังต้มยาอยู่ในหม้อ เขาจึงโบกมืออย่างรีบร้อนและพูดอย่างขอไปทีว่า “ขึ้นชื่อว่ายาย่อมมีพิษสามส่วน เด็กสุขภาพแข็งแรงดีจะให้กินยาอะไรกันล่ะ! ข้าขอตัวกลับก่อน หากมีเื่อะไรค่อยเรียกข้า”
หลังจากพูดจบ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงบิดตัวหลุดจากมือของท่านลุงอวิ๋นได้ในชั่วพริบตา ก่อนจะรีบเดินจากไปอย่างเร็ว
……
ท่านลุงอวิ๋นโกรธมากจนกระทืบเท้าและเหมือนอยากพูดอะไร ติงเหว่ยจึงไปดึงให้เขานั่งลงและปลอบว่า “ท่านลุงอวิ๋นอย่าเพิ่งร้อนใจไป ท่านหมอซานพูดถูกแล้ว ขึ้นชื่อว่ายาย่อมมีพิษสามส่วน ข้าเองก็ไม่อยากกินยาอะไร ท่านผู้าุโอย่าได้ร้อนใจไปเลย อีกอย่าง ข้ามีเื่ต้องไปจัดการที่บ้านนิดหน่อย คงต้องขอตัวกลับก่อน และสำหรับ่เวลาที่ผ่านมานี้…”
“ไม่ได้!” เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ฟังก็รู้สึกว่าติงเหว่ยยัง้าลาออกจึงตีหน้าเศร้าในทันที ในใจของเขาเต้นรัวไม่หยุด คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะใช้กลยุทธ์ตีหน้าเศร้า [4] เสียแล้ว
“ข้าเกรงว่าแม่นางติงยังคงโกรธหลานชายของข้าอยู่ แม่นางติงอาจไม่รู้ว่าที่เขาเ้าอารมณ์เป็เพราะภายในใจเขาเต็มไปด้วยความเ็ป” รอบดวงตาของท่านลุงอวิ๋นแดงก่ำ “หลานชายของข้าคนนี้ฉลาดเฉลียวั้แ่ตอนยังเล็ก เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ หน้าตาก็ดี ไม่ว่าใครพบใครเห็นต่างก็พากันชื่นชมว่าเขาเป็บุรุษที่เพียบพร้อม นอกจากนี้เขายังเป็คนที่กล้าหาญ ตรงไปตรงมาและยึดมั่นในความยุติธรรม มีมนุษยสัมพันธ์ดีและมีเพื่อนฝูงมากมาย เขาตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางไปให้ทั่วแผ่นดินซีเฮ่าเพื่อดููเาที่มีชื่อเสียงและแม่น้ำที่กว้างใหญ่ แต่น่าเสียดายที่เมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนที่มีา เขาเองก็ไปร่วมรบด้วย สุดท้ายชายแดนของซีเฮ่าถูกปกป้องเอาไว้ได้ แต่เขากลับตกหลุมพรางของคนชั่วบางคนทำให้ท่อนล่างเป็อัมพาต จากเดิมที่เคยเป็คนอารมณ์ดีก็กลายเป็คนอารมณ์ร้อนขึ้นมาก
ชายชราคนหนึ่งอย่างข้าก็หนักใจกับหลานชายคนนี้จริงๆ ทว่าั้แ่ที่เ้ามาทำงานที่จวนแห่งนี้ หลานชายของข้าก็กินอาหารได้มากขึ้น ยามที่ข้านอนหลับอยู่ก็ยังได้ยินเขาหัวเราะจนถึงกับต้องตื่นขึ้นมา หากว่าแม่นางไปแล้ว ข้า…เฮ้อ ชะตาชีวิตที่ยากลำบากคงได้ถูกกำหนดไว้แล้ว!”
