แต่ความโกรธก็ยังไม่หายไปจากแววตาของเหยียนจิ่งจื้อเขายืดตัวลุกขึ้นแล้วคว้าเสื้อนอกของตัวเองก่อนจะเดินออกไปด้านนอกทีละก้าว ในใจก็คิดถึงความเป็ไปได้มากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็แบบไหนก็ไกลเกินจริงอีกทั้งยังยากที่จะเชื่อ
“จิ่งจื้อ นายเพิ่งจะมาเอง ทำไมถึงจะไปแล้วล่ะ?” เหยียนจิ่งเสินเดินออกมาเรียกเขาไว้ “พี่สะใภ้นายทำกับข้าวเอาไว้แล้ว กินเสร็จแล้วค่อยกลับเถอะ”
หลินหมั่นซินผู้เป็ภรรยาก็ตามออกมา “ใช่แล้วจิ่งจื้อ มีกระดูกหมูที่นายชอบด้วยนะ”
จิ่งจื้อไม่ได้หันหัวกลับไป มีผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ตอนนี้ยังมีเด็กที่เหมือนเขาถึงเจ็ดส่วนอีก เขาจะไปมีอารมณ์กินข้าวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ระหว่างเดินไปที่รถ เขาก็โทรศัพท์หาหานอวี้จือไปด้วย พร้อมกับถามว่า “เป็ไปได้ไหมว่าฉันจะมีลูกชายแต่ฉันไม่รู้ตัว?”
หานอวี้จือก็หัวเราะเสียงดังลั่น “มีๆๆๆ เื่นี้มีความเป็ไปได้มากเลย”
“พูดดีๆ ฉันไม่ได้มาล้อเล่นกับนายนะ” ตอนนี้น้ำเสียงของเหยียนจิ่งจื้อเคร่งขรึมมาก มีเื่แบบนี้เกิดขึ้น มันก็เหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทจะเจอกับปัญหาเข้าแล้ว หานอวี้จือจึงล้อเล่นไม่ออก เขากระแอมออกมาทีหนึ่ง “พูดกันตามหลักการแพทย์แล้ว มีความเป็ไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือนายเคยบริจาคสเปิร์มเอาไว้ สองนายเคยบริจาคร่างกาย”
เหยียนจิ่งจื้อปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว “แต่ว่าฉันสูญเสียความจำไป่หนึ่ง ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเคยบริจาคอะไรเอาไว้”
“ความจริงแล้วนะ” หานอวี้จือออกความเห็น “ฉันกับนายก็มารู้จักกันทีหลัง ไม่รู้ว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของนายเป็อย่างไร แต่ว่าฉันยังคิดว่าเื่บริจาคร่างกายมีความเป็ไปได้สูงมาก”
เหยียนจิ่งจื้อวางสาย เขาไม่อยากได้การคาดเดาอะไรทั้งนั้น เขาอยากใช้ความจริง เื่แบบนี้มาใช้การคาดเดา...แม้แต่ตัวเองเดาเองก็ยังกลัวเลย
เหยียนจิ่งจื้อขับรถไปยังบ้านของเจินเนี้ยน ในตอนที่ยืนกดออดอยู่หน้าประตูก็คิดอะไรไปมากมาย พูดกันตามจริงบ้านหลังนี้เขาก็เป็คนซื้อ ตอนนั้นหลังจากที่เสียความทรงจำไปสิ่งแรกที่ลืมตามาเห็นก็คือเจินเนี้ยน เจินเนี้ยนบอกว่าเป็แฟนของเขามานานหลายปีแล้ว ในตอนแรกเขาก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ต่อมาเสื้อผ้าที่เธอใส่ นิสัย ตรงกับผู้หญิงที่อยู่ในความฝันจึงเริ่มรักและเอาใจเธอ อยากได้อะไรก็ให้
แต่ว่ามันขาดอะไรไปนะ? เขารู้สึกว่าั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ไม่สามารถสนิทสนมจนไร้ช่องว่างได้ ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ไปถึงขั้นมีกันและกันในชีวิตได้
ตอนที่เจินเนี้ยนมาเปิดประตูก็ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ต่อมาก็เปลี่ยนมาทำเหนียมอายกล่าวโทษเขาว่าจะมาทำไมไม่บอกสักคำ เธอลูบผมและเสื้อผ้าที่เรียบร้อยของตน “ทำให้คุณต้องมาเห็นสภาพแย่ๆ ของฉันแล้ว” ก่อนจะยกมือขึ้นมาลากเขาเข้ามาในบ้าน
วันนี้เจินเนี้ยนต้อนรับดีมาก หลังจากปิดประตูก็เริ่มพุ่งเข้าไปจูบจิ่งจื้อก่อน คว้าเนคไทของเขาแล้วดึงลงมาเริ่มจูบั้แ่คาง ก่อนจะค่อยๆ ไล่จูบขึ้นไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ััเข้าที่ริมฝีปากเบาๆ อยู่หลายครั้ง รอการตอบกลับของเขา แต่ว่ารออยู่หลายวินาทีเหยียนจิ่งจื้อก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เธอถึงเริ่มเงยหน้าขึ้นไปมองตาเขาตรงๆ “จิ่งจื้อ เป็อะไรไปคะ?”
