บนถนนใหญ่ที่แห้งแล้ง มีม้าวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้านหลังของมันมีเงาคนอยู่สองเงานั่งเคียงคู่กัน เงาหนึ่งเป็เด็กหนุ่มที่หล่อเหลาและอีกเงาก็เป็เด็กสาวผู้งดงาม แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงนั้น ไม่ใช่ความสวยงามของพวกเขา แต่เป็ลมปราณที่แข็งแกร่งซึ่งแพร่กระจายออกมาจากร่างของพวกเขาต่างหาก
และพวกเขาทั้งสองคนก็คือหลินเฟิงกับเมิ่งฉิงนั่นเอง พวกเขาทั้งสองคนต่างขี่ม้าตัวเดียวกัน เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
แต่เื่นี้ก็ไม่ได้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเลยสักนิด ด้วยความเร็วที่ม้าวิ่งทำให้ลมเย็นๆ ตีหน้าเขาไม่หยุด จนทำให้ผมของเขาปลิวไปตามลมและเสื้อผ้าก็โบกสะบัดอย่างรุนแรง
ซึ่งสิ่งที่น่าสังเวชที่สุดก็คือ หลินเฟิงเกือบจะหล่นลงจากหลังม้าเพราะแรงลม เนื่องจากตอนนี้เขายืนอยู่บนหลังม้าท้าทายลมหนาวที่พัดโบกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มือข้างหนึ่งของเขาแตะไปที่ไหล่ของเมิ่งฉิงเพื่อประคองร่างให้มั่นคง
“ถ้าข้ายังไม่ได้ทะลวงสู่ขอบเขตแห่งจิติญญา และมีท่าร่างที่อ่อนแอ เกรงว่าคงไม่อาจประคองร่างได้มั่นคงเช่นนี้ และตกจากหลังม้าไปนานแล้ว”
เดิมทีหลินเฟิงผู้น่าสงสารคิดว่าเมิ่งฉิงยังไม่เคยออกมาจากหุบเขาเฮยเฟิง และไม่รู้จักโลกกว้าง ดังนั้นนางอาจจะซื่อๆ ใสๆ ซึ่งผลที่ได้ก็คือความหวาดเสียวของเขาในตอนนี้ ถึงแม้ว่าเมิ่งฉิงจะไม่รู้จักโลกภายนอก แต่นางก็เป็คนที่ฉลาดมาก
หลังจากที่ขี่ม้าได้อย่างมั่นคง เมิ่งฉิงก็หันหน้ากลับมามองหลินเฟิงที่มีรอยยิ้มขมขื่นอยู่บนใบหน้า ในดวงตากระจ่างใสคู่นี้ปรากฏร่องรอยขำขันขึ้นมา
แม้ว่าจะเป็เพียงร่องรอยขำขันในดวงตา แต่ก็ทำให้โลกราวกับสูญเสียสีสันที่งดงามไป
“เป็รอยยิ้มที่มีเสน่ห์จริงๆ” หลินเฟิงคิดในใจอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะพบเมิ่งฉิง ตัวเขาเองก็ไม่เคยกล้าคิดว่าจะมีผู้หญิงที่สวยงามเช่นนี้อยู่บนโลกด้วย ตอนนี้หลินเฟิงเพิ่งจะเข้าใจคำว่า ‘งามล่มเมือง’ ก็ตอนนี้
“เ้าอยากจะนั่งไหม?” ไม่นาน เมิ่งฉิงก็ค่อยๆ กลับมาเงียบขรึมเช่นเคย ราวกับว่าไม่มีเื่อะไรจะมาสั่นคลอนความรู้สึกของนางได้
“อยาก” หลินเฟิงพยักหน้าจนหัวแทบหลุด ดวงตาใสสะอาดเผยให้ร่องรอยของความซื่อสัตย์และจริงใจ ซึ่งเป็นิสัยของเขา
โลกนี้ขุ่นมัวเกินไป เส้นทางของผู้ที่แข็งแกร่งย่อมเต็มไปด้วยกลอุบายที่ชั่วร้ายและชโลมไปด้วยเื ดังนั้นความจริงใจเหล่านี้จึงถูกซุกไว้ในมุมเล็กๆ ของจิตใจ
ไม่ว่าใครหากถูกความจริงอันแสนโหดร้ายบีบบังคับ ความเมตตาและจิตใจที่บริสุทธิ์ก็จะค่อยๆ ถูกกัดเซาะจนพังทลายลงไป
“เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าโลภภายนอกเป็อย่างไร ถ้าหากเ้าทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นได้ บางทีข้าอาจจะรับไว้พิจารณา”
ดวงตาของเมิ่งฉิงพราวระยับขึ้นมา ขณะที่ยื่นข้อเสนอแบบข่มขู่หลินเฟิงออกมา ทำให้หลินเฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเอ็นดู
“โลกภายนอก?”
ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะผ่านความจริงอันแสนโหดร้ายมาหลายครั้ง แต่ในความเป็จริงแล้ว เขาก็เพิ่งมาอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน และยังเรียนรู้เื่ราวต่างๆ ไม่มากพอ ดังนั้นการจะหาเื่อะไรที่เกี่ยวข้องกับโลกนี้มาสั่นคลอนจิตใจของเมิ่งฉิงนั้น คงเป็ไปได้ยาก
ทันใดนั้นเองหลินเฟิงก็นึกบางอย่างขึ้นมา เขาถามเมิ่งฉิงด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเล่าเื่ราวเกี่ยวกับบ้านเกิดของข้าให้เ้าฟังได้ไหม?”
“ได้” เมิ่งฉิงพยักหน้า
“ที่บ้านเกิดของข้าเคยมีปีศาจอายุหนึ่งพันปีอยู่ตนหนึ่ง นางนั้นแข็งแกร่งและร้ายกาจเป็อย่างมาก นางชื่อว่า ไป๋ซู่เจิน...”
น้ำเสียงของหลินเฟิงดูเอื่อยๆ เขานำนิทานโบราณของโลกก่อนมาดัดแปลง และเพิ่มองค์ประกอบของทวีปเก้า์เข้าไปด้วย หลินเฟิงเล่าเื่ไป๋ซู่เจินกับฉู่เซียน ตามมาด้วยเหลียงซานป๋อกับจูยิงถายจากเื่คู่รักผีเสื้อ ต่อมาก็เมิ่งเจียงหนี่ว์ร้องไห้ทลายกำแพงเมืองจีน ทุกเื่ต่างเป็นิทานรักโบราณที่มีชื่อเสียง
หลินเฟิงไม่รอให้เมิ่งฉิงพูด เขาได้นั่งลงบนหลังม้าระหว่างทาง ขณะที่เล่านิทานเื่ต่างๆ
เมื่อเมิ่งฉิงได้ฟังนิทานเหล่านี้ก็รู้สึกหลงใหลเป็อย่างมาก จนลืมเื่ที่หลินเฟิงนั่งอยู่ด้านหลังของนาง มือหนาทั้งสองข้างวางที่ไหล่ของนางขณะประคองร่างตัวเองให้นั่งลง เมื่อนั่งลงแล้วก็ดึงบังเหียนมากุมไว้เอง
“จบแล้ว” เมื่อหลินเฟิงเล่าเื่สุดท้ายจบลง เขาก็หยุดเล่า
ทันใดนั้นเมิ่งฉิงก็หันหน้าไปข้างหลัง หน้าของนางกับหลินเฟิงห่างกันไม่ถึง 1 เิเเสียด้วยซ้ำ
เมื่อหลินเฟิงเห็นใบหน้าของเมิ่งฉิงอย่างใกล้ชิด หัวใจของเขาก็พลันเต้นระรัว ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดก็คือการจูบนาง เมิ่งฉิงมีเสน่ห์ดึงดูดเกินไปแล้ว
“ดูเหมือนว่าหัวใจของข้ายังไม่หนักแน่นพอ”
หลินเฟิงคิดในใจอย่างเงียบๆ เมื่อได้อยู่ใกล้กับเมิ่งฉิง เขาก็ไม่อาจรักษาความสงบเยือกเย็นในใจของตัวเองได้
หลิงเฟิงค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเองมาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อได้อยู่ใกล้กับสาวงามอย่างเมิ่งฉิง มีเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่สามารถรักษาความสงบของจิตใจยามที่อยู่ใกล้นางได้ นั่นก็คือนักบวช และไม่แน่ว่าบางทีหากเป็นักรบโง่เง่าทึมทื่อก็อาจจะทำได้ แต่หลินเฟิงคงไม่ใช่นักรบประเภทนั้นอย่างแน่นอน
ดวงตาของเมิ่งฉิงฉายแววแปลกใจ แล้วถามหลินเฟิงว่า “จบแล้ว?”
“ใช่” หลินเฟิงพยักหน้า
“เมื่อเ้าเล่าจบแล้ว ทำไมถึงยังนั่งอยู่ล่ะ? อีกอย่าง ข้ายังไม่ได้อนุญาตให้เ้านั่งสักหน่อย” เมิ่งฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส ซึ่งขัดกับดวงตาพราวระยับคู่นั้น
“เอ่อ…”
หลินเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “เอาล่ะ งั้นข้าจะเล่าต่อ”
“อืม…” น้ำเสียงของเมิ่งฉิงยังคงเฉยชาเหมือนเดิม นางหันหน้ากลับไปโดยไม่พูดอะไร
“…”
หลินเฟิงอ้าปากค้าง ยัยปีศาจน้อย!... ช่างเ้าเล่ห์จริงๆ หากไม่เล่าก็ไม่ต้องนั่ง ม้าตัวนี้เป็ของเ้าั้แ่เมื่อไร?
