เพียงจ้องมองเปลวไฟวูบวาบในเตา ความง่วงงุนก็คืบคลานเข้ามา
แต่หลี่จิ่งหนานในผ้าห่มกลับอยู่ไม่สุข เห็นว่าหวาชิงเสวี่ยยังไม่หลับ จึงใช้ศอกสะกิดนาง “นี่ เล่านิทานให้ฟังหน่อย"
หวาชิงเสวี่ยยู่ปากเล็กน้อย “จะมีเื่เล่ามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร…”
สองสามวันมานี้ หลี่จิ่งหนานฝันร้ายในกลางดึก ตื่นขึ้นมาแล้วไม่กล้าหลับต่อ หวาชิงเสวี่ยจึงใจดีเล่านิทานเพื่อกล่อมให้เขาหลับ คิดไม่ถึงว่าเขาจะติดใจ
“เล่าเถอะ เล่าเถอะนะ เล่าเื่อะไรก็ได้”
ท่ามกลางแสงไฟอันสลัว เมื่อหวาชิงเสวี่ยเห็นดวงตาดำขลับของหลี่จิ่งหนานสะท้อนมาเป็ประกาย นางก็ใจอ่อนลง
“...ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าให้ฟังเื่หนึ่ง” หวาชิงเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ “แต่ว่า วันนี้เราจะไม่เล่านิทานแล้ว อย่างไรเสียเ้าก็เป็ถึงองค์รัชทายาท เช่นนั้นข้าเล่าเื่กฎของพาร์กินสันให้เ้าฟังดีกว่า”
หลี่จิ่งหนานกะพริบตาปริบๆ นอนตะแคงหันข้าง ไปทางหวาชิงเสวี่ยอย่างว่าง่าย
หวาชิงเสวี่ยรื้อฟื้นความรู้ในหัวพลางกล่าวว่า “กฎของพาร์กินสัน หรือโรคของขุนนาง หรือที่เรียกว่าโรคอัมพาตของหน่วยงาน สามารถอธิบายรายละเอียดของปรากฏการณ์นี้ได้ว่า…เมื่อคนไร้ความสามารถได้ตำแหน่งเป็ผู้นำ จะหลีกเลี่ยงหน่วยงานที่ซับซ้อนและบุคลากรที่มากเกินความจำเป็ไปไม่ได้ และเช่นเดียวกันก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการที่คนไร้ความสามารถจะได้อยู่ในตำแหน่งสูง ส่งผลให้ระบบของหน่วยงานทั้งหมดขยายตัวออกไปในทางที่เลวร้ายขึ้น...จมดิ่งลงในปลักโคลนที่ยากจะถอนตัว...”
เมื่อยามค่ำคืนเริ่มปกคลุม ภายในห้องเล็กๆ ที่ธรรมดาแต่อบอุ่น เหลืออยู่เพียงเสียงกระซิบอันแ่เบาของสตรี...
...
ค่ำคืนนี้ หวาชิงเสวี่ยฝันประหลาดนัก
นางฝันเห็นหลี่จิ่งหนาน
ไม่เหมือนตอนที่ชอบทำตัวเย่อหยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้านาง หลี่จิ่งหนานในความฝันดูอ่อนแอและไร้ที่พึ่ง เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายครึ่งตัว้าแนบไปกับเตียงขนาดใหญ่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
หวาชิงเสวี่ยเดินเข้าไปเพื่อปลอบเขา แต่นางเรียกเขาอยู่หลายครั้ง หลี่จิ่งหนานในความฝันกลับดูเหมือนไม่ได้ยินเสียงของนางเลย
หลี่จิ่งหนานร้องไห้พลางเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ลูกจะเชื่อฟังท่าน จะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์โกรธอีกแล้ว...เสด็จพ่อ ท่านต้องหายดีไวๆ นะ...”
หวาชิงเสวี่ยจึงได้เห็นว่ามีคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง—
เป็ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าซีดเซียว ถึงแม้เขาจะดูซีดเซียว แต่เครื่องแต่งกายและรูปโฉมนั้นกลับดูสง่างามอย่างยิ่ง แม้แต่เคราที่คางก็ถูกตกแต่งให้เงางาม
ในเมื่อหลี่จิ่งหนานเรียกเขาว่าเสด็จพ่อ เช่นนั้น เขาก็คือฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉี?