ท่านลุงอวิ๋นพูดไปก็ปาดน้ำตาไป ตอนแรกยังมีส่วนหนึ่งที่เป็การแสดง แต่หลังจากที่ค่อยๆ นึกถึงนายน้อยที่เป็อัมพาตครึ่งท่อนอยู่ น้ำตาก็ไหลเอ่อออกมาไม่หยุด
ติงเหว่ยเองก็รู้สึกใจอ่อน นางทนไม่ได้เวลาที่เห็นเด็กและคนชราต้องทุกข์ทรมาน นางเห็นจากปลายสายตาว่าท่านผู้าุโร้องไห้จนน้ำตาอาบหน้า ปกติแล้วเขาก็ดูแลนางเป็อย่างดี ในขณะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองใจแคบเกินไปหรือไม่ ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนผู้ใดจะรับรองได้ว่าไม่ต้องรองรับอารมณ์ผู้ใด ในเมื่อรับเงินของเขามาย่อมมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ยิ่งไปกว่านั้นเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล…
“เอาเถอะ ท่านลุงอวิ๋นอย่าร้องไห้อีกเลย ข้า…เมื่อครู่ข้าเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน”
“แม่นางติงอย่าพูดเช่นนั้นเลย ล้วนเป็ความผิดหลานชายของข้าต่างหาก น่าสงสารที่เขากำลังอยู่ใน่วัยที่รุ่งโรจน์แต่กลับต้องใช้ชีวิตราวกับตายทั้งเป็ หากวันหนึ่งคนแก่อย่างข้าถึงคราวต้องไปพบเยี่ยนหวังเย่ [5] เขาตัวคนเดียวจะใช้ชีวิตเช่นไรกัน?” ท่านลุงอวิ๋นร้องไห้หนักขึ้นไปอีก ทั้งน้ำมูกและน้ำตาเลอะเต็มหน้าไปหมด
ติงเหว่ยยิ่งฟังก็ยิ่งปวดใจ สองมือของนางแตะลงบนหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้สิ่งเล็กๆ นี้จะมาอยู่ในท้องของนางเพียงไม่กี่เดือน นางเองยังคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา แล้วท่านลุงอวิ๋นต้องมาเห็นหลานชายที่ตนเองเลี้ยงดูมาั้แ่เล็กจนโตเป็เช่นนี้ ไม่รู้ว่าท่านลุงอวิ๋นจะเ็ปกับหลานชายของเขามากถึงเพียงไหน
“ท่านลุงอวิ๋น ท่านอย่าร้องไห้อีกเลย คนดี์ย่อมคุ้มครอง ในวันหน้าคุณชายจะต้องรักษาจนหายดีอย่างแน่นอน ข้า…เมื่อครู่ข้าเองก็หุนหันพลันแล่นไปหน่อย เดี๋ยวข้าจะไปคำนับขอโทษคุณชายเดี๋ยวนี้เลย”
“อา แม่นางติงจะไม่ไปแล้วใช่หรือไม่!” ท่านลุงอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมาทันที ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “ช่างเป็เื่ดีจริงๆ หากมีเ้าคอยช่วยดูแลอาหารการกิน คุณชาย…ไม่สิ หลานของข้าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อสักครู่เขาก็บอกว่าเขาผิดเองที่อารมณ์เสีย และยังจะให้ข้าพาเขามาขอโทษเ้าด้วย”
หลังจากได้ยินดังนั้น สีหน้าของติงเหว่ยเองก็ดีขึ้นมาก แม้ว่าคุณชายอวิ๋นจะอารมณ์รุนแรงไปหน่อย แต่ยังดีที่ยังพอมีเหตุผลอยู่บ้าง
“ใช่เ้าค่ะท่านลุงอวิ๋น ในห้องครัวยังมีวัตถุดิบอยู่อีกเล็กน้อย ข้าจะไปห่อเจี่ยวจืออีกรอบสักหน่อย ปล่อยให้คุณชายหิวคงจะไม่ดี”
“เยี่ยมเลย คงต้องลำบากแม่นางติงแล้ว”
ท่านลุงอวิ๋นส่งนางออกจากห้องรับแขกในสวน เมื่อเห็นว่านางเดินไปทางห้องครัวเล็กๆ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นึกไม่ถึงว่าหลินลิ่วที่ยืนอยู่มุมห้องมาตลอดจะเอ่ยปากถามว่า “ท่านลุงอวิ๋น แม่นางคนนี้ตกลงเป็ใครกันแน่? ท่านปฏิบัติต่อนางอย่างเกรงใจเกินไปหรือเปล่า?”