“กุบกับ กุบกับ กุบกับ!”
ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นไหว เสียงเกือกม้าก็ลอยเข้ามา
ดวงตาของหลินเฟิงฉายแววสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะจ้องไปยังกลุ่มฝุ่นที่คลุ้งไปทั่วบริเวณ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเองไปไกล และเสียงเกือกม้าวิ่งก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ไม่นานก็มีม้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาในสายตาของหลินเฟิง พวกเขาห้อตะบึงม้าวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมิ่งฉิงแย่งบังเหียนจากมือของหลินเฟิง เพื่อบังคับม้าให้หลบข้างทาง ในตอนนั้นเหล่าม้าหุ้มเกราะก็วิ่งผ่านหน้าพวกเขาไป ผู้นำของกลุ่มปรายตามองหลินเฟิงกับเมิ่งฉิงเพียงแวบเดียวแล้วไม่สนใจอีก พวกเขาเร่งม้าให้ห้อตะบึงไปข้างหน้า
“โจร?”
หลินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจออกมา คนเหล่านี้ดูเหมือนทหารม้าหุ้มเกราะที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็อย่างดีแล้วมากกว่า แม้แต่บนถนนใหญ่ที่แห้งแล้งแบบนี้ พวกเขาก็ยังคงรักษาระเบียบไว้ไม่มีแตกแถว และที่สำคัญยังวิ่งเป็รูปขบวนอีกด้วย
นอกจากนี้ ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขาก็ดูแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะวิ่งผ่านหน้าไปไกลแล้ว แต่หลินเฟิงก็ยังรู้สึกได้ถึงลมปราณที่รุนแรงจากทางด้านหน้าอยู่ดี
แต่อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่กลับดูมอมแมมและสกปรกเป็อย่างมาก อีกทั้งผมของพวกเขาก็ดูยุ่งเหยิง คนกลุ่มนี้ดูเหมือนโจรก่อนหน้านั้นไม่มีผิด
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า คนเหล่านี้ดูคล้ายกับโจรกลุ่มนั้น?”
เมิ่งฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกับหลินเฟิง ขณะที่เอ่ยปากถามออกมา
หลินเฟิงขมวดคิ้วแน่น ขณะที่ความคิดมากมายไหลผ่านอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก ดวงตาของหลินเฟิงก็ฉายแววเฉียบคมออกมา ราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว
“พวกมันเป็พวกเดียวกัน!”
ดวงตาของหลินเฟิงฉายแววเ็า ขณะที่พูดว่า “เมิ่งฉิง กลับไปเร็วเข้า!”
“ได้”
เมิ่งฉิงดึงบังเหียนให้ม้าหมุนกลับ แล้วกระตุ้นม้าให้วิ่งห้อเหยียดกลับไปทางเก่าอย่างรวดเร็ว
…
ขบวนรถม้าของต้วนเฟิงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ล้อรถกลิ้งหลุนๆ ทิ้งรอยไว้เป็ทางยาวบนถนน
ระยะทางระหว่างเมืองหลวงกับเมืองหยุนหยางยังยาวไกลนัก ดังนั้นขบวนรถม้าของต้วนเฟิงจึงต้องเร่งความเร็วขึ้นอีก แต่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้
“หยุด!”
ในตอนนั้นเอง ลุงหวังก็โบกมือให้รถม้าหยุด
แม้ว่าลุงหวังจะอ่อนแอ แต่ทว่าก็ติดตามรับใช้ตระกูลมาั้แ่สมัยรุ่นปู่ของต้วนเฟิง ดังนั้นทุกคนในตระกูลจึงให้ความเคารพเขา เฉกเช่นเดียวกับเคารพผู้าุโของตระกูล โดยเฉพาะหลังจากที่บิดาของต้วนเฟิงป่วยตาย เื่ราวทุกอย่างในตระกูลก็เป็ลุงหวังที่จัดการ ดังนั้นสถานะของลุงหวังในคฤหาสน์ของเขาจึงสูงมาก
ด้วยเหตุนี้ลุงหวังจึงกล้าเพิกเฉยต่อการคัดค้านของต้วนเฟิง และยืนยันที่จะขับไล่หลินเฟิงออกไป นอกจากต้วนเฟิงกับจิ้งหยุนแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครคัดค้าน
ในตอนนั้นเอง ลุงหวังก็สังเกตเห็นฝุ่นสีเหลืองที่ปลิวมาจากทางด้านหน้า และแผ่นดินที่สั่นไหว
คนอื่นๆ เองก็ััได้ถึงเหตุการณ์แปลกๆ นี่ ดังนั้นในใจจึงตึงเครียดขึ้นมา ดวงตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปที่ด้านหน้า
ไม่นานก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของพวกเขา ทำให้ม่านตาของแต่ละคนหดเล็กลง
กลุ่มโจร…
โชคดีของพวกเขาดูเหมือนจะหมดลงแล้ว!