หวาชิงเสวี่ยมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะทรงป่วยหนักเป็อย่างยิ่ง พระปัสสาสะรวยริน แต่สีพระพักตร์กลับสงบนิ่งเป็อย่างยิ่ง ยามตรัสวาจาก็แฝงไปด้วยความสง่างามของผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือกว่าผู้อื่น
"...เจิ้น [1] ปกปักรักษาแคว้นต้าฉีมาสิบสี่ปี ทางเหนือมีชาวเหลียวกำลังคืบคลานเข้ามา ทางตะวันตกชาวหมานอี๋ก็คอยจับจ้องตาเป็มัน อีกทั้งทางตะวันออกยังมีโจรสลัดออกก่อกวน เจิ้นเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว...ทว่า เจิ้นจะไม่ยอมแพ้! มณฑลโม่โจวก็เสียไปแล้ว ูเาพานหลงนั่นก็อยู่ติดกับชายแดนของมณฑลโม่โจว หากชาวเหลียวค้นพบอาวุธนั้นเข้า! คิดถึงเื่นี้ทีไร!...แค่ก แค่กแค่กแค่ก!…”
“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ!” หลี่จิ่งหนานมีสีหน้าตื่นตระหนก เขายื่นมือเล็กๆ ออกไปลูบที่หน้าอกของฮ่องเต้อย่างเบามือ
เสียงไอของฮ่องเต้ค่อยๆ เงียบเสียงลง
“เสด็จพ่อไม่ต้องเป็ห่วง ลูกจะไปหาอาวุธนั้นมาให้ได้ จะไม่ยอมให้ชาวเหลียวค้นพบอาวุธนั้นได้เด็ดขาด!”
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้น กลับหัวเราะอย่างเศร้าสร้อย
“ลูกข้ากตัญญูยิ่งนัก เจิ้นปลื้มใจ...เพียงแต่เื่นี้กลับไม่ง่ายเลย เกรงว่าหากข่าวนี้แพร่ออกไป เจิ้นคงจะกลายเป็ตัวตลกของคนทั้งแผ่นดิน เจิ้นไม่กลัวที่จะเป็ตัวตลก เจิ้นกลัวแต่เพียงว่าจะกลายเป็คนบาปของคนรุ่นหลัง จิ่งหนานลูกพ่อ เ้าจงจำคำสั่งของพ่อไว้ให้ดี ูเาพานหลงมีอาวุธซึ่งเป็ประโยชน์ต่อแคว้นเราซ่อนอยู่ หากไม่ได้มัน ก็จงทำลายมันทิ้งเสีย! ห้ามให้อาวุธนี้ตกไปอยู่ในมือของชาวเหลียวเด็ดขาด!”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกรับพระบัญชา!...”
จากนั้น ฮ่องเต้ที่ชีพจรอ่อนลงทุกทีก็พูดเป็่ๆ ต่ออีกเล็กน้อย จิ่งหนานร้องไห้พลางพยักหน้า
หวาชิงเสวี่ยเห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ นางรู้ว่าฮ่องเต้กำลังสั่งเสีย หลี่จิ่งหนานน้อยก็คงรู้เช่นกัน…
ฮ่องเต้ที่อยู่บนเตียงพูดจบ กำลังก็อ่อนลงอย่างรวดเร็ว เปลือกตาปิดลงอย่างช้าๆ
หลี่จิ่งหนานยังคงร้องไห้อยู่ข้างเตียง บรรยากาศแห่งความโศกเศร้าปกคลุมไปทั่ว ภายในใจของหวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกหนักอึ้งไปด้วย
แต่ทันใดนั้น! ดวงตาของฮ่องเต้ก็เบิกกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว!
เขามองตรงมาที่หวาชิงเสวี่ย ด้วยดวงตาแวววาวเป็ประกาย! รูม่านตาเองก็ขยายใหญ่ขึ้น!