ท่านลุงอวิ๋นใจนสะดุ้ง เขาเดาว่าเหล่าองครักษ์เงาในจวนแห่งนี้คงจะเกิดความสงสัยเข้าเสียแล้ว ดังนั้นหลังจากที่คิดไปคิดมาเขาจึงตอบด้วยสีหน้าปกติว่า “จะว่าไป ่เวลาที่พวกเ้าเหล่ายอดฝีมือเฟิงฮั่วซานหลินทั้งสี่กลุ่มติดตามนายน้อยยังห่างไกลจากชายชราอย่างข้านัก พวกเราสกุลอวิ๋นเป็บ่าวรับใช้สกุลกงจื้อมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ไม่มีทางที่จะมีใจเป็สอง [6] ต่อให้ข้ามีเื่ปิดบังพวกเ้ากับนายน้อยจริงๆ ล้วนเป็เพราะหวังดีกับนายน้อยเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเื่นี้ วันหนึ่งพวกเ้าจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุทั้งหมดเอง แต่ว่าพวกเ้าจงจำไว้ แม่นางติงผู้นี้อยู่ในฐานะที่สำคัญอย่างมาก อย่าให้มีเื่ผิดพลาดใดๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยของนางโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นพวกเ้านั่นแหละจะได้รับโทษอย่างหนักที่สุด”
หลังจากที่ผู้าุโพูดจบ เขาก็หันหลังและเดินกลับไปที่เรือนด้านหลังโดยไม่รอให้หลินลิ่วพูดอะไรอีก...
ติงเหว่ยเป็คนมือไม้คล่องแคล่วว่องไว และเมื่อครู่ยังพอมีแป้งและไส้เหลืออยู่นิดหน่อย เดิมทีนางเตรียมเผื่อไว้ให้ท่านลุงอวิ๋นหนึ่งชุดเพื่อจะได้กินตอนสดๆ ใหม่ๆ แต่ตอนนี้คงทำได้เพียงส่งไปที่เรือนด้านหลังอีกครั้งหนึ่ง
เสี่ยวชิงไม่รู้เื่การทะเลาะกันเมื่อครู่ และเข้าใจไปว่านางยังมีเจี่ยวจืออีกสองสามชิ้น แต่เมื่อนางรู้ว่าจะต้องจัดใส่จานไปส่งที่เรือนด้านหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง ติงเหว่ยเห็นแล้วรู้สึกขบขัน ประจวบกับที่นางเองก็รู้สึกหิวนิดหน่อย จึงเอาแป้งชิ้นสุดท้ายมานวดและอบเป็ชงโหยวปิ่ง [7] สองสามแผ่นแล้วก็มีโจ๊กข้าวที่เพิ่งต้มเสร็จ ทั้งสองนางต่างก็กินอาหารกันอย่างมีความสุข
……
ณ เรือนหลังบ้าน กงจื้อิค่อยๆ กินเจี่ยวจือขาวนุ่มอย่างช้าๆ กลิ่นหอมของกุยช่ายที่สดใหม่หอมฟุ้งกระจายอยู่ในปาก ราวกับว่าเขาได้กลืนกินบรรยากาศแห่งความเป็อิสระและจิติญญาของฤดูใบไม้ผลิลงไปในท้อง ความรู้สึกไม่เหมือนกับเวลาที่ต้องมองผ่านหน้าต่าง ที่ได้แค่นั่งพิงอยู่ใต้เงามืดและเฝ้ามองพระอาทิตย์อย่างห่างไกลด้วยความเสียดาย และในขณะนั้นเองความสุขบางอย่างก็ค่อยๆ ฝังรากลึกลงไปในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว
ไม่แปลกใจเลยที่สตรีนางนั้นจะโกรธที่เขาทิ้งขว้างอาหารเหล่านี้โดยเปล่าประโยชน์ ช่างเป็เื่ที่ไม่สมควรทำเลยจริงๆ
“ท่านลุงอวิ๋น เจี่ยวจือพวกนี้รสชาติไม่เลวเลย ท่านลองชิมดูสิ!”