“หวังว่าโจรเหล่านี้จะไม่แข็งแกร่งเท่ากลุ่มก่อนหน้านี้”
พวกเขาแอบภาวนาในใจว่า ขอให้โจรกลุ่มนี้ไม่แข็งแกร่งเท่ากลุ่มโจรก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหัวหน้าโจร อย่าได้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาเลย เพราะตอนนี้ไม่มีหลินเฟิงอยู่ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจว่าตัวเองจะถูกฆ่าหรือไม่
เมื่อคิดถึงหลินเฟิง หัวใจของพวกเขาก็พลันสั่นไหวขึ้นมา ลุงหวังกล่าวหาว่าหลินเฟิงเป็สายลับของอ๋องเทียนหลาง แต่ตอนนี้หลินเฟิงไม่อยู่แล้ว ทั้งยังมีโจรปรากฏตัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดกันแน่?
แต่สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือพวกเขาปรารถนาที่จะให้หลินเฟิงอยู่ที่นี่ ต่อให้เขาเป็สายลับ แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากนายน้อยและสามารถคุ้มครองนายน้อยได้ นอกจากนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าเป้าหมายของกลุ่มโจรอย่างแน่ชัดเลย ว่า้าอะไร
ผู้นำของกลุ่มโจรชักดาบออกมา แสงสะท้อนจากคมดาบสว่างวูบวาบ
“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าปล่อยให้ใครรอดไปได้”
ผู้นำกลุ่มกล่าวอย่างเ็า พร้อมจิตสังหารที่ทะลักออกมา
“ตูม!!!”
พื้นดินสั่นะเือย่างรุนแรง ดาบในมือของกลุ่มโจรชูขึ้น ขณะที่พุ่งเข้ามา ลมปราณอันเยือกเย็นได้เข้าปกคลุมขบวนรถม้า
“ปกป้องนายน้อย!”
ลุงหวังะโเสียงดัง ฉับพลันเหล่าองค์รักษ์ก็พากันมาขวางหน้ารถม้าไว้ แล้วปลดปล่อยจิติญญาของตัวเองออกมา
“ตาย!”
หนึ่งในกลุ่มโจรกวัดแกว่งดาบในมือแล้วฟันไปด้านหน้า เืสายหนึ่งพุ่งกระฉูดออกมา พร้อมกับหัวที่กระเด็นอยู่ในอากาศ
ทุกๆ ที่ที่กลุ่มโจรวิ่งผ่านไปก็มีเืพุ่งกระฉูดขึ้นสู่ท้องฟ้าประหนึ่งน้ำพุ หลายๆ ร่างกลายเป็ศพไร้หัวแล้วล้มลงไปนอนกองที่พื้น
ฉากที่โหดร้ายดังกล่าวทำให้บรรยากาศพลันเงียบสงบขึ้นมา ดาบในมือของเหล่าโจรเปื้อนไปด้วยโลหิตของพวกพ้อง
เพียงการบุกโจมตีแค่ครั้งเดียว องครักษ์นับสิบคนก็พลันถูกสังหารลงในชั่วพริบตา นี่คือการสังหารโหดเพียงฝ่ายเดียว!!!
ส่วนคนที่รอดชีวิตก็ตัวสั่นเทา ความกลัวที่ไร้ขอบเขตเริ่มรุกรานเข้ามาในจิตใจของพวกเขา โจรกลุ่มนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่ากลุ่มก่อนหน้านี้เสียอีก พวกเขาไม่มีทางต่อกรกับอีกฝ่ายได้!!!
เป็ไปได้ว่าพวกเขาอาจจะต้องตายในสภาพเดียวกัน จะต้องถูกตัดศีรษะและทิ้งศพไว้ให้เน่าเปื่อย?
“หลินเฟิง!”
ทันใดนั้น คนที่รอดชีวิตก็นึกถึงบุคคลหนึ่งขึ้นมาพร้อมกัน
น่าเสียดาย ในตอนที่หลินเฟิงถูกลุงหวังขับไล่ พวกเขากลับไม่มีใครลุกขึ้นมาคัดค้านเลยสักคน!!!