หวาชิงเสวี่ยใกับสายตาของฮ่องเต้ที่จ้องมองมา! แค่รู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นกำลังมองทะลุผ่านตัวนางไป! ใจของนางตื่นตระหนกอย่างสุดขีด!
ฟุ่บ!
หวาชิงเสวี่ยลืมตาขึ้น นางเห็นแสงอรุณสาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ใจของนางก็ผ่อนคลายลง จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
หลี่จิ่งหนานที่อยู่ข้างๆ กำลังหลับสนิท หวาชิงเสวี่ยไม่อยากปลุกเขา นางรู้สึกว่าเด็กวัยนี้การนอนหลับเป็สิ่งสำคัญ ทั้งช่วยในการเจริญเติบโตและยังช่วยพัฒนาสมอง
หวาชิงเสวี่ยลุกขึ้นมาเพิ่มไฟในเตาให้แรงขึ้น แล้วเติมถ่านเข้าไปอีก จากนั้นก็ยกกะละมังเสื้อผ้าออกไปอย่างเบามือ
เมื่อคืนหิมะตกอยู่ราวครึ่งค่อนคืน ตอนนี้ในลานปกคลุมด้วยชั้นหิมะหนาๆ สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า ดูสว่างจ้าเสียจนแสบตา
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเพราะอากาศแจ่มใส เมื่ออากาศดี เสื้อผ้าก็จะแห้งเร็วขึ้น
มือที่บวมแดงของนางแตกเป็รอยแยกหลายแห่ง เกิดอาการคันอย่างหนัก อีกทั้งพอััโดนก็ยิ่งเ็ป
หวาชิงเสวี่ยไม่มีเวลามาสนใจสิ่งอื่นใด นางตากผ้าพลางคิดถึงเื่ราวที่ตนเองประสบใน่นี้
ในฐานะคนที่สูญเสียความทรงจำ หากจะบอกว่าไม่สงสัยตัวตนของตัวเองเลยก็คงเป็ไปไม่ได้
ตอนที่หลี่จิ่งหนานพบนาง นางหมดสติอยู่บนเส้นทางเดินเขา สวมใส่เพียงชุดกระโปรงแขนสั้นบางๆ ตัวเดียว ซึ่งดูไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศเอาเสียเลย
แต่งกายเช่นนี้ วิ่งเข้าไปในป่าลึกยามฤดูหนาวก็ไม่ต่างอะไรกับการไปตายเปล่า
เพียงแต่นางจำไม่ได้เลยว่าตนเองเข้าไปในูเาเพราะเหตุใด จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองเข้าไปได้อย่างไร
ั้แ่เดือนที่ผ่านมา นางรักษาตัวจนหายดี จำเื่ราวต่างๆ ได้แบบขาดๆ หายๆ เป็่ๆ แต่ส่วนมากเป็เพียงภาพเลือนราง ไม่ชัดเจนนัก
สิ่งเดียวที่นางมั่นใจได้ก็คือ ที่ที่ตัวนางเคยอยู่มาก่อน ไม่เหมือนกับสถานที่ในตอนนี้แม้แต่น้อย
อย่างน้อยๆ เมื่ออยู่ที่นั่น เวลาที่นางอธิบายหลักการทางเคมีง่ายๆ จะไม่มีใครมองว่าเป็คำพูดเหลวไหล
บางทีถ้าความทรงจำกลับคืนมามากกว่านี้อีกสักหน่อย...
แค่มากขึ้นอีกสักหน่อย...ก็คงได้รู้ว่าเื่ราวทั้งหมดเป็อย่างไร...
...