“ไม่มีอะไร” เหยียนจิ่งจื้อจับหลังมือของเธอขึ้นมาอย่างขอโทษก่อนจะจูบลงไปตามมารยาท จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะมองไปรอบๆ บ้าน ในตอนที่นั่งลงที่โซฟาจึงเอ่ยปากถามขึ้น “เสี่ยวเนี้ยน พวกเรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว”
แววตาของเจินเนี้ยนเปล่งประกายขึ้น “ถ้าไม่นับวันเวลาที่คุณสูญเสียความทรงจำไป ก็ใกล้จะหนึ่งปีแล้ว”
“ทำไมไม่นับเข้าไปด้วยล่ะ” แววตาของเหยียนจิ่งจื้อเปลี่ยนไปเป็ลึกล้ำจนยากจะคาดเดา
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นก็นับเข้าไปด้วยเลยแล้วกัน พวกเราคบกันมาได้เจ็ดปีแล้ว” หลังจากเจินเนี้ยนพูดจบก็มานั่งข้างกายเขาแล้วพิงตัวเขาเบาๆ
เธอมักจะเป็แบบนี้ ยอมเขามากไป แต่ก่อนเขาว่าตัวเองคิดมากไป แต่ตอนนี้รู้สึกชัดเจนมากว่าเธอจงใจทำ“เสี่ยวเนี้ยน ก่อนหน้าคุณ ผมเคยมีแฟนไหม?”
เจินเนี้ยนชะงักไปครู่หนึ่ง “จิ่งจื้อ ฉันรู้จักกับคุณสมัยตอนเรียน ตอนนั้นคุณก็ประสบความสำเร็จเล็กๆ แล้ว เื่ที่คุณเคยคบกับใครมาก่อนหน้านั้น ฉันไม่รู้หรอก”
“เธอไม่สนใจ?”
จู่ๆ เจินเนี้ยนก็หัวเราะขึ้นมา “ทำไมวันนี้ถึงถามเื่นี้ขึ้นมาล่ะ ฉันเชื่อคุณไงคะ ว่าจะต้องรักฉันแค่คนเดียว ใช่ไหมคะ?” เธอเริ่มกังวลขึ้นมาแล้ว กลัวว่าเหยียนจิ่งจื้อจะไปฟังใครเขาพูดอะไรมา ถึงจะเป็แค่ข่าวโคมลอย แต่เหยียนจิ่งจื้อมีด้านที่โหดร้าย ถ้าเขารู้ความจริงเข้า คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือเธอดังนั้นตอนแรกเธอถึงไม่อยากจะให้เขากลับประเทศ
จู่ๆ เจินเนี้ยนก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา เธอจะยอมตกเป็ของเขาในคืนนี้
ดังนั้นเธอจึงเริ่มยั่วยวนเหยียนจิ่งจื้อ แต่ก่อนจะต้องแสร้งทำนิสัยเป็คนอ่อนหวาน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจึงไม่ได้เกินเลย ทว่าตอนนี้เธอรอต่อไปไม่ได้แล้ว
ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคนในสถานที่ปิด ทั้งยังมีบรรยากาศที่ค่อยๆ ล่อแหลมขึ้นเรื่อยๆ เจินเนี้ยนค่อยๆ เอามือลูบไปในสาบเสื้อเชิ้ตของเหยียนจิ่งจื้อ เมื่อเห็นเขาไม่ได้ปฏิเสธจึงเอามือลูบไล้ตรงนั้นเสียเลย
“เจินเนี้ยน คุณช่วยบอกผมทีว่าแต่ก่อน เนี่ยเซิงเสี่ยวมีความสัมพันธ์อะไรกับผมกันแน่?” ในตอนนี้เหยียนจิ่งจื้อไม่ได้ตกอยู่ในความลุ่มหลงแบบที่เจินเนี้ยนคิดเลยสักนิด แถมน้ำเสียงที่เรียกชื่อของเธอก็ทำให้เธอเริ่มเ็ปหัวใจ
เขาจะต้องรู้อะไรมา หรือรู้สึกถึงอะไรได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเจินเนี้ยนก็ไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ ์รู้ดีว่าถ้าเธอบอกความจริงกับเขา มันจะต้องเ็ปมากขนาดไหน นั้นเธอจึงดึงมือกลับไปโดยที่ไม่พูดอะไร
“ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าเธอแค่เคยปลื้มผมเท่านั้น นั่นไม่จริงใช่ไหม” เหยียนจิ่งจื้อพูดต่อไป “ความจริงแล้วไม่ใช่เธอเคยปลื้มผมมาก่อน แต่เป็พวกเราสองคนเคยชอบพอกันใช่ไหม?”