“ขอรับนายน้อย” ท่านลุงอวิ๋นตอบรับพร้อมยิ้มจนตายี เขาดีใจมากจนยกมือใช้ตะเกียบคีบเจี่ยวจือที่เหลืออยู่ทั้งหมดในจานไปใส่ไว้ในถ้วยของนายน้อย
กงจื้อิเริ่มรู้สึกอิ่มเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ดูแลบ้านาุโตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เขาคิดไปคิดมาแล้วจึงกินเข้าไปอีกครั้ง
ใบหน้าของท่านลุงอวิ๋นเบ่งบานราวกับดอกไม้ เขาลองถามอย่างไม่แน่ใจว่า “นายน้อย เวลานี้ครอบครัวเรากำลังขาดแคลนกำลังคน ส่วนสาวน้อยเซียงเซียงเองก็ เฮ้อ เป็เพราะบ่าวสอนนางไม่ดีเอง มิสู้ต่อไปให้แม่นางติงทำอาหารแล้วให้นางยกมาส่งด้วยตนเอง แม่นางคนนี้ทั้งฉลาดเฉลียวและมีฝีมือไม่เลว บางครั้งทำอาหารที่บ่าวเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน บ่าวเกรงว่าจะปรนนิบัตินายน้อยได้ไม่ดี…”
กงจื้อิเอนกายพิงที่หัวเตียงอีกครั้ง และหยิบหนังสือที่ยังอ่านไม่เสร็จขึ้นมา ผ่านไปพักใหญ่ในขณะที่ท่านลุงอวิ๋นเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายและเสียใจ เขากลับตอบมาประโยคหนึ่ง “เอาสิ เ้าจัดการตามสมควรเถอะ”
“ขอบพระคุณขอรับนายน้อย บ่าวจะไปแจ้งให้นางทราบทันที” ท่านลุงอวิ๋นดีใจเป็อย่างมากและรีบตอบรับพร้อมยกถาดออกไปที่เรือนด้านหน้า
ตอนนี้ติงเหว่ยกินอิ่มแล้วและนางก็เห็นว่าไม่มีอะไรทำจึงไปห้องครัวใหญ่เพื่อช่วยท่านป้าหลี่เตรียมเครื่องในหมู
ในชาติที่นางเคยอยู่มีพ่อค้าจำนวนมากขายหลู่เว่ย [8] จานเล็กๆ จานหนึ่งไม่เท่าไรก็หลายสิบหยวนแล้ว ช่างค้ากำไรเกินควรจริงๆ ความจริงแล้วหลู่เว่ยทำได้ง่ายมาก เคล็ดลับสำคัญอยู่ที่ขั้นตอนการปรุงวัตถุดิบในน้ำแกงหรือน้ำปรุงรสนั่นเอง
แม้ว่าวัตถุดิบในห้องครัวใหญ่จะไม่ประณีตและครบถ้วนเหมือนในห้องครัวเล็ก แต่เครื่องปรุงพื้นฐานก็ไม่ขาดตกบกพร่อง
-----------------------------------------
[1] เตี๋ยหลัวฮั่น 叠罗汉 หมายถึง การแสดงกายกรรมที่คนซ้อนกันเป็ชั้นๆ ทำเป็รูปแบบต่างๆ
[2] ผ้าดิ้น 锦缎 หมายถึง ผ้าที่ทอเนื้อละเอียดมีผิวเป็มัน
[3] อันไทเย่า 安胎药 หมายถึง ยาผดุงครรภ์ ช่วยให้ถุงน้ำคร่ำของทารกในครรภ์ยึดเกาะกับผนังมดลูกได้ดีขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการแท้งบุตร การคลอดก่อนกำหนด ฯลฯ
[4] กลยุทธ์ตีหน้าเศร้า 苦情牌 หมายถึง แสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงความน่าสงสาร หรือ ชะตากรรมอันโชคร้ายของตน ทำให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์บางอย่าง
[5] เยี่ยนหวังเย่ 阎王爷 หมายถึง ท่านพญายม
[6] ไม่เคยมีใจเป็สอง 从无二心 หมายถึง ซื่อสัตย์ต่อคนคนเดียว
[7] ชงโหยวปิ่ง 葱油饼 หมายถึง โรตีแผ่นไม่บางและไม่หนามาก ห่อด้วยน้ำมันและหอมเขียวสับ นวดให้เข้ากันแล้วเอามาทอดบนกระทะ จนกลายเป็แผ่นแบนๆ กรอบๆ
[8] หลู่เว่ย 卤味 หมายถึง การแปรรูปอาหารเบื้องต้น โดยการลวกวัตถุดิบในน้ำซุปหรือน้ำปรุงรสที่ผ่านกระบวนการปรุงอย่างดี โดยทั่วไปแบ่งออกเป็ 3 ประเภทคือ น้ำแดง 红卤, น้ำสีเหลือง 黄卤, น้ำสีขาว 白卤
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้