วันนี้อากาศดี หวาชิงเสวี่ยไม่ต้องเสียเวลาตากเสื้อผ้าด้วยลมร้อน นางจึงตั้งใจจะออกไปลองเสี่ยงโชค
ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้ามาช่วยพวกเขาเมื่อใด นางจึงต้องคิดวิธีหาเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด และยังต้องดูแลองค์รัชทายาทวัยแปดขวบด้วย
หวาชิงเสวี่ยตากผ้าเสร็จแล้ว ก็ต้มโจ๊กง่ายๆ หม้อหนึ่งในห้อง จากนั้นก็คุยกับหลี่จิ่งหนานถึงแผนการของตน
นั่งกินนอนกินอยู่เฉยๆ ต่อไปคงไม่ดีแน่ ปัจจัยสี่ [2] ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน โดยเฉพาะในยามหนาวเหน็บเช่นนี้ที่จะเจ็บป่วยได้ง่าย การหาหมอเพื่อขอใบสั่งยาสมุนไพรก็ยิ่งต้องใช้เงิน
สรุปว่า ความเป็จริงตรงหน้าที่พวกเขาต้องเผชิญก็คือ เื่เงิน เงิน และเงิน!
งานใช้แรงซักผ้าไม่ใช่งานที่มั่นคง นางต้องออกไปลองหางานอื่นทำ
พอหลี่จิ่งหนานได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว “แต่ว่าสำเนียงของเ้าแปลกมาก…”
เขากลัวว่าหวาชิงเสวี่ยจะทำให้ชาวเหลียวสงสัย
หวาชิงเสวี่ยยักไหล่ “อย่างไรก็ดีกว่าให้เ้าออกไปแล้วกัน หากเ้าออกไปก็ทำได้แค่แสร้งเป็ใบ้”
หลี่จิ่งหนานพูดภาษากลางของแคว้นต้าฉีได้อย่างคล่องแคล่ว ฟังแล้วก็รู้ทันทีว่าเขามาจากเซิ่งจิงเมืองหลวงของแคว้นต้าฉี
เมื่อหวาชิงเสวี่ยพูดเช่นนี้ หลี่จิ่งหนานก็ไม่อาจคัดค้านได้อีก
เขาก้มหน้าลง พูดด้วยน้ำเสียงอึมครึมๆ “ถ้าอย่างนั้นเ้าก็ไปเถอะ…”
เด็กน้อยดูเหมือนจะยังรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
หวาชิงเสวี่ยคุ้นชินกับนิสัยเย่อหยิ่งของเขาแล้ว จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะรีบกลับมา”
นางเลียนแบบสตรีที่นี่ รวบผมลวกๆ แล้วโพกผ้าคลุมศีรษะ สวมเสื้อผ้าสีเทาโทรมๆ ให้ดูเหมือนหญิงชาวบ้านทั่วไป
หวาชิงเสวี่ยส่องเงาตัวเองที่สะท้อนในกะละมังน้ำ พอมั่นใจว่ารูปร่างหน้าตาของนางจะไม่ดึงดูดความสนใจของใคร ก็เดินออกจากเรือน
เมื่อมาถึงถนนสายหลัก หวาชิงเสวี่ยก็เดินตรงไปยังหอเฟิงเล่อ
เพราะงานซักผ้าก่อนหน้านี้ นางจึงได้รู้จักกับท่านป้าเหยียนที่เป็คนครัวของหอเฟิงเล่อ ท่านป้าเหยียนได้ยินว่าหวาชิงเสวี่ยทำบัญชีได้ จึงบอกนางด้วยความกระตือรือร้นว่า่นี้ที่ร้านกำลังมองหาผู้ช่วยที่สามารถทำบัญชีเป็
ที่หวาชิงเสวี่ยมาวันนี้ ก็เพื่อมาพบเ้าของร้านโดยเฉพาะ
ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาทานอาหาร ภายในร้านอาหารจึงไม่มีคน และเ้าของร้านก็กำลังนั่งคิดเลขอยู่ที่โต๊ะ
หวาชิงเสวี่ยเดินเข้าไปถามเสียงเบาว่า “ขอโทษเ้าค่ะ ได้ยินว่าที่นี่กำลังรับสมัครผู้ช่วย...”
“ไม่รับแล้ว” เ้าของร้านตอบปฏิเสธโดยไม่เงยหน้าขึ้น
หวาชิงเสวี่ยอึ้งไปชั่วขณะ “ไม่รับแล้วหรือเ้าคะ? ...เถ้าแก่ ข้าเขียนหนังสือและคิดเลขเป็ ถ้าไม่เชื่อท่านสามารถทดสอบข้าได้”
เ้าของร้านถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “แม่นางน้อย ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเ้านะ ข้าหวังดีกับเ้าต่างหาก งานผู้ช่วยนี้ เ้าทำไม่ไหวหรอก”
หวาชิงเสวี่ยยิ่งงุนงง
หวังดีกับนาง? ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปเลย…
เ้าของร้านไม่สนใจนางอีก เหลือบมองออกไปด้านนอก ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ...บ้านเมืองทุกวันนี้...”