เจินเนี้ยนก็ยังไม่พูดอะไร เพียงแค่ส่ายหัวแรงๆ เป็การบอกว่าสิ่งที่เหยียนจิ่งจื้อพูดนั้นผิด
ทว่าจู่ๆ เหยียนจิ่งจื้อก็รู้สึกโกรธขึ้นมาโดยไม่รู้จะระบายความรู้สึกนี้อย่างไร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่เรียกว่าแฟนคนนี้กำลังหลอกลวงเขา ปกปิดเขามาจนถึงวันนี้โดยที่ไม่คิดจะบอกเื่ราวอะไรเลยกับเขา เหยียนจิ่งจื้อบีบคางของเธอ “เจินเนี้ยน เธอในความทรงจำของฉันดีมากมาตลอด บอกความจริงกับฉันมาเถอะ?”
เจินเนี้ยนส่ายริมฝีปาก น้ำตาไหลทะลักออกมา “จิ่งจื้อ อย่าไปยุ่งกับเนี่ยเซิงเสี่ยวเลย ไม่งั้นคุณจะเสียใจทีหลังนะ”
เหยียนจิ่งจื้อปล่อยเธอ “เสียใจทีหลัง? เจินเนี้ยน ั้แ่แรกจนถึงตอนนี้เธอไม่เคยเข้าใจฉันเลย ยิ่งคนอื่นพูดเื่จะเสียใจทีหลังมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากจะเข้าไปลองมากเท่านั้น แถมยังไม่คิดจะเปลี่ยนใจด้วย”
มองแผ่นหลังของเหยียนจิ่งจื้อที่เดินจากไป มือของเจินเนี้ยนคว้าเสื้อของเขาเอาไว้ กำแน่นจนมือขึ้นข้อกระดูก
ทั้งๆ ที่อุตส่าห์เลียนแบบเนี่ยเซิงเสี่ยว แต่สุดท้ายผลสรุปก็ยังออกมาเป็แบบนี้
เหยียนจิงจื้อเริ่มใช้พลังทั้งหมดในการค้นหาเกี่ยวกับความทรงจำที่หายไปของเขา เกี่ยวกับเนี่ยเซิงเสี่ยวและเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยว จนกระทั่งค้นหาเผื่อไปยังจ้าวหยวนฟางด้วย แต่ว่าผลสรุปที่ได้กลับยิ่งทำให้เขาเสียใจและรำคาญใจ เขาหาเบาะแสที่สามารถยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเนี่ยเซิงเสี่ยวไม่เจอเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับเื่ราวระหว่างพวกเขาสองคนเหมือนถูกตัดขาดลงไปในพริบตา
แต่เมื่อคิดจากคำพูดของเจินเนี้ยนแล้ว เขากับเนี่ยเซิงเสี่ยวก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าระหว่างกัน ในระหว่างนี้จะต้องมีคนจงใจวางแผนร้าย ความจริงแล้วก็มีวิธีง่ายที่สุดอยู่หนึ่งวิธีที่จะสามารถได้คำตอบมา นั่นก็คือไปถามกับเนี่ยเซิงเสี่ยวตรงๆ
แต่ว่าเื่ที่โทรศัพท์คุยกับเธอในวันที่เธอออกไปจากเฉินตง ทำให้เขาเสียหน้าขนาดที่ตอนนี้เขาไม่สามารถวางทิฐิแล้วไปหาเธอได้
--
เหยียนเจียอวี๋รู้สึกว่า่นี้อาสองของเขาแปลกมากเป็พิเศษถึงได้มารับเขาที่โรงเรียนอนุบาลทุกวัน แต่ว่าเมื่อเห็นสายตาอิจฉาของเพื่อนๆ เขาก็ยังดีใจมาก ดีใจจนถึงขั้นเมินสายตาของเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยว
วันนี้เหยียนจิ่งจื้อก็มาอีกแล้ว เหยียนเจียอวี๋แอบเห็นอาสองยืนพิงรถมองพวกเขาเล่นกันอยู่ด้านนอกมานานแล้ว เหยียนเจียอวี๋โบกมือไปทางเหยียนจิ่งจื้อ คาดหวังอย่างตื่นเต้นมากๆ ว่าคุณครูจะปล่อยเขากลับบ้านไวๆ
แน่นอนว่าเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวเองก็เห็นแล้ว แต่ว่า่นี้เขาไม่ค่อยกล้าคุยกับเหยียนเจียอวี๋เท่าไหร่ เพราะว่าเหมือนั้แ่วันนั้นเหยียนเจียอวี๋ก็ไม่ค่อยมาเจอเขา เหนี่ยวเหนี่ยวจึงทำได้แค่แอบๆ ยืดคอมองไปยังคนที่เหมือนพ่อของเขาที่อยู่ด้านนอกนั้น
ทันทีที่คุณครูบอกเลิกเรียน เหยียนเจียอวี๋ก็คว้ากระเป๋าใบน้อยแล้วพุ่งออกไปด้านนอกราวกับลูกธนูที่ถูกปล่อยจากคันธนู เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวกลับค่อยๆ เก็บของของตัวเอง อีกทั้งยังแอบมองเหยียนจิ่งจื้อที่อยู่ด้านนอกพร้อมทั้งหันไปบอกลาคุณครู
คุณครูวางมือลงบนหัวเขาพลางตบเบาๆ “ทำไมไม่ให้แม่มารับหนูละ?”