หวาชิงเสวี่ยมองออกไปข้างนอก เห็นทหารเหลียวสองนายกำลังลากเด็กหญิงคนหนึ่งไป โดยมีชายชราผมขาวคนหนึ่งวิ่งตามไปอ้อนวอน
เด็กหญิงคนนั้นอายุเพียงแค่สิบสองหรือสิบสามปี บนใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก ในดวงตาของนางฉายแววหวาดกลัวสุดขีด แม้แต่จะกรีดร้องยังไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ บนใบหน้าของนางมีรอยฝ่ามือปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ราวกับเป็ตุ๊กตาไร้ิญญาที่ถูกทหารเหลียวลากไปข้างหน้า
ชายชราผมขาวยื้อยุดอยู่กับทหารเหลียว ก่อนจะถูกทหารที่เป็หนึ่งในนั้นผลักล้มลง ในขณะนั้นมีชายหนุ่มร่างกำยำเดินออกมาจากข้างถนน เขาช่วยพยุงชายชราจากพื้น แต่กลับถูกทหารเหลียวแทงจากข้างหลังทะลุถึงท้อง!
เืสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าของชายชรา เมื่อทหารเหลียวดึงดาบออก บางอย่างสีขาวๆ แดงๆ ก็หลุดออกมาจากร่างของชายหนุ่มคนนั้นด้วย
ชายชราใกลัวจนตัวสั่น ทหารเหลียวทั้งสองนายยืนหัวเราะคิกคักและะโด่าทออยู่บนถนนพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครบนถนนกล้าพูดอะไร ก็ลากเด็กหญิงคนนั้นจากไปด้วยท่าทางอวดเบ่ง
ถนนทั้งสายเงียบเชียบราวกับสุสาน
หวาชิงเสวี่ยกลั้นหายใจมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดั้แ่ต้นจนจบ...
นางเม้มริมฝีปากแน่น พยายามควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นเทาเกินไป
นางรู้ว่าตัวเองเห็นอะไร! และรู้ด้วยว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้! ทั้งศีรษะของนางชาไปหมด ราวกับโดนอะไรบางอย่างทุบอย่างแรง!
ความรู้ความเข้าใจของนาง เมื่อมาอยู่ในโลกใบนี้ ล้วนกลายเป็เพียงเื่น่าขันไปเสียแล้ว!
ไม่ว่ากฎหมาย หรือสิทธิมนุษยชน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็เพียงเื่น่าขัน!
แต่เพราะเหตุใด ทำไม์ถึงส่งนางมาที่นี่?
ที่นี่ไม่ใช่โลกของนาง!
มือข้างหนึ่งยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ถือไว้เข้ามาหา หวาชิงเสวี่ยมองไปที่มันด้วยอาการเหม่อลอย
เ้าของร้านยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือของนาง “อย่าร้องไห้เลย กลับไปเถอะ ต่อไปนี้พยายามอย่าออกมาข้างนอก ข้าจะให้หรงเซิงไปรับเสื้อผ้าเอง”
นางร้องไห้อย่างนั้นหรือ?
หวาชิงเสวี่ยเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง และเป็อย่างที่คิด ใบหน้าของนางเปียกไปหมด นางอยากจะยิ้มขอบคุณเ้าของร้าน แต่กลับยิ้มไม่ออกสักนิด นางคิดว่าสีหน้าของตนเองในตอนนี้คงจะดูไม่ได้แล้วเป็แน่…
—————————————————————————————————
[1]เจิ้น (朕)คำเรียกแทนตัวเองของฮ่องเต้
[2]ปัจจัยสี่(衣食住行)หมายถึง สิ่งที่จำเป็ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ประกอบด้วย เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง